ลำนำพราย บทที่ 1 : เข้าเวียง
โดย : เก็ตตะหวา
ลำนำพราย นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศ โครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓ โดย เก็ตตะหวา เรื่องราวของหนองน้ำที่มีเรื่องเล่าและความลึกลับ มีภูตร้ายพรายผีที่หมายจะเอาชีวิตผู้คนที่กรายใกล้หรือที่จริงแล้วเป็นเพราะความโหดร้ายของมนุษย์กันแน่ที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขัดขวางความต้องการภายในจิตใจ นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งที่ anowl.co
ถนนดินแดง รอยทางเต็มไปด้วยฝุ่นสีแดง ดินแดงแห้งแล้ง ถนนนั้นขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ มีรอยทางเกวียนเป็นรอยคดเคี้ยวคล้ายงูใหญ่ เลื้อยคดโค้งตามทางดินแดงฝุ่นคลุ้งตลบ ถนนสายนั้นมุ่งเวียงเชียงใหม่ เวียงงาม
ถนนสายนี้ร้างไร้ผู้คน บ้านนอกคอกนาป่าเถื่อน นานๆ ครั้งจึงจะมีผู้คนสัญจร วันนี้กลับมีรถคอกหมูวิ่งผ่านมา โดยทิ้งฝุ่นตลบลอยไล่หลัง
“รีบไปโฮงยาฝาหรั่ง โฮงยาของหมอสอนศาสนา โฮงยาแมคคอร์มิค พาเอาลูกสาวเฮาไปฮักษา” หนานถาโอบอุ้มลูกสาวคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ไปว่าจ้างรถคิวคอกหมู รถบรรทุกที่ด้านหลังทำจากไม้ต่อให้คนโดยสารนั่งเรียงเป็นสองแถวเข้าเมือง แต่ครั้งนี้เป็นรอบพิเศษ จากที่เคยขนส่งสินค้า และรับจ้างพ่อค้าแม่ขายในหมู่บ้านเข้าไปในเมือง แต่วันนี้กลับรับส่งคนไข้ไปโรงพยาบาล
“มันไม่ใช่เวลาออกรถคิวแล้ว เหมารถไปเที่ยวพิเศษ ค่าน้ำมันแพง สูก่มีเกวียน มีวัวคู่เก่ง ยะหยังบ่เอาลูกสาวขึ้นเกวียนไปโฮงยา” คนขับรถที่พึ่งกลับมาจากในเมืองถามย้อน
“มันถึงจ๊า กั๋วลูกข้าจะต๋ายก๋างตาง” หนานถาลุกลี้ลุกลนร้องขอ
“ช่วยเฮาตวยเต๊อะอ้ายอิน ลูกสาวเฮาไข้สูงจนเพ้อหาพี่สาวที่ตายไปแล้วทั้งคืน ตั๋วก่ฮ้อนหยั่งไฟ เจ็บไข้ออดแอดมาทั้งปี ฮักษาตึงหยูกยาตึงหมอผีก่บ่หาย วันนี้ซ้ำไข้สูงนัก จ่วยพาไปโฮงยาพ่อเลี้ยงคอร์ทด้วยเต๊อะ”
พ่อผู้รักลูกหมดใจไหว้วอนขอร้อง ด้วยว่าการเดินทางด้วยการเดินเท้าหรือเกวียนคู่ใจ อาจพาลูกสาวไปไม่ถึงมือหมอ และการเดินทางที่เร็วที่สุดคือ การไปด้วยรถคอกหมูที่มีเพียงคันเดียวในหมู่บ้าน
“ค่ารถก่แปง ค่ายาฝรั่งก่แปง สูแน่ใจว่ามีจ่ายกาหนานถา” นายอินเจ้าของรถถามซ้ำย้ำอีกครั้ง
ในขณะที่เด็กน้อยในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อเริ่มตาเหลือกตาลอย เพ้อหาผีบัวคำพรายน้ำ ผีพรายตายตกน้ำ ไม่ขาดปาก
“แม้จะต้องขายไร่ขายนา ขายวัวคู่ ขายทุกอย่างเพื่อฮักษาลูก เฮาก่ยอม” พ่อผู้เหลือลูกสาวคนเดียวเป็นแก้วแก่นใจ ยืนยันหนักแน่น
ดังนั้นในท่ามกลางเปลวแดดที่ร้อนไหม้ระอุ ท่ามกลางดงแดนป่า ถนนสายขรุขระนั้นจึงมีรถคอกหมูปุโรทั่งมุ่งหน้าออกจากบ้านป่า บรรทุกร่างเด็กป่วยมุ่งหน้าสู่ในเวียง มุ่งสู่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ทันสมัย เดิมตั้งอยู่ริมน้ำปิงฝั่งทิศตะวันตก มีชื่อว่าโรงพยาบาลอเมริกันมิชชัน ภายใต้การก่อตั้งของคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาได้ขยายปรับปรุงมายังฝั่งปิงด้านทิศตะวันออก โดยนายแพทย์ อี.ซี.คอร์ท (Dr.Edwin Charles Cort) เป็นผู้ก่อตั้ง ขยับขยายโดยใช้ชื่อว่าโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ซึ่งตั้งตามชื่อของเศรษฐีนีชาวอเมริกัน ผู้บริจาคเงินทุนตั้งต้นสำหรับการก่อสร้างโรงพยาบาล
นายแพทย์ อี.ซี คอร์ท หรือที่ชาวบ้านเรียกขานนามว่า ‘พ่อเลี้ยงคอร์ท’ ได้ทำงานด้านพันธกิจ บำบัดรักษา โดยทุ่มเทกำลัง สติปัญญา กำลังกายกำลังใจ จนเป็นที่เคารพยกย่องนับถือของชาวบ้านตลอดจนเจ้านายและข้าราชการในล้านนา และหนานถากำลังมุ่งหน้าพาลูกหล้ามาเป็นคนไข้ของพ่อเลี้ยงคอร์ท
เด็กน้อยยังคงเป็นไข้ไม่ได้สติ อาการไข้ไม่สร่างกลับโทรมทรุดอยู่หลายวัน
ภายใต้ความหนาวเย็น มืดมิดของสายน้ำ มีเพียงอ้อมกอดของพี่สาวบัวคำที่อบอุ่นนัก พี่โอบกอดน้องไว้ ลูบหลังลูบไหล่ด้วยความรัก วนเวียนว่ายอยู่รอบกายปกปัก หลับตาลื่มตื่น ลืมตาไม่ขึ้น เหมือนว่ายวนอยู่ในความฝันอันมืดมนอนธการ
แสงแดดอ่อนๆ สาดแสงส่องเข้ามาทางหน้าต่างอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ อาคารสองชั้น แสงแห่งเช้าวันใหม่สาดลงมากระทบใบหน้าเด็กหญิงที่นอนหลับใหลไม่ได้สติให้ฟื้นตื่นลืมตาบนเตียงผู้ป่วย
เด็กน้อยวัยราวเก้าขวบหยีตา เมื่อมีแสงตะวันส่องสอดเข้ามาทางหน้าต่างหัวเตียง
ภาพแรกที่เห็นตรงหน้าคือ ชายร่างสูงผิวขาวชาวฝรั่งกุลาขาวในชุดเสื้อกาวน์สีขาว มีหูฟังสีดำคล้องคอ ท่าทางใจดี ยืนยิ้มอบอุ่นทักทายอยู่ข้างเตียง
“ว่าจะได ตื่นแล้วกาละอ่อนหน้อย” หมอฝรั่งพูดภาษาพื้นเมืองอย่างคล่องแคล่ว
“ลูกสาวสูหลับไปหลายวันหลายคืน เติมน้ำเกลือเติมยาหมดไปหลายกระปุก” หมอฝรั่งหันหน้าไปพูดกับพ่อของคนไข้ที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่างไปไหน คนไข้เด็กเหลียวมองจึงเห็นว่าผู้เป็นพ่อดูซูบเซียว ภายใต้ใบหน้าหม่นหมองและมีหนวดเคราเขียวขึ้นรกครึ้ม
“ไหนบอกชื่อมาลอ ละอ่อนหน้อยชื่ออะหยัง” หมอฝรั่งอู้กำเมืองถามชื่อเด็กน้อย
“ข้าเจ้าชื่ออี่ขี้หมา ขี้หมาเจ้า” เด็กน้อยตอบคำตะกุกตะกัก คำตอบนั้นทำให้หมอเจ้าของไข้ผงะ ทำหน้าฉงนชั่วประเดี๋ยวก่อนจะทำหน้าพิกล หมอหันไปยังผู้ปกครองของหนูน้อยพร้อมสอบถาม
“ลูกสูเป็นคน ทำไมตั้งชื่อเป็นหมูเป็นหมา ซ้ำฮ้ายเป็นขี้หมาให้ลูกสู”
“เดิมทีลูกกระผมก่บ่ได้จื่อขี้หมู ขี้หมาหรอกครับพ่อเลี้ยงคอร์ท” หนานถาเรียกหมอคอร์ทว่าพ่อเลี้ยงคอร์ทตามที่ชาวบ้านเรียกกันต่อๆ มา
“เพราะว่าลูกคนนี้เป็นเด็กเลี้ยงยาก เจ็บไข้ออดๆ แอดๆ มาตลอดตั้งแต่พี่สาวตาย ขวัญหาย จึงต้องเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ด บ่หื้อผีมาเอาไปอยู่ตวย” หนานถาสะท้อนใจในประโยคสุดท้ายยิ่งนัก นับแต่สาวบัวคำผู้เป็นพี่ตายตกน้ำ ลูกสาวคนเล็กก็ขวัญบินขวัญหาย ขวัญหัวบ่อยู่กับเนื้อกับตัว สามวันดีสี่วันไข้ ไห้ๆ ฮ้องๆ จะไปอยู่เมืองในใต้น้ำกับผีพี่สาว จนเจ็บไข้ไม่รู้สึกตัว ต้องหอบหิ้วมารักษาถึงโฮงยาแมคคอร์มิคในเวียง
“บ่เอาละ เจ้าก้อนขี้หมาน้อย ต่อไปนี้พ่อเลี้ยงจะตั้งชื่อหื้อเจ้าใหม่ว่า บัวหอม เป็นคนสวยต้องชื่อหอมๆ นะ บัวหอมคนสวย ต่อไปนี้เจ้าเป็นลูกคนบ่ใจ่ลูกผี” พ่อเลี้ยงคอร์ทตรวจร่างกายซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะเขียนชื่อในประวัติรักษา เปลี่ยนจากเด็กหญิงขี้หมาเป็นเด็กหญิงบัวหอมนับแต่นั้น
แดดร้อนลมแล้งของเดือนมีนาคม เดือนที่ดอกทองกวาวสีส้มแสดบานสะพรั่งไปทั่วทั้งเวียงเด็กหญิงขี้หมาที่เพิ่งได้ชื่อใหม่จากคุณหมอใจดีจากโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ก็หายฟื้นตื่นจากไข้ หายจากเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ
สองคนพ่อลูกก้าวย่างเท้าออกจากโรงพยาบาลที่ทันสมัยใหญ่ที่สุดในเวียงเชียงใหม่ ด้วยความรู้สึกเบาโหวง เจ็บไข้ครั้งนี้ลูกสาวซูบผอมลงมาก มีเพียงแววตาที่สุกใสเปล่งประกาย ที่บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีขึ้น
ส่วนตัวพ่อนั้นกระเป๋าเบาโหวงลงมาก จนถึงกับต้องกลับไปขายวัวเทียมเกวียน ขายที่นา ขายบ้าน เพื่อเป็นค่ารักษาชีวิตลูกสาว ไหนจะค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ต้องรีบไปจัดการในครานี้
“พ่อเจ้า เฮาต้องเดินเท้าปิกไปบ้านเฮากาเจ้า” บัวหอมแหงนมองหน้าพ่อที่เดินจูงมือออกจากโรงพยาบาล
“แม่นแล้วบัวหอม พ่อบ่มีเกวียน บ่มีวัวคู่เอก แต่พ่อยังมีลูก มีเฮาสองคนพ่อลูกยังอยู่ตวยกันแค่สองคนเฮา ก่ดีที่สุดแล้ว พ่อสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด เอื้อมมือหยาบกร้านสั่นเทาลูบหัวลูกสาวเบาๆ ในขณะที่บัวหอมเหลียวแลหลัง มองไปยังประตูโรงพยาบาลที่จากมา อย่างพยายามจดจำทุกรายละเอียดในครรลองสายตา
พ่อบอกว่าที่ตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้เดิมเป็นที่นา เรียกว่า นาหนองเส้ง มีสัญลักษณ์คือป่าไม้ฉำฉาหรือจามจุรีขนาดยักษ์จำนวนมาก ภายใต้เงาร่มไม้ฉำฉา มีอาคารสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ มีระเบียงและมีการก่ออิฐเป็นรูปโค้ง แปลกตาไปจากอาคารบ้านเรือนโดยทั่วไป เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีป้ายไม้โดดเด่น ภาษาที่เขียนบนป้ายนั้นเป็นอักษรไทยและภาษาที่ไม่ใช่อักษรล้านนา เป็นภาษาที่เด็กน้อยไม่เคยเห็น แต่ในความรู้สึกของเด็กน้อยมันช่างเป็นป้ายไม้ชื่อโรงพยาบาลที่งดงามและทำให้อยากรู้อยากเรียน อยากเขียนอ่านเป็นยิ่งนัก
การเดินทางด้วยเท้าฝ่าเปลวแดดเพื่อกลับบ้านของสองพ่อลูก ใช้ระยะเวลาในการเดินทางช้ากว่าคนทั่วไป ด้วยลูกสาวร้องหากินแต่น้ำ และชวนแวะพักใต้ร่มไม้ใหญ่ตามสองข้างทางเป็นระยะๆ
“บัวหอม เร่งเท้าเดินหน่อยเต๊อะลูก พ่อกั๋วว่าจะค่ำมืดกลางตาง” หนานถาเร่งลูกสาวที่เพิ่งฟื้นไข้ให้รีบเดินเร็ว
“แต่พ่อเจ้า ข้าเจ้าฮ้อนเหมือนจะเป็นไข้กลับซ้ำ ขอนั่งพักจิบน้ำอีกสักอึกได้ก่เจ้า” อย่างไม่รอคำตอบ หนูน้อยคว้ากระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำกิน ขึ้นมาดื่มอย่างกระหายหิว
“ค่อยๆ ลูก ค่อยๆ จิบทีละหน้อยๆ” พ่อรีบลูบหลังลูบไหล่ร่างผอมบางนั้นอย่างทะนุถนอม ลมร้อนแดดแจ้งตรงหัวที่ ก็พากันฝ่าฟันเดิน
จวบจนเย็นย่ำพลบค่ำเข้าไต้เข้าไฟ สองพ่อลูกคนจรเดินเท้าจึงล่วงเข้าสู่หมู่บ้านศรีดอนชัย แต่ก่อนจะข้ามเขตเข้าถึงเรือนคน สิ่งที่พาให้สะทกสะท้อนใจคือ ภาพที่เห็นตรงหน้า หนองน้ำกว้างใหญ่
‘หนองสะเรียม’ หนองน้ำที่กลืนเอาชีวิตของพี่สาวคนงามตกตายหายลับ ตะวันตกน้ำที่หนองสะเรียม สะท้อนแสงสีส้มอมแดง แสงนั้นอาบทาบทอทั่วผืนน้ำกว้าง รอบๆ ด้านขอบริมน้ำ บรรยากาศเงียบเหงาวังเวง สุมทุมพุ่มไม้รกครึ้ม เปลี่ยว เหงา หรีดหริ่งเรไรร้องระงม นกหากินกลางคืนออกร่อนบินฉวัดเฉวียน เสียงธรรมชาติดุจดังมโหรีบรรเลงเพลงขับกล่อม คล้ายเสียงคร่ำครวญหวลไห้ก้องดัง จู่ๆนกกินปลาโผโผลงขึ้นมาจากน้ำ บินฉวัดเฉวียนผ่านหน้าสองพ่อลูกระยะกระชั้นชิด จนบัวหอมเสียหลักผงะหงายเซถลาหน้าคะมำ เกือบร่วงลงไปในน้ำลึก ดีที่พ่อมือไว คว้าตัวไว้ได้ทัน
“เดินระวัง ระวังหน่อยลูก” พ่อเตือนเสียงเข้ม พร้อมกับกวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง
“ผ่อนั้นลอ หญ้ากอใหญ่ที่แผ่เป็นแพริมน้ำเหมือนแผ่นดินลอยน้ำ มันเป็นหญ้าที่บ่ได้ขึ้นบนดินมันแผ่ตัวลวงตา รากหญ้ายึดกันลอยอยู่บนผืนน้ำ หากแม้นสิ่งที่มีน้ำหนักอันใดตกลงไปบนผืนหญ้าแผ่นนั้น ก็จะหล่นลงหล่มจมน้ำหาย” หนานถาก้อลงหยิบก้อนหินขนาดเหมาะมือ ขว้างลงไปบนกอหญ้าลอยน้ำนั้น
“ปุ๋ม ปุ๋ม ปุ๋ม” เสียงหินก้อนนั้นหล่นจมหายไปในกกกอหญ้าที่คล้ายกับดักหลุมพรางกลางน้ำ
รอยหญ้าแหวกให้เห็นผืนน้ำข้างใต้เพียงชั่วครู่ แต่เพียงเผลอกะพริบตา กับดักพงหญ้านั้นก็เคลื่อนตัวเข้าหากันปิดรอยแยกกระเพื่อมข้างใต้ให้กลืนหายเลือนลับไปกับตา
“บ่ต้องสงสัยว่าวัวควายที่ชาวบ้านพามาผูกให้กินน้ำกินหญ้าละแวกนี้ ปีหนึ่งๆ จะจมหล่มหายลงไปในน้ำ ปีละหลายๆ ตัว” พ่อชี้ให้ดูร่องรอยแหวกหญ้าที่ถูกประสานสนิทไปต่อหน้าต่อตา
“หนองน้ำแห่งนี้ พ่อสอนข้าเจ้ากับพี่บัวคำ ให้รู้กลลวงของหนองหล่ม จนจำได้ว่ากอไหนปลอดภัย หญ้ากอไหนลวง” บัวหอมชี้นิ้วเล็กๆ ไปอีกหนึ่งกอหญ้าที่ไหวกระเพื่อมใกล้ๆ กัน นกกลางคืนบินฉวัดเฉวียนผ่านหน้า ส่งเสียงร้องแหลมอีกครั้ง นั่นทำให้บัวหอมเบียดตัวเองเข้ากำบังหลังพ่ออย่างหวาดกลัว
“แม่นละ ความงามของกอบัวดอกบัวในหนองสะเรียม และกับดักผืนหญ้ากลางน้ำ หลอกล่อให้คนต่างถิ่นมาหล่นหล่มจมน้ำมานักต่อนัก พอจมหายใต้ผืนหญ้าลงไปมิดหัวก็หายไปไม่เห็นตัวมานักต่อนัก”
พ่อรีบพาลูกสาวออกเดินห่างจากน้ำ เดินเลาะขอบคันหนองน้ำ มุ่งสู่หมู่บ้านในคืนมืดมิด บัวหอมไม่วายเหลียวหลังมองย้อนกลับไปทางหนองน้ำอาถรรพณ์ ถ้าหากมองด้วยหางตา จะเห็นว่ามีเงารางๆ คล้ายร่างเปียกน้ำ มันลื่น ของใครบางคนโผล่พ้นน้ำมาครึ่งตัว ร่างเปียกน้ำในน้ำเป็นเงาดำ ที่มีผมยาวสยายแผ่ไปเต็มผืนน้ำ คล้ายสาหร่ายสีดำคลุมทั่วผืนแผ่นน้ำไปจรดขอบฝั่งอีกฟาก ร่างนั้นร่ำไห้ ส่งสายตาสีแดงก่ำ คล้ายร้องร่ำไห้เป็นสายเลือด
เสียงนกทึดทือร้องทืดทืดดังก้องทั่วโค้งคุ้งน้ำ สองพ่อลูกรีบจ้ำเท้าก้าวยาวๆ ก่อนที่ดาวเดือนสีซีด หรูบหรู่ครึ่งเสี้ยวจะเกี่ยวกิ่งฟ้า ทอแสงสีนวลที่ขอบฟ้าเหนือน้ำ
“พ่อเจ้า พ่อเจื่อแต้ๆ กาว่าพี่บัวคำตายตกน้ำ บ่ใจ่มีไผทำหื้อตกต๋าย พ่อสอนกลแผนที่กอหญ้าลอยน้ำเหล่านี้ให้ข้าเจ้ากับพี่บัวคำจนจำขึ้นใจ พี่บัวคำจะย่ำเท้าพลาดตกน้ำต๋ายได้จะได” เสียงเล็กๆ ตั้งคำถามคาใจรอบที่เท่าไรจนจำไม่ได้ แว่วดังลอยมาตามลม คำถามที่ไม่เคยมีคำตอบ
คละคลุ้งฝุ่นขุ่นมัว หัวแจ้งลมเย็นหนาวโชยมา นกกาส่งเสียงทักทายรับอรุณยามเช้า หนูน้อยสะดุ้งตื่น ครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่นอกห้องหับ พอจับใจความได้ว่า
“ข้าขอฝากที่นา ที่ทางทำมาหากินทางนี้ให้อ้ายอินดูแล ส่วนบ้านไม้สักหลังนี้กับที่อยู่ ขอขายเป็นค่าไถ่ใช้หนี้ค่าหยูกยารักษาอีหล้าลูกข้า ต่อไปนี้เฮาสองคนพ่อลูกจะมุ่งหน้าไปหางานทำในเวียง ใจข้าอยากหื้อลูกหล้าได้ฮับการศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่าน จะได้บ่ง่าวเหมือนพี่มัน”
เสียงพ่อคุยกับใครบางคนที่ชานเรือนนอกห้องนอน แผ่นไม้ฝาเรือนที่กั้นอยู่เพียงชิ้นเดียว ไม่อาจกั้นเสียงพูดคุยกันของพวกผู้ใหญ่ไม่ให้เล็ดลอดเข้ามาได้
“สูแน่ใจกาหนานถา ว่าในเวียงจะมีก๋านมีงานให้สูทำ แล้วอีกอย่างหนึ่ง แม่หญิงที่ไหนเขาจะเรียนเขียนอ่านหนังสือไทยกัน” คู่สนทนาถามย้ำ
“เฮาขอไปตายเอาดาบหน้า อยู่บ้านนี้ ใบหน้าบัวคำลูกสาวตายตกน้ำเหมือนจะมาให้เห็นอยู่ทุกเมื่อ เสียงเล่าขวัญนินทาเรื่องมันหนีตวยป้อจาย ถูกเปิ้นไล่กลับทิ้งขว้างมันจนตายตกน้ำ ข้าอับอายนี่กะ” หนานถาสลดใจกับเสียงเล่าลือที่ไม่มีเค้ามูลความจริง
“ความจริงคืออย่างไรบ่มีไผฮู้ดีกว่าบัวคำซึ่งตายไปแล้ว อ้ายน่านฟ้าก่กลายเป็นคนสาบสูญ หนานถาตัดอกตัดใจเต๊อะ ก้มหน้าเลี้ยงลูกสาวเจ้าแก้วแก่นต๋าคนน้องหื้อดี” คนที่จะมาเจรจาซื้อขายกล่าวคำเตือนสติ
“นั่นแหละ ข้าคิดว่าจะเอามันเข้าเมืองไปฝากพ่อเลี้ยงคอร์ท ให้ได้ร่ำเรียนวิชาเขียนอ่าน โตขึ้นมามันจะได้มีวิชาติดตัว” การพูดคุยเกี่ยวกับทรัพย์สินไร่นายังคงดำเนินต่อไป แต่ใจบัวหอมเหมือนจะล่องลอยไปถึงในเวียงเจียงใหม่บัดเดี๋ยวนั้น
พ่อจะเอาไปฝากเล่าเรียน เป็นลูกศิษย์พ่อเลี้ยงคอร์ท พ่อจะย้ายถิ่นฐานเข้าไปในเวียงเจียงใหม่ บัวหอมใจหายวาบเมื่อคิดถึงเงาดำใต้สายน้ำที่หนองสะเรียม
“พี่บัวคำจะอยู่กับไผ ถ้าเฮาสองพ่อลูกหนีจากไกล” น้องน้อยอาลัยอาวรณ์พี่สาว
สายสางของรุ่งเช้า แต่อากาศยังเหน็บหนาวเจ็บกระดูก หมอกควันลอยกรุ่นอยู่ทั่วผืนน้ำเป็นเส้นสายเหมือนม่านมายา เมื่อเข้าใกล้ไปชะเง้อมอง เส้นสายไอขาวนั้นก็จะสลายหายไป
บัวหลวงริมบึงบานแล้ว ดอกบัวชูช่อสีขาวดอกใหญ่ลอยอยู่เลียบเลาะขอบหนองน้ำ ไล่ลอยระเรี่ยไหลไปจนเกือบจะเต็มฝั่งน้ำด้านทิศตะวันตก นกกินปลาขายาวปากแหลม จิกปากจะงอยสีสดลงไปใต้น้ำ พริบตาเดียวก็คาบเอาลูกปลาสีเงินยวงตัวน้อย กางปีกโผขึ้นจากใบบัวที่เกาะอยู่ โผผินบินขึ้นฟ้า
เด็กหญิงบัวหอมดุ่มเดินคลุมโปงด้วยผ้าผวยสีเทาผืนใหญ่ ลุกจากที่นอนมุ่งหน้ามายังริมน้ำ เพื่อมานั่งขดตัวอยู่ริมคันขอบหนองน้ำ บัวหอมนั่งนิ่งๆ มองธรรมชาติรอบตัวอย่างเหม่อลอยคิดถึงเงาในน้ำ
กลิ่นดอกบัวหลวงหอมโรยรินโชยมาตามลม กระแสลมเปลี่ยนทิศชั่วครู่ เหมือนกลิ่นนั้นจะถูกกลบด้วยกลิ่นคาวปลาและกลิ่นสาบสางคละคลุ้ง
เด็กน้อยก้มหน้ามองลงไปใต้น้ำ น้ำที่มีสีเขียวใสมรกต บางช่วงใสราวกระจก เผยให้เห็นสาหร่ายเขียวขจีส่ายไหวพลิ้วอยู่ใต้น้ำลึก มองคล้ายๆ เส้นผมยาวแผ่สยายอยู่ใต้สายน้ำ ภาพลวงตาเหมือนจะเห็นใบหน้างามเศร้าสร้อยของพี่สาว ส่งสายตาช้อนมองขึ้นมาจากใต้น้ำ
“พี่บัวคำ” น้องสาวร่ำร้องหาพี่ พลางเอื้อมมือลงไปใต้น้ำนิ่งนั้น จนเกิดการสั่นสะเทือนของคลื่นน้ำ ทำให้ภาพดวงหน้าจากใต้น้ำเลือนพร่าหายวับไปกับตา
“พี่บัวคำ รอน้องตวย” เด็กน้อยไขว่คว้าได้เพียงกลีบดอกบัวสีขาว กลีบดอกหนึ่งที่ถูกปลิดผลิใบจากก้านดอกร่วงโรยลอยมาตามน้ำ
“ข้าเจ้ามาลาพี่ พ่อจะพาข้าเจ้าไปเรียนหนังสือในเวียง พ่อของเฮาขายที่นาที่บ้าน ขายวัวขายเกวียนไปหมดแล้ว แต่ข้าเจ้าบ่อยากจากไปไหน ข้าเจ้าอยากอยู่เป็นเพื่อนพี่บัวคำ พี่คงเหงาง่อม”
บัวหอมร่ำไห้กระซิกๆ ริมน้ำ ลมเย็นๆ พัดพรั่งพรูหอบเอาเกสรดอกไม้และกลีบดอกบัวหลวงโปรยละอองมาห้อมล้อมร่างน้อยที่นั่งซุกตัวร่ำไห้อยู่ริมบึงน้ำกว้างใหญ่ ดุจปลอบประโลม สัมผัสอ่อนโยนเหมือนพี่โอบประคองน้องน้อย
เนิ่นนานช้า กว่าที่หนานถาจะตามหาตัวลูกสาวคนเล็กพบ ซึ่งก็คือที่ที่ลูกสาวคนโตถูกชาวบ้านนำร่างไร้วิญญาณขึ้นมาวางไว้ริมฝั่งน้ำในคราก่อน
“ไปกันเต๊อะลูก” พ่อยืนนิ่งเหม่อมองน้ำลึกในหนองน้ำใหญ่ กระซิบสั่งคำข้างๆ ลูกสาวคนเล็ก ขณะที่ลูกสาวยังคงนั่งขดตัวซุกหน้าอยู่กับขาตัวเอง มือน้อยๆ กอดผ้าผวยสีเทาผืนเก่าร้องไห้กระซิก
“ข้าเจ้าบ่อยากไปไหน ถ้าเฮาหนีไป พี่บัวคำจะอยู่กับไผ พี่คงง่อมคงหนาว” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นตอบ ใบหน้ามอมแมมนั้นมีน้ำตาฉ่ำเต็มตา
“แต่เฮาต้องไปลูก ที่นี่พ่อบ่มีทรัพย์สินเหมือนแต่ก่อนเก่า พ่อต้องไปทำงานเซาะหาเงินทอง ส่วนลูกก็ต้องไปเซาะหาวิชาความรู้ เป็นเกราะป้องกันตั๋วเก่า พ่ออาจบ่ปกป้องดูแลลูกได้ตลอดไป เวลาพ่อตายไปไผจะมาดูแลลูก” หนานถาผู้เหลือลูกสาวเพียงคนเดียวมองไปข้างหน้าแสนไกล แต่เมื่อก้มหน้ามองลงไปใต้น้ำก็ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน
“ไปในเวียงกั๋นเต๊อะ คนที่ทำให้พี่บัวคำตายตกน้ำอยู่ที่นั่น บางทีคำตอบที่พี่สาวลูกตอบบ่ได้ เฮาอาจจะหาคำตอบได้ตี้ในเวียง” พ่อฉุดรั้งลูกสาวคนเล็กให้ลุกละจากริมน้ำหนองสะเรียม
“ข้าเจ้าขออยู่ที่นี่ก่อนสักกำเดียว ข้าเจ้าอยากสั่งความฝากกำอู้กับพี่บัวคำ” บัวหอมบิดตัวขัดขืน ผู้เป็นพ่อจึงได้แต่เฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ
“พี่บัวคำ ข้าเจ้ากับพ่อต้องไปแล้ว พี่บัวคำช่วยน้องกับพ่อตวยเน้อ ขอให้พวกเฮาหาคนที่มันทำให้พี่ต้องมาตายเป็นผีเฝ้าหนองจนเจอ ข้าเจ้าสัญญาว่าจะพามันผู้นั้นมาให้พี่ลงโทษให้สาสม พี่รอข้าเจ้าเน้อ”
เมื่อพ่อเผยจุดประสงค์ของการเข้าไปแฝงตัวทำงานในเวียงอีกข้อหนึ่งให้รับรู้ เด็กหญิงจึงตัดใจ ก้มหน้ากระซิบสั่งคำกับสายน้ำเบื้องล่างดุจดังเป็นคำสัญญา กลีบดอกบัวกลีบหนึ่งลอยเริ่มหมุนวนเข้ามาใกล้ กลีบดอกบัวหลวงที่ร่วงหล่นลงบนผิวน้ำลอยวนดุจรับฟังถ้อยคำกระซิบสั่ง เด็กหญิงวักน้ำเก็บเอากลีบช้ำกอบไว้ในอุ้งมือประคองแนบหน้าน้ำตาคลอ