บุษราอาฆาต บทที่ 5 : วิญญาณติดตาม
โดย : เก้าแต้ม
บุษราอาฆาต เรื่องราวของบุษราคัมเม็ดงามที่แฝงไปด้วยความลึกลับกับวิญญาณของหญิงสาว เหตุใดวิญญาณของเธอจึงติดตามมาทำร้ายทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบุษราคัมน้ำงาม ร่วมกันหาคำตอบได้ใน ‘บุษราอาฆาต’ นวนิยายแนวลึกลับโรแมนติก โดย เก้าแต้ม … นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คูณได้ อ่านออนไลน์
…………………………………………
ณิรินไปเปิดร้านตามปกติเหมือนทุกวัน ดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเพราะวันนี้ลูกค้าเข้าร้านมากกว่าทุกๆ วัน หมอดูสาวเริ่มงานกับลูกค้าที่เป็นคุณป้าคนหนึ่งที่พาหลานสาวมาดูดวง หลังจากนั้นก็มีลูกค้าวัยทำงานพาเพื่อนอีกสี่คนมาดูดวงพร้อมๆ กัน หลังดูเสร็จก็พากันเหมาสร้อยข้อมือหินของหล่อนไปคนละเส้น ต่างหูคนละคู่ รายได้ที่รับเข้ากระเป๋าเป็นกอบเป็นกำทำเอาณิรินหน้าบาน
หล่อนกำลังจะตักข้าวเข้าปาก หนุ่มออฟฟิสก็พาแฟนหนุ่มมาดูดวงเพื่อหาฤกษ์แต่งงานเสียอีก ณิรินต้องต้อนรับลูกค้าคนแล้วคนเล่า ข้าวในกล่องเย็นชืดจนหาความอร่อยแทบไม่ได้ แต่หล่อนก็เต็มใจ เพราะมันหมายถึงว่า หล่อนคงไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะถูกเจ้าของห้างไล่ออกเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าอีกต่อไปแล้ว กว่าลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกจากร้านตอนหกโมงครึ่งพอดิบพอดี หญิงสาวทรุดลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง
สายตาเหม่อมองออกไปด้านนอก แท้จริงเพื่อผ่อนคลาย ร้านของหล่อนอยู่ตรงข้ามกับมิลเลเนียมจิวเวลรี่ ณิรินเคยน้อยใจกับตัวเองว่า ทำไมถึงไม่มีลูกค้ามากมายแบบร้านนี้บ้าง ในสังคมยุคปัจจุบันช่างมีความเหลื่อมล้ำมากมายนัก ขณะที่คนส่วนหนึ่งชักหน้าไม่ถึงหลัง เงินเดือนที่ได้มาต้องเอาไปผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำค่าไฟ แต่ก็มีมนุษย์อีกจำพวกหนึ่งที่ร่ำรวยเงินทอง หาที่เก็บไม่หวาดไม่ไหว
ร้านของคุณเหม่ยหลิงเป็นร้านขายเครื่องประดับอันดับหนึ่งในห้างนี้ ทุกวันจะมีลูกค้าเดินเข้าออกร้านอย่างต่อเนื่องแทบไม่เว้นว่าง สาเหตุที่รู้ก็เพราะหล่อนชอบแอบมองและบ่อยครั้งที่แอบเปรียบเทียบกับร้านของตน นอกจากนั้นแล้วณิรินยังสนิทสนมกับพนักงานขายของร้านนั้น หลายครั้งที่ปิดร้านใกล้เคียงกัน เดินไปขึ้นรถทางเดียวกัน แต่วันนี้พอเห็นผู้หญิงที่กำลังเปิดประตูออกมาก็ชะงัก
ร่างเพรียวสวมชุดเดรสทรงเอสีเหลืองอ่อนสั้นแค่เข่า ท่อนบนเป็นเกาะอกมีสายไก่เส้นเล็กๆ คล้องตรงหัวไหล่เผยให้เห็นผิวเนียน แต่สิ่งที่ทำให้หมอดูสาวตกใจสุดขีดกลับเป็นกลุ่มพลังงานที่เดินตามมาต่างหาก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์หลายคนจะมีวิญญาณติดตามตัว อย่างเช่นลูกค้าของหล่อนที่มารับคำปรึกษา แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นญาติ เป็นคนรู้จัก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่
เงาดำทมึนที่ก่อตัวเป็นรูปร่าง ดูแล้วไม่ใช่วิญญาณธรรมดาแน่แต่เป็นผีตายโหง ว่ากันว่า วิญญาณชนิดนี้ดุและเฮี้ยน เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตอาจไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ บ้างก็ถูกยิง จมน้ำ รถชน ฆ่าตัวตาย ผีตายโหงคือตัวแทนของผีที่มีสภาวะจิตตก อาลัยอาวรณ์กับโลกมนุษย์ เมื่อตายทั้งที่ยังทำใจไม่ได้ วิญญาณจึงติดอยู่ในบ่วง ถ้ายิ่งมีความอาฆาตร่วมด้วยแล้วจะดุร้ายเป็นพิเศษ ณิรินพยายามเพ่งมองว่า หญิงสาวในชุดสีเหลืองเป็นใคร แต่พออีกฝ่ายเงยขึ้นจนเห็นใบหน้าชัดๆ ตาก็เบิกกว้าง
“พลอยพยัพ”
เพราะอะไรผู้หญิงที่เพิ่งถูกผีหลอกในงานคืนสู้เหย้าของโรงเรียนมาหมาดๆ ถึงได้มีวิญญาณคอยติดตาม ด้วยความอยากรู้ทำให้รีบเดินตามไปใกล้ๆ แต่พอเห็นคนนอกเข้ามาวอแว วิญญาณผีตายโหงก็หันมาจ้อง ณิรินอึ้ง พอเงยหน้าก็พบว่า พลอยพยัพหันมาเจอหล่อนเข้าให้แล้ว
“เธอเป็นใคร…”
ดูเหมือนพลอยพยัพจะจำหล่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ อาจเพราะที่ผ่านมาณิรินไม่ใช่ดาวเด่นของโรงเรียนเหมือนอีกฝ่าย หล่อนแทบไม่มีเพื่อน แถมยังไม่เคยทำกิจกรรมของโรงเรียน ไม่เคยขึ้นเวที เรียนก็อยู่กลางๆ แล้วมีหรือจะมีคนรู้จัก
“ฉะ…ฉัน ชื่อ ณิไง เราเคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน”
ด้วยความที่มีไหวพริบทำให้รีบโต้กลับไป หล่อนต้องหาทางเตือนพลอยพยัพให้ได้ว่า มีวิญญาณติดตามอยู่
“อ๋อเหรอ..ฉันจำเธอไม่ได้”
“ฉันเคยอยู่ห้องติดกับเธอ ห้อง…ไง จำได้ไหม” หล่อนบอกเบอร์ห้อง ณิรินไม่ได้โกหก หล่อนกับพลอยพยัพเรียนอยู่ห้องติดกันจริงๆ แต่เป็นห้องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ห้องของพลอยพยัพมีแต่คนเรียนเก่ง ทำกิจกรรมเก่ง อีกทั้งยังร่ำรวย ส่วนห้องของหล่อนมีแต่นักเรียนระดับกลางเท่านั้น
“นึกไม่ออก…ว่าแต่เธอมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า ถึงได้เดินตามมา”
ณิรินอึกอัก จะให้บอกไปว่า หล่อนเห็นวิญญาณเดินตามพลอยพยัพ จากประสบการณ์มีหวังอีกฝ่ายคงกรี๊ดเสียงดังลั่นเหมือนเดิมแน่ แต่ดูท่าว่า ตอนนี้วิญญาณเริ่มจะไม่พอใจจึงหันมาทำท่าจะบีบคอหล่อน ณิรินต้องกลั้นใจทำเป็นมองไม่เห็น
“เอ่อ…คือว่า ฉันจะถามว่า เธอสบายดีไหม เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะตั้งแต่งานวันคืนสู่เหย้า”
พอคำพูดหลุดปาก หญิงสาวก็อยากจะเขกกบาลตัวเอง แต่ใครบ้างจะไม่ตื่นเต้นถ้าโดนวิญญาณหน้าตาดุดันทำท่าขู่แบบนี้
“สบายดี เธอมีธุระแค่นี้ใช่ไหม พอดีฉันรีบ”
พลอยพยัพหันเข้าไปในร้าน ดูท่าหญิงสาวอาจจะอยู่ข้างในมาพักใหญ่แล้ว และออกมาเข้าห้องน้ำเป็นจังหวะที่ณิรินเห็นพอดี คนเห็นผีถือโอกาสนั้นยื้อมืออีกฝ่ายเอาไว้
“เดี๋ยวสิพลอย อย่าเพิ่งไป อยู่คุยกันก่อน”
“แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุย”
“แต่ฉันมี…ฉันมีเรื่องอยากจะถาม”
“ก็ว่ามาสิ”
“เธอทำงานที่ไหน”
พลอยพยัพเบ้หน้า งานของหล่อนคือ เป็นนางแบบ ในทุกวันที่เปิดโทรทัศน์หรือเห็นหนังสือนิตยสารตามแผง ต้องเคยเห็นหล่อนไม่มากก็น้อย
“สรุปว่า เธอต้องการอะไรกันแน่ พูดมาตรงๆ ดีกว่า ทุกคนในประเทศนี้เขาก็รู้ทั้งนั้นล่ะว่า ฉันเป็นนางแบบ บอกตามตรงว่า ฉันไม่แน่ใจว่า เธอใช่เพื่อนโรงเรียนเดียวกับฉันจริงอย่างที่อ้างหรือเปล่า เพราะฉันไม่คุ้นหน้าเธอเลย อาจจะแอบอ้างก็ได้”
หญิงสาวกวาดตามองณิรินตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นการมองที่ทำให้สาวมั่นถึงกับอึ้ง หล่อนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นแค่เศษดินที่ติดอยู่บนรองเท้าหญิงสาวเท่านั้น ไม่แปลกใจเลยที่คนส่วนใหญ่ในโรงเรียนหลายคนไม่ชอบพลอยพยัพกับพวก
“เฮ้ย…พูดแรงไปหรือเปล่า ฉันจะแอบอ้างไปทำไม” ณิรินชักฉุนจึงเผลอโต้กลับเสียงดัง
“ไม่รู้สิ…ก็จู่ๆ เธอก็ออกมาพูดนู่นพูดนี่ อย่างว่า ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ทั้งที่งานโรงเรียนก็เพิ่งผ่านมา ถ้าเธอไปจริงก็คงต้องเจอฉัน และเรื่องงานก็เหมือนกัน สรุปว่า เธอจะชวนฉันไปดูดวงใช่ไหม”
พลอยพยัพหันหน้าไปทางป้ายดูดวงหน้าร้านอย่างรังเกียจ ณิรินหน้าซีด คิดไม่ถึงว่า ตอนเดินออกมาอีกฝ่ายจะมองเห็นทางหางตา
“ฉันเปล่านะ ฉันดีใจที่เจอเพื่อนต่างหาก เราคนกันเอง น่าจะคุยกันได้”
“แค่นี้ใช่ไหม…ฉันรีบ”
พลอยพยัพดึงดันจะผลักประตูเข้าไปในร้าน ณิรินไม่แน่ใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เพราะวิญญาณผีตายโหงหรือเพราะนิสัยที่ไม่แคร์ใครของอีกฝ่ายกันแน่ แต่ไหนๆ ก็โดนดูถูกแล้ว ณิรินไม่ยอมแพ้ หล่อนต้องเตือนให้จงได้
“เชื่อฉันสักครั้งเถอะนะ เธอกำลังมีเคราะห์ เธอต้องรีบกลับบ้าน ไปถึงก็รีบไปห้องพระแล้วสวดมนต์และก็กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรรู้ไหม”
หญิงสาวหน้าซีด ก่อนจะแปรเป็นแดงก่ำอย่างโกรธจัดและผลักไหล่ณิรินอย่างแรง
“จะบ้าหรือเปล่า พูดอะไรออกมาน่ะ”
ณิรินถอนหายใจ หล่อนชินเสียแล้วกับการที่โดนคนด่า ทุกครั้งเวลาหล่อนเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นก็มีอันต้องโดนเช่นนี้อยู่เรื่อย บ้างก็ว่า หล่อนเพ้อเจ้อ บ้างก็ว่า หล่อนต้องการเงิน
“ฉันไม่ได้บ้า…ฉันพูดจริงๆ ฟังฉันให้ดีๆ นะพลอย…เธอกำลังดวงตก มีวิญญาณเดินตามเธออยู่…เธอต้องกลับบ้าน เดี๋ยวนี้แล้วก็ตอนนี้”
ณิรินจับหัวไหล่พลอยพยัพเอาไว้ หล่อนพยายามใช้สีหน้าเคร่งเครียดบอกอีกฝ่ายว่า ไม่ได้ล้อเล่น แต่แล้วจู่ๆ กลับมีมือของใครอีกคนดึงมือหล่อนออก พอหันกลับไปเห็นว่า เป็นใครณิรินก็ตกใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือพลอย ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร มารบกวนอะไรพลอยหรือเปล่า”
“พี่เพชร มาพอดี ผู้หญิงคนนี้สิคะ มาอ้างว่า เป็นเพื่อนแล้วก็มาพูดจาอะไรไร้สาระไม่รู้”
พลอยพยัพปัดมือที่จับไหล่ออก โผเข้าไปเกาะแขนอคิณ ใช้ชายหนุ่มเป็นที่กำบัง ณิรินหน้าซีด ลำพังพลอยพยัพคงจัดการไม่ยาก แต่พอมีพี่ชายเข้ามาเกี่ยว หล่อนเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ
หญิงสาวก็เป็นอีกคนที่หลงรักเจ้าชายน้ำแข็ง หล่อนเพ้อถึงขนาดมีรูปชายหนุ่มในครอบครอง อคิณคงไม่รู้หรอกว่า ในโรงเรียนมีปาปารัซซี่รับจ้างถ่ายรูปชายหนุ่มยามเผลอ เอามาขายให้กับบรรดาสาวๆ เขาเหมือนกับเซเลบในวงการบันเทิงยังไงอย่างนั้น ยังดีที่ไม่ถึงขนาดมีกิมมิกพวก พวงกุญแจ พัด เป็นรูปชายหนุ่มมาขายด้วย
อคิณคงไม่ได้รู้ว่า หล่อนแอบปลื้ม เขาถึงได้ชักสีหน้าถมึงทึงใส่
“คุณเป็นใครกันแน่ กุเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร เป็นสิบแปดมงกุฎใช่ไหม”
เจอคาดคั้นชุดใหญ่ ณิรินก็สั่นศีรษะ หล่อนโอดโอย
“โอ๊ย….ไปกันใหญ่แล้ว ไม่ใช่นะคุณ ฉันเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่าของคุณพลอยพยัพจริงๆ ฉันยังรู้จักคุณด้วย คนทั้งโรงเรียนเรียกคุณว่า เจ้าชายน้ำแข็ง คุณแข่งเทนนิสของโรงเรียนด้วยจำได้ไหม คะแนนสกอร์สุดท้ายชนะขาด”
หล่อนบอกคะแนนในเกมสุดท้ายซึ่งอคิณลงแข่งเพื่อเป็นหลักฐานว่า ไม่ได้โกหก ณิรินก็เป็นคนหนึ่งที่ไปชมการแข่งขันนั้นด้วย แต่หล่อนไม่ได้เข้าไปส่งดอกไม้เพราะรู้ดีว่า ถึงแม้จะให้ไป เขาก็คงไม่ได้รับอยู่ดี ไม่มีใครรู้ว่า ของเขากองพะเนินถูกนำไปไว้ที่ไหน บางทีอาจใส่ถุงลงถังขยะที่ใดก็เป็นได้ แทนที่จะเข้าใจอคิณกลับยืนกอดอก ใบหน้าบึ้งตึง
“คุณสืบข้อมูลพวกเรามา คิดหรือว่า ผมจะเชื่อ ยิ่งพูดมากแก้ตัวเยอะอย่างนี้แสดงว่า ต้องมีพิรุธ คิดจะมาหลอกเอาเงินจากน้องสาวผมใช่ไหม..เราไปหาตำรวจกันเดี๋ยวนี้”
อุ้งมือใหญ่กุมมือณิริน หล่อนสะบัด ร้องโวยวาย
“เฮ้ย… ไม่เอา ฉันแค่มาเตือนเฉยๆ นี่คุณทำกับคนที่หวังดีขนาดนี้เลยหรือ”
“ถ้าหวังดีจริง ก็หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วไปเสียอย่าหาว่า ผมไม่เตือน”
ณิรินหน้าชาเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ แม้หล่อนจะมีฐานะไม่ร่ำรวยเท่ากับอคิณและคนอื่นๆ แต่พื้นฐานจิตใจหล่อนก็เต็มไปด้วยความเมตตา หล่อนเคยสงสัยว่า ถ้าวันหนึ่งได้คุยกับเจ้าชายในฝันจริงจะเป็นเช่นไร แต่ไม่นึกว่า บทสนทนาจะลงมาในรูปแบบนี้
“เกินไปแล้ว คงคิดว่า คนอื่นเขาต่ำต้อยกว่าคุณสินะ จะบอกอะไรให้นะ ที่ฉันมาเตือนก็เพราะฉันสงสาร น้องสาวคุณกำลังมีเคราะห์ เธอถูกวิญญาณผีตายโหงติดตามอยู่ ถ้าคุณไม่เชื่อก็ตามใจ ฉันจะไม่ยุ่งกับพวกคุณอีก”
“ผมไม่เชื่อ คุณมีหลักฐานอะไร”
“ก็ฉันเห็น…”
สายตาที่มองมาอย่างปรามาศ ทำให้ณิรินต้องล้มเลิกความตั้งใจ ป่วยการที่จะพูดกับคนที่ไม่เคยเปิดใจ ไม่ว่า จะอธิบายยังไงหล่อนก็คงไม่มีทางหาหลักฐานได้ว่า มีวิญญาณผีตายโหงกำลังจ้องบีบคออยู่ตอนนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะหล่อนมียันต์ของปู่ หล่อนคงต้องลงไปนอนชักดิ้นชักงอแล้ว
“จะบอกว่า มีสัมผัสพิเศษงั้นหรือ คุณมันหลอกหลวง”
“ตามใจ…ถ้าไม่เชื่อก็ช่างคุณ ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อเห็นแก่มนุษย์ธรรม ทางที่ดีคุณควรเตรียมรับมือ ให้ดีอีกไม่นานหรอก ครอบครัวคุณจะต้องพบกับความเดือดร้อน ผีตายโหงตัวนี้ไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
อคิณมองน้องสาวที่กำลังตรวจลองจี้บุษราคัมด้วยสีหน้ามีความสุข เขามาส่งพลอยพยัพที่ร้านมิลเลเนียมจิวเวลรี่ตั้งแต่ร้านเปิด หลังจากนั้นน้องสาวก็แจ้งว่า จะไม่กลับบ้านแต่จะอยู่รอช่าง คุณเหม่ยหลิงเห็นเป็นลูกค้าวีไอพีก็เลยโทรตามช่างให้มาทำให้ เขาไม่รู้ว่า เพราะอะไรถึงได้บังเอิญมีเรือนของจี้ห้อยคอเตรียมไว้สำหรับบุษราคัมเม็ดนี้พอดี ดังนั้นช่างจึงขอเวลาสิบสองชั่วโมงในการทำงานให้เสร็จ พลอยพยัพพอรู้ว่า เครื่องประดับจะเสร็จวันนี้ก็ออกอาการตื่นเต้นไม่ยอมกลับบ้าน
หล่อนเดินเล่นชอปปิง กินอาหารในห้างตั้งแต่เช้าจนกระทั่งตอนนี้ หลังเลิกประชุมอคิณจึงแวะมารับ เขามาทันพอดีตอนที่เห็นหญิงสาวร่างเพรียวอีกคนกำลังพูดคุยกับพยอยพยัพ อคิณจำหญิงสาวไม่ได้ แต่พอหล่อนพูดถึงตอนแข่งเทนนิส ก็คลับคล้ายคลับคลา แต่พอคิดถึงเรื่องที่หล่อนพูดเรื่องวิญญาณ อคติในใจทำให้โต้ออกไปทันที เขาไม่รู้ว่า หญิงสาวเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันหรือไม่ แต่อคิณไม่อยากให้น้องสาวต้องหวาดกลัวเหมือนวันก่อนๆ อีก อะไรที่ทำให้พลอยพยัพมีความสุขเขายินดีทำ
แต่พอตอนนี้ได้มานั่งทบทวนกลับรู้สึกบางอย่าง เขาเหลือบไปมองเห็นหญิงสาวกำลังปิดร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ป้ายหน้าร้านที่เขียนว่า รับดูดวงทำให้ความเชื่อถือลดลงไปกว่าครึ่ง หมอดูคู่กับหมอเดา และมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มีความสามารถจริง แต่อาศัยหลักจิตวิทยา คอยหลอกเอาเงินลูกค้าไปเรื่อย
เขาลอบมองร่างเพรียวที่สวมเสื้อยืดกางเกงยีน หล่อนถือหมวกกันน็อคด้วย ถ้าให้เดาคงจะขี่มอเตอร์ไซค์ อคิณไม่เคยมีเพื่อนเป็นสาวนักบิดมาก่อน คนรู้จักในโรงเรียนล้วนแต่มีรถขับ หรือบางคนก็มีคนขับรถมารับ ดูจากการแต่งกาย หล่อนคงฐานะไม่ค่อยดีนัก ยิ่งเมื่อเห็นหล่อนประนมมือท่วมหัว ทำปากขมุบขมิบก็ยิ่งรู้สึกขัดใจ
‘ท่าจะเพี้ยนมากกว่า ดูสิ ไหว้ใครไม่รู้รอบวงเลย ไม่เห็นมีคนสักหน่อย‘
ดูเหมือนหล่อนจะมีตาหลังเพราะทันทีที่เขานินทา หญิงสาวก็หันควับมาพอดี ดวงตาที่จ้องมาทำให้รู้สึกแปลกๆ เขายอมรับว่า คุ้นหน้าหล่อน แต่จะให้เชื่อว่า เป็นรุ่นน้องร่วมโรงเรียนก็คงบอกได้ยาก พอเห็นเขามองหญิงสาวก็จ้องกลับ หน้าบึ้ง
‘ไม่พอใจที่ผมมองหรือ จะบอกให้นะ ถ้าคิดจะหลอกเอาเงินจากพลอย ต้องข้ามผมไปก่อน ผมจะไม่ยอมให้ใครมารังแกน้องผมเด็ดขาด’
ชายหนุ่มบ่นพึมพำอยู่คนเดียว รู้ดีว่า หญิงสาวไม่มีทางได้ยินแน่เพราะอยู่นอกร้าน ร่างบางไหวไหล่ ก่อนจะเดินออกจากห้างไปทางประตูด้านหลัง เขาเดาว่า หล่อนคงจะจอดรถมอเตอร์ไซค์เอาไว้ตรงนั้น เขาได้แต่โคลงศีรษะ
“พี่เพชร”
พลอยพยัพเดินออกมาจากด้านใน หล่อนแหวกคอเสื้อเผยให้เห็นจี้บุษราคัมน้ำงามที่เปล่งประกายอยู่ตรงกึ่งกลางคอ ต้องยอมรับว่า ร้านจิวเวลรี่แห่งนี้มีฝีมือจริงๆ เรือนทองคำขาวกับเพชรเม็ดเล็กๆ ที่ล้อมกรอบทำให้อัญมณียิ่งเปล่งประกาย
“สวยไหมคะ”
“แค่วันเดียวทำจี้เสร็จแล้วหรือ”
ด้านหลังคือ คุณเหม่ยหลิงที่เดินตามออกมาพร้อมกับอมยิ้ม หล่อนเอ่ยขึ้น
“ปกติก็ไม่เสร็จหรอกค่ะ ต้องใช้เวลาทำ ไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์ แต่คุณพลอยโชคดีมีเรือนว่างอยู่พอดี เจ้าของเดิมเขาทำไว้สำหรับอเมทิสต์แต่พอมาลองบอกว่า เล็กไป อยากจะเปลี่ยนใหม่ดิฉันก็เลยเก็บเอาไว้ บังเอิญคุณพลอยชอบ”
“นี่เรารีบอย่างนั้นเลยหรือพลอย ทำไมต้องเอาของที่คนอื่นเขาไม่ใช้แล้วด้วย”
“ก็ใช่สิคะ พลอยอยากใส่บุษราคัม พี่เพชร ไม่รู้สึกหรือคะว่า มันเหมาะกับพลอยมากๆ ใส่แล้วสวย”
อคิณกวาดตามอง สิ่งที่ทำให้พลอยพยัพสวยเพราะความสุขในแววตาต่างหาก ความสดใสต่างกับน้องสาวคนเดิมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“เราใส่อะไรก็สวยทั้งนั้นล่ะ”
“พี่เพชร ปากหวานจริงๆ อย่างนี้ถึงเป็นพี่ชายสุดที่รักของพลอยไง”
“รู้แล้วน่า ใครพูดถูกใจเจ้าหญิงก็ได้คำชมจริงไหม” อคิณพูดติดตลก เหม่ยหลิงหัวเราะ
“สองพี่น้องคู่นี้น่ารักจริงๆ นะคะ คุณอคิณก็ดูแลคุณพลอยดีมาก พี่ชักอิจฉา ไม่ยักมีพี่ชายกับเขาบ้าง”
“คุณเหม่ยหลิงน่าจะหาแฟนสักคนนะคะ จะได้มาเป็นเพื่อนกัน”
“ก็พยายามหาอยู่ค่ะ แต่ฟ้าไม่ส่งเนื้อคู่มาให้สักที” เหม่ยหลิงเย้า อคิณส่งยิ้ม เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เรารีบจ่ายเงินให้คุณเหม่ยหลิงดีไหม จะได้ปิดร้าน นี่ก็ค่ำมากแล้ว ร้านอื่นๆ ก็พลอยปิดไปหมด ห้างก็เหมือนกัน”
ไฟของร้านโดยรอบดับลงเกือบหมด ขณะที่ยามเดินตรวจตราเพื่อดูความเรียบร้อย อีกสักครู่คงจะมาถามว่า ทำไมยังไม่ปิด
“พลอยจ่ายแล้วค่ะ รูดบัตรคุณพ่อไปเมื่อครู่นี้”
“โอ้…โหเร็วจังแหะ อย่างนี้พี่ก็ไม่ต้องควักกระเป๋าอีกนะสิ”
“ไม่ค่ะ แค่ต้องพาพลอยกลับบ้านเร็วๆ พลอยอยากจะเอาแหวนไปอวดคุณพ่อใจจะขาด”
“พลอยเอาถุงชอปปิ้งไปไว้ไหนน่ะ พี่จะช่วยถือ” อคิณมองหา เขามั่นใจว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในห้าง น้องสาวคงจะแก้เบื่อด้วยการรูดการ์ดเป็นว่าเล่น
“พี่เพชร รู้ได้ไงล่ะ”
“รู้สิ ก็พี่เป็นพี่ชายเรานี่นา”
เหม่ยหลิงเดินไปหยิบถุงชอปปิงที่ฝากไว้หลังร้านออกมาให้ อคิณรับมา พลอยพยัพโบกมือบายบาย หล่อนเป็นคนออกประตูไปก่อนโดยมีอคิณเดินตามพร้อมด้วยถุงข้าวของ เหม่ยหลิงดับไฟในร้านทีละดวง อคิณมองตามแผ่นหลังน้องสาว หล่อนยืนอยู่หน้าร้าน พลอยพยัพดูสดใสแต่มีบางอย่างไม่ปกติ
อคิณเพ่งมองซ้ำอีกครั้ง แรกทีเดียวเขาคิดว่า ตนตาฝาดที่เห็นเงาสีดำก่อตัวอยู่รอบๆ ร่างของน้องสาว แต่พอกระพริบตาทุกอย่างก็หายไป
ชายหนุ่มยืนนิ่ง มือเย็นเฉียบ บอกไม่ถูกว่า สิ่งที่เห็นคือ อะไร เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณมาก่อน แต่ตอนนี้คำพูดของหมอดูสาววนกลับเข้ามาในความคิด พลอยพยัพผลักประตูเข้ามาเรียนเมื่อเห็นเขายืนอึ้ง
“พี่เพชร รออะไรอยู่หรือคะ ทำไมไม่เดินออกมา”
“ปะ..เปล่า ไม่มีอะไร”
“รีบมาเถอะค่ะ พลอยอยากจะกลับบ้านจะแย่แล้ว อยู่ในห้างมาทั้งวัน เหนื่อยสุดๆ”
ณิรินยังไม่ได้กลับบ้านอย่างที่คนอื่นคิด แม้หล่อนจะปิดร้านแล้วแต่กลับเลือกนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ที่ลานจอดรถแทน หญิงสาวกำลังรอให้ภารกิจของตนสำเร็จ แรกทีเดียวหญิงสาวคิดจะถอดใจ แต่พอได้ยินวิญญาณของลุงยามยุ ผนวกกับวิญญาณป้าอีกคนที่บอกว่า จะช่วย สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ
หล่อนต้องหาหลักฐานบอกให้อคิณและพลอยพยัพรู้ว่า ไม่ได้โกหก แต่ปัญหาก็คือ คงไม่มีทางเดินดุ่มๆ เข้าไปคุยเหมือนเดิมได้แน่ จะมีทางไหนที่จะพิสูจน์ได้ว่า มีวิญญาณผีตายโหงเกาะติดอยู่กับพลอยพยัพจริงๆ
สุดท้ายจึงต้องพึ่งความช่วยเหลือจากเหล่าวิญญาณ ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เต็มไปด้วยวิญญาณ แต่ทุกตนล้วนแล้วแต่เป็นวิญญาณรักสงบ พอเห็นว่า ณิรินเดือดร้อนจึงอาสาเข้ามาช่วย จากทฤษฎีที่ว่า วิญญาณก็คือ กลุ่มพลังงานอย่างหนึ่ง หลังจากร่างกายดับสิ้นลง วิญญาณซึ่งเป็นพลังงานก็จะหาทางออกจากร่าง วิญญาณหนึ่งตนมีพลังงานจำนวนหนึ่งแต่ถ้าหลายๆ ตนมาร่วมกันคลื่นสัญญาณมักจะเด่นชัดจนมนุษย์รับรู้ได้ เหมือนกับตอนที่มนุษย์ออกไปเดินในป่าช้าและรับรู้ได้ว่า ไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่ทฤษฏีนี้จะจริงหรือเปล่า ณิรินไม่รู้ แต่เมื่อไม่มีทางเลือกหล่อนจึงต้องลอง
ลุงยามอาสาเป็นหัวโจก พาเหล่าวิญญาณให้มารวมกลุ่มกันรอบๆ ตัวพลอยพยัพ ถ้าการคาดคะเนถูกต้อง พลังงานที่กองรวมกันเป็นจำนวนมากคงพอที่จะให้อคิณเห็นบางอย่าง ดังนั้นหลังจากตกลงกันเรียบร้อย ณิรินถึงได้ประนมมือไหว้เหล่าวิญญาณที่มารวมตัวกันเป็นการขอบคุณล่วงหน้าและเพื่อป้องกันไม่ให้อคิณถูกหันเหความสนใจ หล่อนจึงออกมานั่งรอตรงลานจอดรถแทน
หญิงสาวไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นด้านบนบ้าง หล่อนแค่อยากจะช่วย แม้จะรู้ดีว่า ทั้งสองพี่น้องอาจจะไม่ได้ปลาบปลื้มกับสิ่งที่หล่อนทำเท่าใดนัก อคิณกับหล่อนเหมือนอยู่คนละโลก ขณะที่ชายหนุ่มร่ำรวยมีเงินทอง ส่วนหล่อนกลับมีแค่มอเตอร์ไซค์เก่าๆ ทำงานหาเงินงกๆ
ไม่แปลกหรอกที่เขาจะจำหล่อนไม่ได้ แต่ณิรินจำชายหนุ่มได้แม่น เขาเปลี่ยนไปมาก แต่ยังคงความหล่อเหลาเหมือนดังเดิม ใบหน้าคมสัน คิ้วเข้มจมูกโด่ง แต่ส่วนที่ทำให้หญิงสาวประหม่าทุกครั้งคงเป็นความคมกริบของนัยน์ตา มีหลายคนบอกว่า นัยน์ตาคือ หน้าต่างของหัวใจ
ณิรินอดรู้สึกเศร้าไม่ได้ เพราะสายตาที่เขามองหล่อนเมื่อครู่บ่งถึงความรังเกียจอย่างที่สุด เขาคงคิดว่า หล่อนเป็นพวกที่จะมาหลอกเอาเงิน ขณะที่กำลังใจลอยลุงยามก็มาปรากฎตัวต่อหน้า
“เรียบร้อยแล้วหรือคะลุง ขอบคุณมากนะคะ”
ลุงยามมาส่งข่าวว่า ภารกิจสำเร็จลงเรียบร้อยแล้ว ผลก็คือ อคิณเห็น หญิงสาวได้แต่หวังว่า เขาจะเชื่อในสิ่งที่หล่อนบอกว่า น้องสาวกำลังตกอยู่ในอันตราย
“แล้วเขาพูดอะไรบ้างหรือเปล่า”
อคิณอาจจะเห็นวิญญาณก็จริงแต่อาจเลือกที่จะเพิกเฉย นั่นคือ สิ่งที่ณิรินกลัวที่สุด วิญญาณลุงยามส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกลุง แค่ลุงกับทุกคนยอมช่วยก็ดีมากแล้ว ขอบคุณมากนะคะ” ลุงยามพูดบางอย่างกับหล่อนอันหมายถึงที่ณิรินถูกเข้าใจผิดว่า เป็นพวกสิบแปดมงกุฎและจะแก้ความเข้าใจผิดนั้นยังไง
“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย เขาก็อยู่ส่วนเขา หนูก็อยู่ส่วนหนู อีกหน่อยเราก็คงไม่เจอกันแล้ว”
ณิรินตัดบทหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวม คนอื่นอาจคิดว่า หล่อนไม่แคร์ แต่แท้จริงแล้วเพราะหล่อนคิดว่า ปัญหาเหล่านี้แก้ไม่ได้ต่างหาก หล่อนได้ทำส่วนของตนอย่างดีที่สุดแล้ว เรื่องอื่นปล่อยให้เป็นเรื่องของบุญกรรม หญิงสาวสตาร์ทเครื่อง ขี่รถออกไปด้วยความเร็วสูงเหมือนเช่นเคย
ในอีกมุมหนึ่งของลานจอดรถ ยังมีใครอีกคนยืนแอบอยู่หลังเสา หล่อนเห็นณิรินมาพักใหญ่แล้วแต่เลือกที่จะไม่เดินเข้ามาเพราะอยากรู้ว่า กำลังทำอะไร สายตาจ้องมองด้วยความเคียดแค้นเมื่อรู้ว่า ตนถูกคนอื่นขัดขวางแผนการใหญ่..