บุษราอาฆาต บทที่ 2 : อัญมณีลึกลับ

บุษราอาฆาต บทที่ 2 : อัญมณีลึกลับ

โดย : เก้าแต้ม

Loading

บุษราอาฆาต เรื่องราวของบุษราคัมเม็ดงามที่แฝงไปด้วยความลึกลับกับวิญญาณของหญิงสาว เหตุใดวิญญาณของเธอจึงติดตามมาทำร้ายทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบุษราคัมน้ำงาม ร่วมกันหาคำตอบได้ใน ‘บุษราอาฆาต’ นวนิยายแนวลึกลับโรแมนติก โดย เก้าแต้ม … นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คูณได้ อ่านออนไลน์

…………………………………………

 

“ไหน… เมื่อครู่นี้ใครเป็นคนเอากล่องพัสดุเข้ามา”

ทันทีที่หายประหลาดใจ พิรัชต์ก็เรียกหาแม่บ้านเพื่อสอบถามทันที เขาหยิบกล่องพัสดุขึ้นมาดูซ้ำอีกครั้ง สิ่งที่แปลกก็คือไม่มีชื่อผู้ส่ง บนกล่องอีกด้านดูราบเรียบไม่มีตราของบริษัทหรือหน่วยงานที่พอจะให้ข้อมูลได้เลย

“ดิฉันเองค่ะคุณท่าน”

สาวใช้ชื่อมะลิคุกเข่าลง สีหน้าซีดเผือด

“เธอไปเอากล่องนี้มาจากไหน”

พิรัชต์ซัก เขามั่นใจว่าต้องมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล พัสดุซึ่งภายในบรรจุอัญมณีราคาแพงไม่มีใครกล้าส่งมาทางไปรษณีย์แน่ แต่ที่เลือกใส่กล่องแบบไปรษณีย์คงเพราะต้องการปิดบังบางอย่าง

“หนูพาโกโก้ออกไปฉี่ที่สนาม เห็นกล่องพัสดุวางอยู่ก็เลยหยิบเข้ามา”

โกโก้คือสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลสีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นตัวโปรดของทุกคน ที่ประจำคือโซฟากลางบ้าน ทุกเช้าแม่บ้านจะพามันออกไปทำธุระส่วนตัวที่สนามเพื่อป้องกันไม่ให้เลอะเทอะ

“ปกติไปรษณีย์บ้านเรามาส่งกี่โมงหรือแม่อิ่ม”

“ช่วงบ่ายค่ะ บ่ายโมง หรือไม่ก็ช่วงเย็น”

พัสดุและจดหมายที่นำมาส่งยังบ้านหลังนี้จะมีบุรุษไปรษณีย์มาส่งตามเวลาแทบทุกวัน ยกเว้นว่าจดหมายและพัสดุมีจำนวนมาก พนักงานจึงจะมาส่งหลังบ่ายสามโมง จึงเป็นเรื่องแปลกที่จู่ๆ จะมีกล่องพัสดุมาวางอยู่

“ตอนออกไปเธอเห็นใครเดินผ่านหน้าบ้านเราบ้างไหม”

“ไม่เลยค่ะ… หนูยืนรอโกโก้อยู่นาน แต่ไม่เห็นใครเลย”

“แสดงว่าพัสดุต้องมาส่งก่อนหน้านั้น”

พิรัชต์เหลือบมองนาฬิกาตอนนี้ยังไม่แปดโมง แสดงว่า คนที่มาส่งต้องทำงานก่อนเวลาราชการ ซึ่งก็ฟังดูประหลาดอยู่ดี

“คุณพ่อสงสัยอะไรหรือครับ”

“พ่อแปลกใจว่า ทำไมถึงมีคนส่งของมีค่าขนาดนี้มาให้เรา”

“โธ่คุณพี่คะ คนเขาให้ก็รับๆ ไว้เถอะค่ะ บุษราคัมนี้น้ำงามออก หากไปทำสร้อยคอหรือไม่ก็อุบะล้อมเพชร คงจะสวยมาก”

นิรัชชาซึ่งจ้องมองบุษราคัมน้ำงามมาตั้งแต่ต้นเอ่ยขึ้น ตาของหล่อนเป็นประกายด้วยความอยากได้ แม้ว่า ภายในตู้เซฟตอนนี้จะเต็มไปด้วยเครื่องประดับนับไม่ถ้วนก็ตาม แต่ไม่มีอัญมณีเม็ดไหนโดดเด่นกระแทกตาแบบนี้เลย ยิ่งจินตนาการถึงตัวเองยามสวมใส่ หล่อนก็ยิ่งอยากได้..

“แต่อย่างน้อยเราก็ควรจะรู้ก่อนไม่ใช่หรือว่าใครให้มา และเขาให้เราเรื่องอะไร”

“จริงครับคุณพ่อ ผมว่าบุษราคัมเม็ดนี้อาจจะหนักถึงสิบกะรัต”

อคิณทอดมองบุษราคัม เขายอมรับว่า ประกายของมันเจิดจ้าเหลือเกิน มากกว่าอัญมณีที่เคยเห็น ถ้าช่างฝีมือดีและนำไปทำเครื่องประดับคงจะงดงามไม่น้อย

“ถ้าใช่จริงราคาก็คงเป็นหลักแสน”

“หลักแสน” นิรัชชาทวนคำ ตาโต

“เป็นไปได้ไหมครับว่า คนที่ส่งมาคือคู่ค้าของคุณพ่อ”

“พ่อก็เดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก รวมถึงลายมือนี้พ่อว่ามันไม่คุ้นเลย”

“ถ้าเป็นเพื่อนให้จริง คุณพ่อยกให้พลอยก็ได้นะคะ พลอยยังไม่เคยมีเครื่องประดับที่เป็นบุษราคัมเลย พลอยจะเอาไปให้ร้านดูว่าจะทำสร้อยใส่ไปงานคืนสู่เหย้าทันไหม” พลอยพยัพยื่นหน้ามาเกาะแขน พิรัชต์นิ่ง

“ใครบอกว่าคุณพี่จะยกให้คุณพลอยคะ ท่านต้องยกให้นิต่างหาก ในฐานะที่นิดูแลท่านเป็นอย่างดีตลอดมาจริงไหมคะ นิเองก็ยังไม่เคยมีเครื่องประดับบุษราคัมเหมือนกัน”

นิรัชชาปราดเข้ามาเกาะแขนอีกข้าง สองสาวต่างส่งสายตาประหัตประหารกัน อคิณได้แต่ส่ายหน้า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สองสาวจะประกาศศัตรูกันอย่างโจ่งแจ้ง แต่ไหนแต่ไรมาพลอยพยัพไม่ชอบพฤติกรรมของแม่เลี้ยงสาวอยู่แล้ว ทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากัน

“ไม่ได้นะคะ คุณพ่อต้องยกให้พลอย พลอยเป็นลูกสาวของคุณพ่อ”

“ยกให้นิสิคะ นิเป็นเมียคุณพี่”

“คุณคิดว่าคุณพ่อต้องยกทุกอย่างให้คุณหรือไง สิ้นคิด” พลอยพยัพโต้กลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ถ้าไม่ให้ฉันแล้วจะให้ใคร”

“ก็ยกให้ฉันยังไงล่ะ เพราะฉันเป็นลูกสาว พ่อรักฉันมากกว่าใคร”

สองสาวทำท่าจะเถียงกันต่อ พิรัชต์ส่ายหน้า โบกมือเพื่อให้หยุด

“พอได้แล้วทั้งสองคน ตอนนี้พ่อจะยังไม่ยกบุษราคัมเม็ดนี้ให้ใครทั้งนั้น ในเมื่อเรายังไม่รู้แน่ว่า ใครเป็นคนให้ และเขาให้เพื่อตอบแทนเราเรื่องอะไร พ่อจะเก็บไว้ในตู้เซฟก่อน วันนี้พ่อจะให้นายชิดเอากล่องไปถามที่ไปรษณีย์ว่าใครเป็นคนส่งมา บางทีอาจมีใครสะดุดตากับเจ้ากล่องนี้ก็เป็นได้”

“แต่คุณพ่อคะ…”

“ไม่มีแต่ พ่อพูดคำไหนคำนั้น พ่อรู้สึกเวียนหัวยังไงก็ไม่รู้ ขอขึ้นไปพักข้างบนก่อน”

“คุณยังกินข้าวต้มไม่เสร็จเลย”

“ผมหมดอารมณ์กินแล้ว”

สองสาวถลึงตาใส่กัน  ต่างฝ่ายต่างตำหนิอีกฝ่ายที่เป็นต้นเหตุ อคิณเอื้อมมือไปหยิบกล่องพัสดุขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ

“เรื่องให้นายชิดไปทำธุระที่ไปรษณีย์ เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะพยายามหาคำตอบให้ได้ว่า ใครเป็นส่งกล่องใบนี้มาที่บ้านของเรา”

 

การหาข้อมูลเกี่ยวกับพัสดุปริศนากลายเป็นเรื่องยากไปในทันที เพราะทันทีที่พนักงานไปรษณีย์เห็นกลับยกประเด็นที่ทุกคนคาดไม่ถึงขึ้นมา

“กล่องพัสดุนี้ไม่ได้ถูกส่งทางไปรษณีย์ครับ”

กล่องพัสดุที่ส่งทุกชิ้นจะต้องมีอาการแสตมป์รวมถึงมีหมายเลข ไม่ว่าจะส่งแบบธรรมดาหรือแบบด่วน และจะต้องมีตราประทับที่กล่องไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง อีกทั้งถ้าส่งโดยการลงทะเบียนพนักงานก็จะต้องจดบันทึกเอาไว้และขอให้ผู้ส่งเขียนชื่อที่อยู่รวมถึงรหัสไปรษณีย์อย่างชัดเจน นายชิดพอได้ยินเช่นนั้นก็ยังไม่เชื่อสนิทใจจึงถือกล่องพัสดุเดิมไปที่ไปรษณีย์อีกแห่ง แต่ก็ได้คำตอบเช่นเดิม เมื่อมาย้อนดูที่กล่องก็พบความจริงที่ว่าคือ ไม่มีตราประทับ ดังนั้น ผลจึงกลายเป็นว่า ผู้ส่งของนำของใส่กล่องไปรษณีย์เพื่ออำพรางแต่แท้จริงแล้ว กล่องถูกส่งมาโดยใครสักคนด้วยการเอามาหย่อนไว้ในตู้จดหมายหน้าบ้าน

นายชิดรีบกลับบ้านเพื่อขอให้แม่อิ่มเปิดดูกล้องวงจรปิดตั้งแต่ตีห้าเพื่อหาตัวคนส่ง แต่กลับไม่เห็นว่าใครเป็นคนเอากล่องมาหย่อนเอาไว้ คล้ายกับว่าจู่ๆ กล่องนี้ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อได้ข้อมูลจากคนขับรถ พิรัชต์จึงเรียกแม่บ้านรวมถึงคนอื่นๆ ในบ้านที่เดินอยู่ในสนามและโรงรถเพื่อมาซักถาม อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าน่าจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง แต่กลับไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของกล่องเลย

“แปลกจัง ไม่มีใครรู้เลยหรือว่ากล่องมาได้ยังไง”

“แม่อิ่มโทรถามบุรุษไปรษณีย์ที่มาส่งบ้านเราประจำแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่เคยเห็นพัสดุนี้มาก่อนเลย”

บุรุษไปรษณีย์ซึ่งทำหน้าที่ส่งของตามบ้าน มักจะเป็นคนเดิมและผลัดเปลี่ยนกันแค่สองคน ทั้งนี้เพื่อให้ชำนาญเส้นทาง แต่พอสอบถามไปก็พบว่า ไม่มีใครเคยเห็นกล่องปริศนา

“ป้าอิ่มจะให้ผมเชื่อว่า จู่ๆ กล่องนี้ก็ถูกเสกให้เข้ามาในตู้จดหมายหรือครับ” อคิณแย้ง

“ป้าสอบถามทุกคนแล้วนะคะคุณคิณ แต่พวกเราไม่รู้จริงๆ”

“ถ้าถามจากไปรษณีย์ไม่ได้ เราก็ต้องหาทางอื่น”

พิรัชต์ซึ่งนั่งนิ่งตั้งแต่ต้นพูดขึ้น ท่ามกลางความประหลาดใจของอคิณ

“พ่อมีทางหรือครับ”

“พ่อรู้จักคุณอติภัทร ที่เป็นเจ้าของอี้หลง พ่อจะลองสอบถามกับเขาดู บุษราคัมน้ำงามเม็ดใหญ่ขนาดนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ เดี๋ยวนี้ถ้าไม่ใช่ที่บางกะจะก็ต้องข้ามไปฝั่งพม่านู่น พ่อมั่นใจว่า มันต้องมีที่มาที่ไป ยิ่งมีใบรับรองเกรดแบบนี้ แสดงว่า ต้องผ่านมือผู้เชี่ยวชาญมาแล้ว บางทีอาจมีคนไปซื้อมาจากร้านสักแห่งก็เป็นได้”

อี้หลงหรือเจดดรากอนคือบริษัทที่เป็นเจ้าของธุรกิจค้าขายอัญมณีอันดับหนึ่ง ร้านของเขามีสาขาอยู่ทั่วกรุงเทพฯ

“จริงด้วย ทำไมผมคิดไม่ถึงนะ คุณพ่อเก่งจริงๆ เลย”

“งั้นพ่อจะลองโทร.หาเขาก่อนนะ บางทีคุณอติภัทรอาจช่วยเราได้”

พิรัชต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลังจากเจรจาอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็ส่งรูปถ่ายบุษราคัมไปให้เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยหาที่มาที่ไป

“คุณอติภัทรบอกว่าต้องใช้เวลา แต่เขาจะรีบสืบให้ ระหว่างนี้พ่อว่า เราเอาบุษราคัมใส่ตู้เซฟเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”

“น้องพลอยกับคุณนิคงเสียดายแย่ เห็นชะเง้อมองกันตาปริบๆ” อคิณพูดติดตลก

“บอกตามตรงนะเพชร พ่อยังไม่สบายใจ ของมีค่าขนาดนี้ ถึงแม้เจ้าของจะบอกว่าเรามีบุญคุณก็เลยส่งมาให้ แต่จะแน่ใจได้ยังไงว่า ไม่มีอะไรซุกซ่อนอยู่ พ่อว่าเราสืบให้แน่ก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงต้องกังวลใจไปอย่างนี้”

 

ไม่ผิดจากที่อคิณคิด เพราะทันทีที่อยู่ตามลำพัง พลอยพยัพก็บ่นให้ฟังตามประสา หล่อนอยากได้บุษราคัมน้ำงามเม็ดนั้น

“ทำไมคุณพ่อต้องซีเรียสแบบนี้ด้วย หาเจ้าของไม่ได้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”

“เป็นสิพลอย… รู้บ้างไหมว่าบุษราคัมเม็ดขนาดนั้น ราคาจะประมาณสักเท่าไร” แม้อคิณจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ดูจากขนาดและความแวววาวก็พอเดาออกได้ว่า ราคาคงเป็นเลขห้าหลัก แต่พอบอกออกไปพลอยพยัพกลับแย้ง

“แพงขนาดนั้นเลยหรือคะ”

“ใช่สิ… ตอนนี้พลอยน้ำงามหายาก สมัยก่อนที่บางกะจะ จันทบุรี มีพลอยน้ำงาม แต่ตอนหลังคนเข้าไปขุดหาพลอยกันเยอะมาก ที่น้ำงามๆ ก็ถูกขายออกไปจนเกือบหมด พี่เคยได้ยินเขาเล่ากันว่า ตอนนี้พลอยน้ำหนักตั้งแต่ห้ากะรัตขึ้นไปส่วนใหญ่ต้องมาจากเหมืองในพม่า”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่เขาให้เราแล้ว คุณพ่อจะคิดมากไปทำไม หรือกลัวว่าเจ้าของจะมาทวงคืน”

จดหมายเขียนชัดเจนว่า เจ้าของให้เพื่อทดแทนบุญคุณ แต่พิรัชต์กลับแย้งเพราะไม่มีชื่อผู้ส่ง ยิ่งเห็นอัญมณีน้ำงาม พลอยพยัพก็ยิ่งเสียดายใจแทบขาด หากเป็นไปได้หล่อนอยากเอาไปให้ช่างออกแบบทำแหวนหรือจี้ใส่ในอาทิตย์หน้าเลยด้วยซ้ำ แต่นึกไม่ถึงว่า บิดาที่เคยตามใจมาตลอดแต่ครั้งนี้กลับไม่ยอม พอเห็นหล่อนกับนิรัชชาเถียงกัน บิดาก็นำบุษราคัมเม็ดนั้นไปเก็บไว้ในตู้เซฟไม่ยอมยกให้ใครเลย  

“คุณพ่อกลัวว่าจะมีเรื่องตามมา เกิดทีหลังเขามาทวงคืน หรือไม่ก็บอกว่าส่งผิด ทีนี้จะเอาอะไรไปคืนเขา”

“คิดมาก” พลอยพยัพค่อน” ชื่อก็เขียนอยู่ชัดๆ อีกอย่างพัสดุก็มาอยู่ในกล่องจดหมายเอง เราไม่ได้ไปขโมยมาสักหน่อย”

“ใจเย็นๆ น่าพลอย ถ้าอยากได้ รอให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของอีกนิด แล้วพี่จะพูดกับคุณพ่อให้ว่า พลอยอยากได้”

“พลอยจะแน่ใจได้ยังไงว่า ยายนิจะไม่แอบไปอ้อนขอจากคุณพ่อก่อน”

นิรัชชาแต่งงานกับพิรัชต์ได้เพียงสองปี หล่อนอายุมากกว่าพลอยพยัพสี่ปี ด้วยนิสัยช่างออดอ้อนเอาใจ คุณพิรัชต์จึงหลง แม้นิรัชชาจะใช้เงินฟุ่มเฟือยแต่บิดาก็ไม่เคยว่า ให้รำคาญใจ มีปรามบ้างหากตัวเลขในบัตรเครดิตสูงเกินหกหลักเท่านั้น

“ครั้งนี้คุณพ่อไม่ใจอ่อนแน่”

“พลอยไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงได้หลงนังนั่นนัก มันมีดีอะไร”

“พลอย”

อคิณเอ็ด เขาเลิกทำตัวเป็นลูกหวงพ่อมานานมากแล้ว แม้ลึกๆ จะรู้สึกผิดหวังที่บิดาแต่งงานกับหญิงสาวคราวลูก แต่พอคิดว่า ตลอดเวลาหลายปีหลังจากมารดาเสียชีวิตท่านก็ครองตัวเป็นโสด คุณพิรัชต์ไม่เหมือนนักธุรกิจคนอื่นๆ ที่เห็นสาวรุ่นเป็นขนมหวาน เขาตั้งใจบริหารงานและสร้างฐานะ แต่พอแก่ตัวลงก็อยากได้คนมาดูแล นิรัชชาเข้ามาในจังหวะพอดี หล่อนเคยเป็นผู้ช่วยเลขาของคุณพิรัชต์มาก่อน จึงรู้จักอุปนิสัยใจคอเขาเป็นอย่างดี

“พี่เพชรทนได้ยังไง”

“ไม่ใช่พี่ต้องทน แต่มันเป็นความสุขของพ่อ เราในฐานะลูกก็ควรเข้าใจ”

“พลอยกลัวว่ามันจะผลาญสมบัติของพ่อหมดนะสิ”

ปัญหาเดียวของนิรัชชาคือใช้เงินมือเติบ อคิณตั้งใจว่า หลังจากเข้ามาบริหารงานเต็มตัว เขาจะเปลี่ยนบัตรเครดิตให้หล่อนและลดวงเงินลง หากยังไม่เชื่อฟังอาจจะต้องเรียกมาคุย เขายังเชื่อว่า บิดาจะเห็นด้วยในเรื่องนี้ ขาดแต่ว่า ต้องรอเวลาที่เหมาะสมที่จะพูดเท่านั้น

“อย่ามองคุณนิในแง่ร้ายเกินไปสิ”

“นี่พี่เพชรเข้าข้างมันงั้นหรือ”

“พี่ไม่ได้เข้าข้าง แต่ที่ผ่านมาคุณนิก็มีข้อดี อย่างน้อยเขาก็ดูแลคุณพ่อแทนเราสองคน”

ช่วงที่อคิณกับพลอยพยัพไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ก็ได้นิรัชชาคอยดูแลบิดา แม้หล่อนจะยังมีนิสัยเด็กๆ และเอาแต่ใจ แต่ก็ยังซื่อสัตย์ต่อคุณพิรัชต์เสมอมา

“พลอยไม่พูดด้วยแล้ว ขอขึ้นห้องดีกว่า พรุ่งนี้มีงานถ่ายแบบแต่เช้า เดี๋ยวตาบวมจะไม่สวย”

พลอยพยัพหน้าบึ้งตึง อคิณยื้อมือน้องสาวเอาไว้ เอื้อมมือไปลูบเส้นผมอย่างเอาใจ

“อย่างอนไปเลยน่าคนสวย พี่บอกแล้วไงว่าจะพูดให้ นี่พลอยไม่เชื่อใจพี่งั้นหรือ”

“พี่เพชรต้องทำตามสัญญานะ พลอยบอกตามตรงว่า ชอบบุษราคัมเม็ดนี้มากๆ ไม่รู้เป็นยังไง เห็นแล้วมันอยากได้”

อคิณมองน้องสาว หล่อนเป็นคนตรงไปตรงมาอย่างนี้เอง ชอบก็บอกว่าชอบไม่แปลกหรอก เพราะขนาดตัวเขาเองเป็นผู้ชายยังรู้สึกว่าบุษราคัมเม็ดนี้มีบางอย่าง…

ประกายของมันสะท้อนกับไฟกลางห้อง ส่องสว่าง ทั้งเหลี่ยมมุม ความเงางามซึ่งหาได้ยากนักในยุคนี้ ถ้าหากได้ช่างมีฝีมือทำกรอบล้อมเพชรให้ ไม่ว่า จะเป็นแหวนหรือจี้ห้อยคอ คงจะสวยมากทีเดียว

“ไปนอนเถอะ พักผ่อนเยอะๆ นะเรา”

“พลอยไปก่อนนะคะพี่เพชร กู๊ดไนต์ค่ะ”

ร่างบางยื่นหน้ามาหอมที่แก้มเร็วๆ อคิณมองตามแผ่นหลังของคนที่เดินขึ้นบันได เขารู้ดีว่า พลอยพยัพยังไม่ค่อยวางใจนัก เพราะหลายครั้งที่นิรัชชาก็มักจะอ้อนขอของจากบิดาอยู่บ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้อคิณรับปาก เขาจึงตั้งใจจะทำตามสัญญาให้ได้ เขาเองก็สงสัยในที่มาของบุษราคัม เมื่ออยู่ตามลำพังชายหนุ่มจึงหยิบโน๊ตบุ๊กขึ้นมาเปิด

เขาพิมพ์คำว่า ‘บุษราคัม’ ลงไป ข้อมูลมากมายก็กระเด้งขึ้นมา บุษราคัม คืออัญมณีประเภทคอรันดัมที่มีสีเหลือง อาจมีสีอื่นปนบ้าง แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มจะได้ราคาดี สีเหลืองทองมักเรียกว่า บุษย์น้ำทอง ลักษณะที่ดีคือ ต้องใส ไม่มีตำหนิที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แหล่งอัญมณีสำคัญอยู่ที่จันทบุรี กาญจนบุรี การเจียระไนมักนิยมเป็นทรงเหลี่ยม ส่วนที่ต่างประเทศนั้นพบที่แอฟริกา ออสเตรเลีย มาดากัสการ์ แทนซาเนีย ถ้าเป็นบุษราคัมในเมืองไทยมักมีสีน้ำตาลปนเหลืองคล้ายสีสุรา จึงมักเรียกกันว่าสีเหลืองเหล้าแม่โขง แต่ที่มีขนาดใหญ่อย่างที่เห็นวันนี้พบน้อยมาก

อัญมณีชนิดนี้อาจเรียกอีกอย่างว่าแซฟไฟร์สีเหลือง เป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์หรือความจริง เป็นหนึ่งในสิบสองอัญมณีพื้นฐานที่มีพลังอำนาจ จึงใช้ประดับหน้าอกของบาทหลวงในสมัยก่อน นอกจากนั้นยังเป็นอัญมณีที่นำความสงบและรุ่งโรจน์มาให้แก่ผู้สวมใส่อีกด้วย เม็ดที่ส่งมามีสีเหลืองทองจึงน่าจะเป็นบุษย์น้ำทองตามตำรา

อคิณค้นดูข้อมูลการซื้อขายในตลาดทั้งในร้านเครื่องประดับ ตัวแทนขายพลอยจากจันทบุรี แต่กลับไม่มีใครพูดถึงบุษราคัมน้ำหนักสิบกะรัตมาก่อน เขาคลิกเข้าไปในเว็บไซต์หลายแห่งเผื่อว่า จะมีใครพูดถึงบ้างแต่กลับไม่พบข้อมูลอะไรเลย ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่า ใช้เวลาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานเกือบชั่วโมง ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ผนวกกับสายตาที่เริ่มจะเปลี้ยจากการจ้องภาพในจอ เขาเผลอฟุบหน้าลงกับคอมพิวเตอร์โดยไม่รู้ตัว อากาศในห้องเย็นจากการทำงานของเครื่องปรับอากาศ แต่สิ่งที่ทำให้ห้องนี้เยือกเย็นกว่าเดิมกลับเป็นแสงสีเหลือง ต้นกำเนิดของแสงสีเหลืองมาจากห้องของคุณพิรัชต์ หรือถ้าเพ่งมองให้ชัดมันแผ่ออกมาจากตู้เซฟที่ใช้เก็บอัญมณีต่างหาก

แสงสีเหลืองบ่งถึงพลังของสิ่งที่แฝงตัวอยู่ มันค่อยๆ ทำตัวให้ลีบและไหลออกจากห้องคล้ายกับวงน้ำ สอดตัวใต้ประตูเข้ามาในห้องนอนของชายหนุ่ม ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายกับคน ถ้าหากมองให้ดีจะพบว่า เงานี้รูปร่างอ้อนแอ้นจนพอดูออกว่าเป็นผู้หญิง ร่างนั้นเอื้อมส่วนที่เป็นมือไปแตะตรงแก้ม และโน้มตัวลงไปใกล้เมื่อจ้องมองชายหนุ่มชัดๆ

“คุณยังหล่อเหมือนเดิม”

เจ้าของห้องซึ่งกำลังหลับสนิทไม่ได้รู้ตัวเลยว่า มีกลุ่มพลังงานกำลังใช้มือลูบไล้ไปตามสันกรามของเขาและแสยะยิ้มอย่างพอใจ ยิ่งเห็นว่าอคิณหายใจสม่ำเสมอก็รู้ว่าเขากำลังฝัน แต่คืนนี้ฝันของเขาไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญอีกต่อไปแล้ว  เงาสีเหลืองยื่นนิ้วไปแตะตรงหน้าผาก จงใจแผ่พลังบางอย่างเข้าไป เสียงแหบพร่างึมงำในลำคอ…

“ถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะจำสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ ทุกอย่างกำลังย้อนกลับมาให้คุณได้แก้ไข จำเอาไว้นะคะอคิณ”

ชายหนุ่มปวดหัว นั่นก็เพราะฝันประหลาดที่เกิดขึ้นตลอดทั้งคืน มันเหมือนกับว่า เขาเป็นผู้ร่วมรับรู้เหตุการณ์โดยไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย และผลก็คือ ใบหน้าที่ดูอิดโรยตอนก้าวเข้ามาในบริษัท

“ดิฉันให้คนที่จะมาสัมภาษณ์นั่งรออยู่ในห้องประชุมแล้วนะคะ วันนี้มีทั้งหมดสามคน หน่วยก้านดีทุกคน”

ขวัญสกุลซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกบุคคลรีบยื่นแฟ้มให้เมื่อเห็นอคิณเดินเข้ามา

“ขอบคุณมากครับ ผมมีเวลาสัมภาษณ์แต่ละคนเท่าไร”

“คนละสิบห้านาทีพอไหมคะ เพราะคุณอคิณประชุมต่อในตอนบ่าย”

“น่าจะพอนะครับ”

เหตุผลที่ต้องการเลขาฯ ในเวลากระชั้นชิดก่อนเข้ารับตำแหน่งเพราะคุณกรกนกซึ่งเป็นเลขาคนเดิมประสบอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก หล่อนไม่รู้ว่า เพราะอะไรถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น ทั้งที่ปกติกรกนกเป็นคนรอบคอบ หล่อนมักจะใช้ลิฟต์มากกว่าบันได แต่คราวนี้เป็นอุบัติเหตุ โชคยังดีที่ไม่ถึงกับหัวแตกหรือบาดเจ็บในสมอง เลขาสาวแค่แขนหักจึงต้องหยุดงานเดือนครึ่งถึงสองเดือน แต่งานในบริษัทรอไม่ได้ เขาจึงต้องเปิดรับเลขาคนใหม่

“รายละเอียดกับวุฒิฯ ของผู้มาสมัครอยู่ในแฟ้มแล้วนะคะ”

“ทำไมคุณกุลไม่มาเป็นเลขาฯ ผมเองละครับ”

“คงไม่ไหวหรอกค่ะ กุลไม่ถนัดงานนี้ คุณอคิณลองดูผู้สมัครดีกว่า นะคะ กุลเชื่อว่าต้องมีใครที่เหมาะ”

“แต่ในแฟ้มทุกคนอายุน้อยด้วยกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่เพิ่งเรียนจบมาใหม่ จะมาทำงานนี้ได้หรือครับ”

“เหมือนมีอยู่คนหนึ่งอายุมากกว่าเพื่อน ลองดูแฟ้มสุดท้ายนะคะ กุลว่าเข้าท่าที่สุด”

อคิณลองพลิกดูรายละเอียด สิ่งที่ทำให้เขาสนใจคือ หล่อนมีประสบการณ์มากกว่าเพื่อน

“ถ้าเคยทำงานทำไมถึงลาออก หรือว่ามีปัญหา”

“เห็นว่า บ้านไกลจากที่ทำงานเดิมค่ะก็เลยต้องลาออก ดิฉันชอบนะคะคนนี้ดูหน่วยก้านดี พูดจาฉะฉานแต่ก็ไม่กล้าจนไม่ยอมฟังอะไร”

“ดูท่าคุณกุลจะมีคำตอบในใจแล้วใช่ไหม”

“ค่ะ แต่ก็ต้องแล้วแต่คุณอคิณพิจารณานะคะ ดิฉันเป็นแค่ผู้รับคำสั่งเท่านั้นค่ะ เอาเป็นว่า ดิฉันจะเชิญผู้สมัครเข้าไปในห้องคุณอคิณทีละคนนะคะ จะได้เริ่มต้นสัมภาษณ์กัน ขอให้ได้พบเลขาฯ ที่ถูกใจ ทำงานด้วยกันอย่างมีความสุขนะคะ”

“คุณอคิณ ดิฉันเข้าทำงานแล้วจริงๆ หรือคะ”

หญิงสาวถามย้ำให้แน่ใจ ขวัญสกุลยิ้มและเลื่อนแฟ้มเอกสารให้แทน

“ใช่ค่ะ นี่คือสัญญาการเป็นพนักงาน คุณวรัญญาลองอ่านดู ถ้าไม่ติดขัดอะไรก็เซ็นตรงท้ายนี้ได้เลยนะคะ”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย ดิฉันยังคิดว่าฝันไปเสียอีก นี่ดิฉันจะได้ทำงานกับบริษัทพีพีอินชัวร์รันส์จริงใช่ไหมคะ”

“จริงสิคะคุณวรัญญา เราไม่เคยล้อเล่น คุณผ่านการสัมภาษณ์งาน ถ้าพร้อมเมื่อไรก็มาเริ่มงานได้เลย”

อคิณเป็นผู้สัมภาษณ์พนักงานใหม่ด้วยตนเอง เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็มอบให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลจัดการเรื่องเอกสาร ในบรรดาผู้สมัคร วรัญญาหน่วยก้านดีกว่าเพื่อน อีกทั้งยังดูเอาการเอางาน ผิดกับอีกสองคนที่บุคลิกไม่ค่อยมั่นใจ แถมประวัติการทำงานก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยดีนัก เพราะทะเลาะกับเจ้านาย ส่วนอีกคนเปลี่ยนงานมาห้าที่แล้ว เมื่อสัมภาษณ์ก็พบว่า ทัศนคติไม่ดีนัก คอยถามถึงเรื่องปรับเงินเดือนตลอดเวลาทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มงาน

“ฉันดีใจมากๆ เลยค่ะ ดิฉันเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตระกูลกรัญย์สกุลมานานมากแล้ว”

“ตอนนี้คุณอคิณเป็นผู้บริหารค่ะ ถ้าท่านบอกว่ารับคุณ ก็แสดงว่า คุณได้งานแน่นอน”

วรัญญาเปิดหน้าสุดท้ายของเอกสารและเซ็นชื่อลงไปในทันที หลังจากนั้นก็ยื่นแฟ้มคืนให้ขวัญสกุล หล่อนแทบไม่ได้อ่านรายละเอียดด้วยซ้ำ

“ไม่อ่านรายละเอียดข้างในสักหน่อยหรือคะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอเพียงแค่ได้ทำงานที่นี่ ข้อตกลงอะไรก็รับได้ทั้งนั้น ดิฉันสัญญาว่า จะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ จะไม่ทำให้บริษัทต้องผิดหวังเลยค่ะ”

“คุณวรัญญานี่น่ารักจริงๆ”

“ดิฉันอยากทำงานที่นี่มากๆ เลยรู้ไหมคะ เรียกว่า เป็นความฝันมาตลอดก็ว่าได้”

“คุณคิดว่าจะมาเริ่มทำงานได้เร็วที่สุดเมื่อไรหรือคะ”

“พรุ่งนี้ค่ะ คุณขวัญสกุลคงไม่รู้หรอกว่า ดิฉันฝันถึงช่วงเวลานี้มานานมากแล้ว วันที่ดิฉันจะได้เป็นเลขาฯ ของคุณอคิณเต็มตัว”

 



Don`t copy text!