ลำนำพราย : บทนำ
โดย : เก็ตตะหวา
ลำนำพราย นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศ โครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓ โดย เก็ตตะหวา เรื่องราวของหนองน้ำที่มีเรื่องเล่าและความลึกลับ มีภูตร้ายพรายผีที่หมายจะเอาชีวิตผู้คนที่กรายใกล้หรือที่จริงแล้วเป็นเพราะความโหดร้ายของมนุษย์กันแน่ที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขัดขวางความต้องการภายในจิตใจ นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งที่ anowl.co
ดึกมาซ๊อยล๊อย น้ำย้อยติ๋นก๋อน
ดึกมา ออนซอน เย็นหมอง เงียบเซี้ยง เหลือแต่คำเขียวคนเดียวหมองเมี้ยง กับลูกธิดาดอกไม้
ทุกข์ท่วมใจ๋หมองไหม้
ดึกมามาบม้อย น้ำย้อยติ๋นก๋อน
ดึกมาออนซอน ดาวหมองหม่นฝ้า
ง่อมเหงาหัวใจ๋ ไปทุกหย่อมหญ้า วิเวกวังเวง เงียบนัก
มนุษย์ทั้งหลาย นอนในสำนัก ดักเงียบปิ้งเย็นวอย
ลมก่บ่พัด สงัดหายสอย แสงเดือนมอยมอย ลอดลายกิ่งด้าย
หันมาวุ่นวาย แสงไฟต๋ามบ้าน มันหนาวเย็นคิงสะท้อน
ง่อนงัน จับใจ๋ ป้อไหมยอดมัน มาหนักหน่วง ค่อนฤดี
(ค่าวฮ่ำโบราณ)
เสียงร้องคร่ำครวญเป็นค่าวคำเครือ เสียงขับลำนำคร่ำครวญเสียงโหยหวน เสียงผู้หญิงหวานเศร้า ล่องลอยเหนือบึงน้ำกว้างใหญ่ที่มีหมอกสีขาวเป็นกลุ่มควันลอยคลุ้งคลุมเหนือผืนแผนน้ำ ในเวลาพลบค่ำโพล้เพล้ เสียงนั้นคร่ำครวญถึงความทุกข์ ความโศกเศร้า เงียบเหงาเปล่าเดี่ยว
หนองน้ำนั้นชื่อว่า หนองสะเรียม เป็นหนองน้ำที่กว้างใหญ่ กินอาณาบริเวณถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบไร่ เป็นถิ่นที่อุดมไปด้วยฝูงปลาและกอบัวนานาชนิด แต่ไม่มีผู้คนกรายใกล้ ผืนแผ่นท้องน้ำกระเพื่อมไหวตามแรงลม เกิดคลื่นระยิบ หากก้มมองลงไปในน้ำ จะเห็นเงาพร่าเลือนอยู่ข้างใต้น้ำ เป็นรูปเงาของผู้หญิงสาวหญิงสาวผมยาวนั่งก้มหน้า ห่อตัวคุดคู้ อยู่ใต้น้ำลึกอย่างแสนเหน็บหนาว ร้าวราน
มันเป็นเวลาพลบค่ำโพล้เพล้ ไม่ใช่กลางวันและไม่ใช่กลางคืน เวลาพลบค่ำสนธยา ทางผ่านทวารภพเปิด ทั่วท้องน้ำเงียบสงัดวังเวง เสียงค่าวฮ่ำรำพันนางบัวคำค่อยๆ เลือนหายไปกับสายลม เงาพลิ้วไหวใต้กระแสน้ำเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างชัด นางเงยหน้ามองฟ้า มองฝั่ง เหมือนรอคอยใครสักคน แสงสีแดงแห่งย่ำค่ำ สอดส่องไปทั่วผืนแผ่นน้ำแดงฉาน
ที่นี่มีเรื่องเล่าขานมานานนัก นางงามนัก นางดีเลิศล้ำ แต่สุดท้ายกลับถูกชายคนรักผลักไส นางตายตกน้ำในหนองน้ำลึกแห่งนี้ กลายเป็นผีนางบัวคำ นางรอคอยร่ำไห้ คอยอยู่ใต้น้ำ ตราบนานเท่านาน นานจนกว่าชายผู้ผลักนางตายใต้ต่ำตมจะกลับมา
รักหรือแค้น จริงฤๅลวง แต่นางยังเฝ้ารอ…นางพราย
ที่นี่ถูกเรียกขานว่า วังพราย ด้วยมีพรายน้ำแสนสวยนางหนึ่ง นางตายตกน้ำ เสียงเล่าลือว่ากันว่า นางเดินลงน้ำตายตามชายคนรักที่ถูกฆ่าทิ้งน้ำ บ้างว่านางถูกชายคนรักผลักตกน้ำตาย บ้างว่านางถูกครอบครัวชายคนรักบีบบังคับให้มาฆ่าตัวตาย
หลังจากชายคนรักสูญหาย เป็นหรือตาย ไร้ร่องรอย เสมือนหนีหายแลหน เดินบนหมอกฟ้า
หนีเข้าเมฆาหายลับ…เรื่องเล่าแล้วแต่ว่าใครเป็นผู้เล่า…แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ ณ หนองน้ำแห่งนี้ คือสุสานแห่งนางพรายน้ำบัวคำ
รุ่งเช้า – ตะวันสาดทาแสงทางทิศตะวันออก แสงสีทองสะท้อนกับผืนน้ำทาทาบทับ ดุจดังเป็นวังทอง นางยังเฝ้ารอ วารวันแห่งการรอคอยผ่านผันฤดูเปลี่ยน ตะวันขึ้นจวบจนตะวันตกไปมิรู้กี่พันวัน ก็ยังไม่มีวี่แววผู้เป็นที่รักจะหวนคืน ใต้น้ำลึกนั้นหนาวเย็น มืดมิด เหน็บหนาวปวดร้าวนัก
นานแสนนาน วังนางพรายใต้น้ำลึก มีเพียงนางเฝ้าคอยใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นคงหลงลืม และจากไปไกลแสนไกล เพราะรักผลักไส ให้เดินทางไกลแสน เส้นทางยากแสนแร้นแค้น จำเดินดุ่มเดียว
เช้าวันใหม่ แสงสีทองสาดส่องทาบทับผิวน้ำ เงาร่างภาพลวงตาพร่าไหวหายวับ
ริมฝังน้ำนั้น มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจับกลุ่มกัน ก้มมุงดูบางสิ่งบางอย่างที่พื้นดินเปียกชุ่มนั้น “ศพคนตกน้ำตาย” เสียงชาวบ้านเซ็งแซ่ จับใจความแทบไม่ได้ ศพนั้นเป็นหญิงสาว ร่างบอบบางอ้อนแอ้น ถูกนำร่างขึ้นมาวางกลางดิน ผมยาวสยายสีดำเปียกน้ำ ล้อมกรอบหน้าซีดเซียวนั้นไว้ ราวกับสาหร่ายห่อหุ้มล้อมกรอบใบหน้าไว้ บัวคำคือชื่อของร่างไร้วิญญาณนั้น
“บัวคำตายตกน้ำ มีคนเห็นพี่สาวเจ้าคร้้งสุดท้ายว่าอยู่กับอ้ายน่านฟ้า เมื่อวันวาน” หนานถาพ่อของศพจมน้ำ เอ่ยคำสั้นๆ กับลูกสาวคนเล็กด้วยหน่วยตาแดงก่ำน่ากลัว ผู้เป็นพ่อช้อนร่างลูกสาวคนโตไว้ในอ้อมแขนพร้อมกัดกรามจนเป็นสันนูน มุ่งหน้าไปยังบ้านนายแคว้นสีมา พ่อของหนุ่มที่ชื่อน่านฟ้าที่ถูกกล่าวถึงอย่างโกรธแค้น
“น่านฟ้าเข้าเมืองไปตั้งแต่วานซืน บอกว่าจะไปทำไม้กับบริษัทบอร์เนียว น่านฟ้าฮักลูกสูนักจนยอมไปทำงานกับหมู่ฝรั่งดั้งขอ เพื่อหาเงินมาขอลูกสู น่านฟ้าลูกเฮาจะไปทำลูกสูต๋ายตกน้ำได้จะได” พ่อแคว้นปฏิเสธเสียงดัง เมื่อเห็นชาวบ้านมากกว่าสิบคน เดินตามหลังหนานถาที่อุ้มร่างไร้วิญญาณ อันเปียกโชกของลูกสาวเดินตรงมา ทวงถามหาลูกชายของนายแคว้นถึงหัวกระไดบ้าน
“เฮาบ่เจื่อ เฮาบ่เจื่อๆๆ” เสียงชาวบ้านที่โกรธแค้น พากันตะโกนเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผู้เป็นพ่อเดินย่างเท้าก้าวขึ้นเรือนใหญ่มาทีละก้าวๆ อย่างมั่นคง ในอ้อมแขนมีศพลูกสาวที่เริ่มซีดเขียวน่ากลัวขึ้นมาด้วย ผมยาวสีดำเริ่มระลงพื้น มีหยดน้ำติ๋งๆ ไหลหยดจากชายผ้านุ่งผ้าซิ่นตีนจกผืนนั้น น้ำไหลหยดย้อยตามขั้นบันไดเป็นวงๆ
“เฮาอุ้มเอาบัวคำขึ้นเฮือนมา เพื่อให้ไอ้น่านฟ้ามันมาดู มาดูว่าคนที่มันเคยบอกว่าฮักตอนนี้ต๋ายแล้ว ตกน้ำต๋าย กลายเป็นผีเฝ้าหนองน้ำ มันไปซุกหัวอยู่ตี้ไหน ถ้ามันเป็นลูกผู้ชายก่ออกมา ออกมาดูบัวคำที่เป็นศพให้เต็มตา” ผู้เป็นพ่อสาวบัวคำคำรามคำผ่านไรฟัน สะอื้นไห้อยู่ในอก บรรจงวางศพลูกสาววัยผลิบานลงกลางเรือน ตะโกนลั่นให้ผู้ต้องสงสัยออกมาดูผลงาน
“บ่มีไผอยู่บนเฮือน น่านฟ้าบอกว่าจะไปทำงานในเวียง ไผห้ามก่บ่ฟัง พ่อแม่บ่หื้อไป ก่จะลักหนีไป เพื่อเอาเงินมาสู่ขอบัวคำ น่านฟ้าบ่มีทางทำร้ายบัวคำได้ บ่เจื่อก่ค้นดูในบ้านได้ ทุกซอกทุกมุม” แม่แคว้นหรือเมียนายแคว้นเข้ามาไกล่เกลี่ย พร้อมกับพาชาวบ้านขึ้นมาด้วยอีกสองคนที่ตามเข้าไปตรวจค้นภายในบ้าน
“พ่อเจ้า อ้ายน่านฟ้ามาลาพี่บัวคำเมื่อวานตอนเช้า ข้าเจ้าเห็น พี่บัวคำบ่หื้ออ้ายน่านฟ้าไปในเวียง แต่อ้ายน่านก่จะไปเพื่ออนาคต” ลูกสาวคนเล็กกระตุกมือพ่อเบาๆ พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองเห็น ตอนที่อยู่กับพี่สาวที่ริมหนองน้ำ
“แล้วพี่บัวคำก็ขออยู่ต่อเพื่อเก็บดอกบัวไปไหว้พระ ไล่ข้าเจ้ากลับมาบ้านก่อน” หนูน้อยยืนตัวสั่นเทาเล่าความ
“บ่มีคนอยู่บนเฮือนหลังใหญ่หลังนี้สักคนเน้อหนานถา” เสียงเพื่อนบ้านที่เข้าไปค้นหาตะโกนบอกมา เมื่อเห็นพ่อคนตายนั่นฟุบหน้าเฝ้าศพลูกอยู่กลางเติ๋น กลางเรือน
“รอบๆ บริเวณบ้านก่บ่มีร่องรอยลูกชายนายแคว้นเน้อ” เสียงผู้ชายชาวบ้านที่อยู่ด้านล่างตะโกนขึ้นมา หนานถาผู้สูญเสียลูกสาวคนงามก้มลงช้อนร่างไร้วิญญาณของลูกสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง โอบอุ้มดุ่มเดินหันหลังลงเรือนไปไม่เหลียวกลับมา
หนานถาเดินดุ่มหายลับตาลงเรือนไปโดยไม่มีคำพูดใด นอกจากน้ำตาแห่งความแค้นที่แน่นสุมอก น้องสาวคนตายวัยเด็กน้อยราวเจ็ดขวบตัวผอมเล็กแกร็นเดินตามพ่อไปเงียบๆ มือของเด็กน้อยเอื้อมไปจับมือพี่สาวที่ห้อยลงข้างตัวเย็นเฉียบไว้ไม่ยอมปล่อย จับจูงพากันเดินไปไม่เหลียวหลัง
ตั้งแต่นั้นทุกค่ำคืนเดือนหงาย มีเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ว่ามีเสียงคร่ำครวญ เสียงร้องไห้ของผีสาวผมยาวอยู่ใต้บึงน้ำ ผีสาวตนนั้นชื่อว่าบัวคำ แห่งบ้านศรีดอนชัย นางเฝ้ารอชายคนรักกลับมา เนิ่นนาน ผ่านเลย ลูกชายนายแคว้นหาย สาบสูญ เดินบนหมอกฟ้า หนีเข้าเมฆาหายลับ