เปิดหู เปิดตา เปิดใจ ในศรีลังกา ตอนที่ 6 : จากถ้ำบนเขา สู่ สวนสมุนไพรริมทาง
โดย : อรรถรัตน์ จันทรวรินทร์
ไม่ได้มีแค่ นิยายออนไลน์ ให้อ่าน ที่ อ่านเอา แต่เรายังมีบทความอ่านเอาสบายอีกเพียบ อย่างซีรี่ย์สารคดีท่องเที่ยวศรีลังกาจากมุมมองของตุ๊กตาบันนี่กระต่ายน้อยชุดนี้ โดย อรรถรัตน์ จันทรวรินทร์ ให้ได้ อ่านออนไลน์กันเพลินๆ
——————————————————
จองโรงแรมในเครือ Accor Hotels ทุกการเข้าพักและชำระเงิน
จะมียอดสนับสนุนเข้าสู่เว็บไซต์อ่านเอาของพวกเรา :)
หลังจากนอนหลับสนิทเป็นตาย พวกเราก็ต้องตื่นแต่เช้า และอำลาพี่ๆ ที่ Trilanka เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกันอีกแล้ว ระยะทางจากดัมบุลล่าสู่เมืองแคนดี้นั้นห่างกันเพียง 65 กิโลเมตรเท่านั้น และใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง แต่นั่นไม่นับรวมเวลาที่เราหยุดพักยัง Ranweli Spice Garden อีก 1 ชั่วโมงกว่าๆ เข้าไปด้วยนะฮะ
ที่ Ranweli นี้เป็นสวนที่ปลูกสมุนไพรและเครื่องเทศชั้นดี อยู่ที่เมืองมาตาเล (Matale) ระหว่างทางไปเมืองแคนดี้ ที่นี่จัดแสดงสมุนไพรและเครื่องเทศนานาชนิด พร้อมยังมีการสาธิตการใช้งาน และยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปที่นักท่องเที่ยวสามารถซื้อนำกลับไปใช้ที่บ้าน หรือเป็นของฝากได้ตามใจชอบอีกด้วย
หลังจากเราโดนหว่านล้อมด้วยทีมงานอันทรงประสิทธิภาพของ Ranweli และเสียเงินช้อปปิ้งในสิ่งที่เราคิดว่าอาจจะไม่ได้ใช้งานมันจริงๆ อย่างเช่น ยาหม่องนานาชนิด-ครบทุกขนาด รวมถึงน้ำมันนวดหัว นวดตัว และอีกสารพัดแล้ว ก็ถึงเวลาอำลาพวกเขาเพื่อมุ่งหน้าสู่แคนดี้กันจริงๆ จังๆ เสียที
จากสวนสมุนไพร สู่เมืองลูกกวาด
หลังจากกึ่งหลับกึ่งตื่นเพราะทั้งเหนื่อยและเมื่อยล้ามาตลอดทาง พวกเราก็เดินทางมาเมืองแห่งลูกกวาดกันโดยสวัสดิภาพ
ลั้นลา… ผมดีใจจนออกนอกหน้าเพราะคิดว่าวันนี้คงจะลาภปาก ได้กินลูกอมและขนมหวานจนพุงกาง
“ใช่ที่ไหนเล่า ที่นี่คือ Kandy ไม่ใช่ Candy ที่แปลว่าลูกกวาด เจ้ากระต่ายตะกละเอ๊ย” พี่กรู๊ฟเฉลย พร้อมกับทับถมที่ผมเข้าใจผิดอย่างสะใจ สงสัยจะยังไม่หายแค้นที่ผมแอบหัวเราะเยาะบนถ้ำดัมบุลล่า แต่เอ๊ะ… ถ้าที่นี่ไม่ใช่เมืองแห่งลูกกวาดอย่างที่ผมฝันไว้ แล้วอะไรคือสุดยอดไฮไลต์ที่พี่กรู๊ฟบอกกันเล่า
แต่จนแล้วจนรอด ท่าทางวันนี้คงจะยังไม่ได้รับคำตอบ เพราะนี่ก็ปาเข้าไปสี่โมงเย็นแล้ว คุณลุงมหินทร์จึงพาเราเข้าที่พักแห่งต่อไป ที่ชื่อว่า Randolee Luxury Resort ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ใช่ที่พักแบบพื้นๆ แน่ๆ แต่ถึงจะไม่นิยมที่พักแบบพื้นๆ ทำไมจะต้องไปอยู่เสียสูงลิบบนยอดเขาด้วยละฮะ! แถมกว่าคุณลุงมหินทร์จะพาเราเข้าไปส่งถึงที่นั่น ผมก็แทบจะเป็นลมด้วยเพราะถนนที่วนเวียนคดเคี้ยวของขุนเขาเสียแล้ว
แต่เมื่อไปถึงโรงแรม ความเหนื่อยและเมื่อยล้าทั้งหลายก็มลายสูญสิ้น เพราะทิวทัศน์ของเมืองแคนดี้ทั้งเมืองที่เห็นอยู่ตรงหน้า รวมทั้งสายลมเย็นๆ ที่พัดมา ก็สร้างความสดชื่นให้กับพวกเราชาวบันนี่ทัวร์ได้เป็นอย่างดี
หลังจากเช็กอินเรียบร้อยและเตรียมตัวนอนแอ้งแม้งเกาพุงให้สบายใจเฉิบ ผมนึกว่าโปรแกรมการเดินทางของวันนี้จะจบสิ้นลงเมื่อเรามาถึงที่พักอย่างทุกครั้ง แต่ผมต้องแปลกใจเมื่อคุณลุงมหินทร์บอกว่า ไหนๆ ก็ยังหัววัน ให้เราเข้าไปอาบน้ำสร้างความสดชื่นให้กับร่างกายกันเสียก่อน เดี๋ยวตอนหนึ่งทุ่มจะแวะมารับ เพื่อไปผ่อนคลาย ตามแบบฉบับของอายุรเวทสปาของจริง และพวกพี่ๆ ก็ดันตอบตกลงเสียด้วย (ต่ายเหนื่อย ต่ายอยากนอน เข้าใจกันบ้าง)
เมื่อถึงเวลานัด คุณลุงมหินทร์ก็พาเราวนเวียนลงจากยอดเขาเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะขับรถได้ไม่เร็วมากนัก เนื่องจากท้องฟ้านั้นมืดแล้ว และทางลงจากเขาก็แสนชัน แถมยังมีรถขับวิ่งสวนมาตลอดทาง พอมาถึงถนนใจกลางเมืองแคนดี้ คุณลุงก็มุ่งหน้าออกจากเมืองไปยังถนนที่อยู่เลียบแม่น้ำมหาวารี เพื่อพาพวกเราไปยังสปาที่ว่า
“เนี่ยเหรอสปา” ผมตกใจอุทานเสียงดัง เมื่อลุงมหินทร์ขับรถมาจอดตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง เพราะผมดูยังไง ที่นี่ก็ห่างไกลจากคำว่า ‘สปา’ อย่างที่พี่กรู๊ฟชอบไปเมื่อตอนอยู่กรุงเทพฯ ลิบลับ
บ้านทรงโบราณ กลิ่นสมุนไพรที่ตลบอบอวล แถมยังให้ความรู้สึกวังเวง เพราะซ่อนตัวอยู่ห่างไกลจากเมืองแบบนี้ จะบริการสปาแบบไหนกัน
“ไหนๆ ก็มาแล้ว ลองดูก็แล้วกัน” ว่าแล้วพี่ๆ ทั้งสองก็ลงจากรถเดินตามคุณลุงมหินทร์ไปโดยไม่มีใครใยดีผมเลยแม้แต่คนเดียว …คิดแล้วมันเศร้าใจนัก ผมรีบวิ่งตามพวกเขาไป แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าที่นี่มีผู้คนมากมายเข้ามาใช้บริการ ทั้งหมดจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยที่มีไกด์นำเที่ยวท้องถิ่นเป็นคนพามา
ทั้งสองตัดสินใจเลือกแพ็กเกจนวดตัว อบสมุนไพร และซาวน่าสมุนไพร เพื่อหวังจะให้หายจากความเมื่อยล้า ส่วนผมนั้นได้แต่นั่งรออยู่ด้านหน้ากับคุณลุงมหินทร์ และเดินไปเดินมาอ่านป้ายที่ติดเอาไว้ตามฝาผนัง และพบว่าอย่างน้อยที่นี่ก็น่าเชื่อถือพอดู เพราะได้รับการรับรองจาก Institute of Indigenous Medicine Affiliated to University of Colombo เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงมานั่งอ่านคู่มือแนะนำ จนเข้าใจคำว่า ‘อายุรเวท สปา’ ของชาวศรีลังกาได้เป็นอย่างดี
Ayuravedic Massage หรือการนวดแบบอายุรเวทนั้น เป็นศาสตร์เก่าแก่ที่ใช้ในการรักษาโรคของชาวอินเดียและประเทศในแถบนี้ ในสมัยก่อน การนวดอายุรเวทนั้นไม่ใช่การบริการสปาอย่างที่คนในปัจจุบันเข้าใจ เพราะว่าใช้รักษาคนที่เจ็บป่วยจากการทำงานที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และกระดูกเท่านั้น เนื่องจากสามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี แต่ในปัจจุบันการนวดแบบอายุรเวทนั้นได้พัฒนาไป เพราะนอกเหนือจากการนวดเพื่อเป็นการรักษาแล้ว ยังเพิ่มในเรื่องของการนวดเพื่อบำรุงผิวพรรณหรือการเสริมความงามได้อีกด้วย
การนวดแบบอายุรเวทนั้นจะใช้การผสมผสานของเทคนิคการนวดที่มุ่งเน้นไปยังจุดที่เป็นข้อต่อต่างๆ ของร่างกาย ผสมผสานกับการใช้กลิ่นของสมุนไพรทั้งในรูปของสมุนไพรสด หรือน้ำมันหอมระเหยต่างๆ
แต่ผมกังวลใจเพราะไม่รู้ว่าที่นี่มีกลิ่นอะไรหอมๆ ให้เลือกไหม เพราะผมรู้ดีว่าพี่กรู๊ฟเป็นคนไม่ชอบกลิ่นแปลกๆ และเมื่อไรก็ตามที่ต้องไปอยู่ตามสถานที่ที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เขาก็มักจะกลั้นหายใจจนหน้าดำหน้าเขียวไปเลยทีเดียว
เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง ผมก็เห็นคุณลุงเจ้าของร้านวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากภายในร้าน เพื่อมาหยิบโทรศัพท์มือถือ และค้นหาเบอร์โทร.ของใครสักคน ก่อนจะกดปุ่มโทรออกอย่างลนลาน
ผมจับใจความที่เขาพูดกับปลายสายก็พอเข้าใจได้ว่า มีลูกค้าคนหนึ่งเกิดเป็นลมหน้ามืดขึ้นขณะที่เข้ารับบริการ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้นึกอะไรหรอกนะฮะ ก็แหม ที่นั่นกลิ่นสมุนไพรตลบอบอวลขนาดนี้ ขนาดผมยังรู้สึกเวียนหัวเลยทีเดียว
และแล้วก็ต้องปล่อยขำออกไปก๊ากใหญ่ เมื่อคนไข้ที่เป็นลมคนที่ว่า ก็คือเจ้านายร่างใหญ่ของผมนั่นเอง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า อะไรกัน ทำไมใจเสาะแบบนี้ เป็นลมเฉยเลย” ผมมองเห็นพี่กรู๊ฟนอนอยู่บนเตียงนวด โดยมีพนักงานนวดรุ่นคุณป้าสองคนกำลังช่วยกันพัดอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยสีหน้าที่ตกใจอย่างกับคนเห็นผี
“เดี๋ยวเหอะไอ้บันนี่ คนเป็นลมยังมาหัวเราะเยาะอีก เดี๋ยวถ้าลุกได้เมื่อไหร่นะ ได้เห็นดีกันแน่”
“แบร่ๆ จ้างก็ไม่กลัว” ถึงขนาดเป็นลมล้มพับไปแบบนี้ จะมีแรงที่ไหนมาไล่เขกหัวผมอีกละ ผมคิดแบบนั้น
สุดท้ายพี่ๆ สองหนุ่มก็ตัดสินใจยุติการนวดกลางคัน แต่พี่กรู๊ฟไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณและปลอบใจคุณป้าที่ทำการนวดให้ เพราะเกรงว่าเธอจะเข้าใจผิดคิดว่าฝีมือเธอตกหรืออย่างไร จึงทำให้ลูกค้าเป็นลมไปได้แบบนี้
สรุปแล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด นั่นคือพี่กรู๊ฟพยายามกลั้นหายใจตลอดเวลาที่อยู่ที่สปาแห่งนั้นเนื่องจากไม่ชอบกลิ่นสมุนไพร และพอนานเข้าๆ ความรู้สึกอึดอัดจากการที่หายใจไม่สะดวก รวมกับความหิวเพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่บ่าย แถมยังเหนื่อยล้าจากการเดินเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ มาตลอดทั้งวัน จึงน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่กรู๊ฟเป็นลมในวันนี้
แต่ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใด ผมก็จะจำเอาไว้ล้อพี่กรู๊ฟให้ได้อับอายไปอีกนานแสนนาน อิอิ
ออกจากสปาแล้วพวกเราก็แวะไปรับประทานอาหารเย็น แล้วมุ่งหน้ากลับโรงแรมที่พักที่อยู่บนยอดเขาสูงกันในทันที ส่วนพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะเที่ยวอยู่ในศรีลังกาแล้ว และอะไรคือสุดยอดความปรารถนาที่สามารถพาให้พี่กรู๊ฟเดินทางมาถึงศรีลังกาได้นั้น เราคงจะได้รู้กันเสียที
ทิปการเดินทางจากกระต่ายน้อย 🙂
- หากไปเที่ยวเป็นคู่หรือหมู่คณะ เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยก็ควรจะบอกกับหัวหน้าทัวร์ อย่าเกรงใจและทนฝืนจนอาการหนัก เพราะนั่นอาจจะเป็นภาระคนอื่นได้มากกว่าที่เราคิด แต่การสำออยตลอดเวลาก็จะพาให้คนอื่นหมดสนุกได้ง่ายๆ เช่นกัน
– อ่านตอนต่อไป –