A MIND จิตอริยะ บทที่ 5 : พบกันอีกครั้ง

A MIND จิตอริยะ บทที่ 5 : พบกันอีกครั้ง

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

A MIND จิตอริยะ โดย ไข่เจียวหมูสับ กับเรื่องราวซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของระบบสลับจิตที่นำมาทั้งการตามล่า บททดสอบทางศีลธรรมและความรักที่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และนี่คือนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับเลือกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 ที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครและเป็นนวนิยายที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์บนเว็บไซต์ anowl.co

สามทุ่มแล้ว ปกป้องทำงานที่ค้างไว้เสร็จสิ้น แต่ยังไม่รวมถึงโครงการส่วนตัว

มองไปที่มุมห้อง ที่วางนิ่งอยู่เป็นอุปกรณ์คล้ายเป้ที่มีแท่นสองข้างยืดออกมาให้จับ บวกกับฐานรองบั้นท้ายและปลายขา มันเป็นโครงการต่อยอดมาจากวิทยานิพนธ์สมัยเรียนในมหาวิทยาลัย มุ่งเน้นที่จะสร้างอุปกรณ์คล้ายไอพ่นหรือไม่ก็ปีก เพื่อเสริมแรงของกล้ามเนื้อหลายส่วนบวกกับพยุงร่างของผู้ใช้ขึ้นไปบนฟ้าอย่างอิสระ จะเรียกว่าบินก็ไม่ผิด หรือไม่ก็พุ่งไปตามถนนคล้ายมอเตอร์ไซค์ สามารถประยุกต์ใช้ในการดับเพลิงหรือช่วยเหลือผู้คนได้ เพียงแต่เขาไม่มีความสนใจจะสร้างจริง และใช้มันเป็นแค่โครงการเล่นๆ ไว้คลายเครียดเท่านั้น อีกอย่างกระบวนการสร้างจริงก็อันตราย เพราะสารเคมีที่ใช้เป็นตัวเร่งนั้นเกิดระเบิดได้ง่าย และจะส่งผลให้เปลวไฟสีแดงเข้มพุ่งทะยานออกจากอุปกรณ์ได้หากไม่ระวัง แต่ตัวทดลองที่สร้างไว้นี้ก็นำตัวเร่งออกไปแล้วเพื่อความปลอดภัย

มันไม่ใช่ไอเดียแปลกใหม่อะไรจึงจดสิทธิบัตรไม่ได้ เรียกว่าเป็นความชอบส่วนตัวเท่านั้น แค่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

แต่มาคิดดู อุปกรณ์ชิ้นนี้คงไม่มีวันเสร็จหรอก เขากล่าวกับตนเอง

นอกจากเรื่องนี้แล้ว นิยายชุดใหม่ที่สั่งซื้อล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่มีการแปลก็ถูกส่งมาแล้ว และยังไม่ถูกแกะออกจากกล่องเลย

ทั้งสองเรื่องคงจัดการไม่ทัน แต่ก็ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร การกลับไปหาพ่อแม่ในสวรรค์ต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในเวลานี้

เขาตั้งใจจะไปที่โครงการ A MIND ในวันพรุ่งนี้เช้า ส่วนคืนนี้จะขอลิ้มรสเบอร์เกอร์ร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดตรงแถวถนน B ก่อน ร้านอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มาก แต่คงต้องขับรถไป เมื่อเสร็จแล้วจะได้ตรงกลับบ้านเลย

 

ปกป้องขับรถมาจอดที่ลานจอดสาธารณะ รอบข้างเป็นร้านขายของที่เริ่มปิดหมดแล้ว คงเพราะเป็นเวลาสามทุ่มกว่าและไม่ใช่เขตพักอาศัย แถวนี้จึงแทบไม่มีคน เขาเห็นแสงไฟของร้านเบอร์เกอร์จากอีกฝั่งถนน ต้องเดินไปสักสามร้อยเมตร แอบคิดในใจว่าแถวนี้แทบจะร้างแล้ว จะมีลูกค้ามากพอให้มีกำไรหรือเปล่านะ แต่เมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่คนขับสวมชุดสีเขียวแล่นออกจากร้าน ก็เข้าใจว่าคงได้เงินจากการที่ลูกค้าสั่งไปกินที่บ้านมากกว่า

ปกป้องข้ามถนน เมื่อถึงอีกฝั่งเขาจงใจเดินช้ากว่าปกติ พยายามซึมซับบางสิ่ง

อากาศภายนอกเย็นสบาย เป็นไม่กี่ครั้งที่ปกป้องรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง ภาระที่หนักอึ้งก็ทำเท่าที่ทำได้ไปแล้ว นักวิจัยและเจ้าหน้าที่ของการ์ด แอนด์ ลิงก์ล้วนเก่งกาจ คงรับงานต่อจากเขาได้ไม่ยาก เผลอๆ จะทำได้ดีกว่าที่เขาเคยทำไว้เสียอีก

ระหว่างทางเห็นเงาตัวเองสะท้อนจากกระจกร้านเสริมสวยที่ปิดประตูเหล็กไม่สนิท อย่างไรก็ไม่คุ้นชิน ชายร่างสูงได้รูปสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่เป็นผ้าออกซ์ฟอร์ดสีขาว ท่อนล่างคือกางเกงยีนสีฟ้า ปกป้องต้องโละเสื้อผ้าออกทั้งหมดเพราะสรีระที่เปลี่ยนไป และด้วยความไร้ประสิทธิภาพในเรื่องแต่งตัวจึงจบที่การเหมาเสื้อเชิ้ตและกางเกงทรงนี้มาสิบกว่าชุด

หากรู้ว่าจะต้องไปเคลียริง คงไม่ซื้อมาเยอะขนาดนี้หรอก เขารำพึงในใจ

ในขณะที่เดินไปตามทางเท้าก็พบว่าด้านซ้ายนั้นมีซอยลึก เข้าไปคงเป็นบ้านพักหรือไม่ก็อาคารพาณิชย์ที่ปิดแล้ว แต่เดี๋ยวก่อน…เขาได้ยินเสียงร้องดังออกมาจากบริเวณนั้น

“โอ๊ย ปล่อยนะ” เสียงดังมาจากในซอยมืดนั่น เป็นเสียงของหญิงสาว

เขารีบเดินเข้าไป เมื่อถึงระยะก็พบชายและหญิงกำลังฉุดกระชากกันอยู่

เจ้าของเสียงคือหญิงวัยรุ่นผมยาวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ร่างเล็กแต่ไม่ได้ผอมบางถูกดึงโดยชายร่างท้วมซึ่งสูงใหญ่กว่ามาก แต่เธอก็พยายามตอบโต้กลับด้วยหมัดและเท้าไม่หยุด

พริบตาเดียวปกป้องก็จดจำได้ หญิงสาวคือคนที่สะดุดล้มตรงทางเท้าใกล้กับที่ทำงานของเขา ยังแอบคิดเลยว่าสวยราวกับนางฟ้า

“มึงมากับกูเดี๋ยวนี้” เสียงชายร่างท้วมตวาดขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโอ๊ย นั่นเพราะถูกเตะเข้าที่หน้าแข้ง แต่ยังมีแรงพอเหวี่ยงเธอให้ล้มลงอยู่ เมื่อนั้นเขาจึงเห็นว่าในมือของชายคนร้ายนั้นมีมีดเล่มหนึ่ง

ฉิบหายแล้ว เขามองซ้ายขวาเพื่อจะเรียกให้คนมาช่วย แต่ก็ไม่พบใคร มีเพียงเขา กับหญิงสาวที่น่าสงสาร และไอ้ชั่วคนหนึ่งเท่านั้น

แน่นอนว่าไอ้อ่อนอย่างเขาถ้าไปยุ่งคงถูกกระทืบแน่นอน แต่จะปล่อยไว้ก็ไม่ได้

ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสติ นั่นสินะ ถ้าเข้าช่วยโดยไม่สนความปลอดภัยของตัวเอง อย่างน้อยก็คงพอเปิดช่องให้เธอหนีไปได้ แรงดีแบบนั้นคงวิ่งไหวอยู่ อีกอย่าง…การแลกชีวิตกับมันก็ไม่เลวนักหรอก ไม่ถือเป็นการฆ่าตัวตายด้วย อย่างไรเสียก็จะต้องถูกเคลียริงไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว

เมื่อคิดได้เช่นกัน สองเท้าก็พาร่างอันแข็งแกร่งพุ่งเข้าใส่ร่างของชายถือมีดทันที

 

หลังจากทำงานที่ ESS ได้สักระยะ พิณเพลงเริ่มชินกับภาระต่างๆ แล้วแถมยังทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบอีกด้วย

หญิงสาวได้หยุดงานทุกวันพฤหัสบดี โดยเธอจะใช้เวลาว่างไปกับการให้รางวัลตนเอง ดูหนัง ฟังเพลง รวมไปถึงการลองไปชิมอาหารในร้านที่น่ารักๆ แต่ราคาอาหารไม่แพงเกินไป วันนี้ก็เป็นเช่นนั้น และตอนนี้เธอกลับถึงที่พักแล้ว ทว่าภาสรินซึ่งเป็นเจ้าของร้านเกิดป่วยตามประสาคนสูงวัย และโทร.มายามค่ำคืนว่าอยากกินเบอร์เกอร์ร้านใหม่แทนยาขม ๆ จึงขอให้หญิงสาวช่วยสั่งให้ที

พิณเพลงห่วงใยภาสรินเหมือนญาติคนหนึ่ง จึงยินดีจะสั่งออนไลน์ให้ และให้คนขับนำไปส่งที่บ้านหรูของเจ้านายที่ไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ สักพักทางร้านแจ้งกลับมาว่าเกิดปัญหาเรื่องการนำส่งกะทันหัน พิณเพลงจึงต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์ออกมารับของเอง แต่โชคไม่ดี เธอต้องถูกปล่อยทิ้งไว้แถวร้าน ด้วยเหตุผลว่าน้ำมันมอเตอร์ไซค์คันนั้นกำลังจะหมด

พิณเพลงมองว่าคงใช้ความซวยไปหมดสิ้นแล้ว แต่ระหว่างเดินไปยังร้านเบอร์เกอร์ กลับรู้สึกได้ถึงสายตามุ่งร้าย และในเวลานั้นเองก็ถูกข้อมืออันแข็งแกร่งยึดมาที่ต้นแขน แล้วเริ่มลากเธอด้วยแรงมหาศาล

 

ชายร่างท้วมหนาที่ไม่รู้จักฉุดกระชากพิณเพลงไปตามทางเดินเท้า ปลายทางที่เห็นนั้นเป็นซอยเปลี่ยว มันพึมพำว่า จะฆ่าเธอให้ตาย

เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด พยายามดึงร่างกลับก็สู้แรงไม่ได้สักนิด

พอถูกลากเข้ามาก็พบว่าอีกฝ่ายพยายามจะชักมีดออกจากเสื้อแจ็กเก็ต สายตานั้นไม่มีความกระหายในกาม แต่เป็นสายตาของคนที่ต้องการจะฆ่าเธอเท่านั้น

ทั้งสองฉุดกระชากกันไปมาอยู่พักหนึ่ง อีกฝ่ายได้แผลไปบ้างนั่นเพราะเธอก็สู้จนสุดฤทธิ์ ทั้งเตะทั้งถีบ แต่มันเทียบไม่ได้กับร่างใหญ่หนาที่มีกำลังขนาดนี้ ไม่ช้าพิณเพลงก็หมดแรงและกำลังจะถูกสังหาร เธอส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างไร้ความหวัง

ในเวลานั้นเองก็มีฝ่าเท้าของใครไม่ทราบพุ่งผ่านหน้าเธอ และตรงไปอัดสีข้างของชายชั่วอย่างจัง เกิดเป็นเสียงดังพลั่ก ร่างของมันกระเด็นไปกองกับพื้น ในขณะที่เจ้าของฝ่าเท้านั้นทำหน้าตาเหลอหลา ราวกับว่าไม่ได้คิดจะออกแรงขนาดนั้น แถมยังพึมพำว่า “เธอโอเคนะ” อีก

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พิณเพลงสนใจ เพราะสายตาของเธอนั้นค้างไปแล้วกับภาพของชายตรงหน้า

ขณะเดียวกันภาพตรงหางตาก็ระบุว่าคนร้ายเริ่มลุกขึ้นมาพร้อมชี้มีดมาที่ชายผู้นั้น คมมีดสะท้อนแสงหลอดไฟยามค่ำคืน เธอหันไปเห็นรอยยิ้มแสยะของมันชัดเจน

สีหน้านั้นไม่มีความเมตตา และไม่มีสามัญสำนึกใดๆ

ทว่ายังไม่ทันได้ปะทะกันต่อ ชายชั่วก็ลูบไปที่สีข้างตัวเอง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังและวิ่งหนีหายเข้าไปในส่วนลึกอันมืดมิดของซอย มองจากตรงนี้เหมือนขาขวาของมันจะกะเผลกเล็กน้อย และไม่ใช่ข้างที่เธอเตะไปด้วย…แต่นั่นไม่ทำให้มันวิ่งช้าแต่อย่างใด ครู่เดียวร่างของคนร้ายก็หายลับไป

เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว พิณเพลงอยากจะล้มตัวลงนั่งแหมะกับพื้น แต่ก็ทำไม่ได้ นั่นเพราะสายตายังคงจดจ้องอยู่ที่ชายผู้ช่วยชีวิต

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ” ชายรูปงามถามเธอด้วยเสียงที่อาทร สายตานั่นเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างจากที่คุ้นเคย

ใช่แล้ว สายตาที่เธอหวงแหน สายตาที่เธอไม่มีวันลืม

“ธาดาร์” เธอร้องแล้วโผเข้ากอดเขา จากนั้นจึงระเบิดอารมณ์อันหลากหลายออกมาด้วยเสียงร่ำไห้

 

วาววาใช้เวลาหลายวันในการเช็กระบบภายใต้การดูแลของตน แม้ไม่พบว่ามีขั้นตอนใดผิดพลาด แต่ในที่สุดเธอก็นำเรื่องของปกป้อง ปักษ์ดนูไปแจ้งยังผู้จัดการฝ่าย ทั้งหมดเพื่อหาทางแก้ไขโดยเร็วและป้องกันไม่ให้โครงการถูกโจมตีจากฝ่ายกฎหมายภายนอก

โดยเฉพาะฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางพิเศษแห่งประเทศ ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบโครงการนี้โดยตรงนั้นยิ่งให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด แค่คิดก็เสียวสันหลังแล้ว

ทว่าเมื่อนำเอกสารทั้งหมดไปวางในห้องทำงานของผู้จัดการฝ่ายวิจัยความทรงจำ ผลที่ได้คือความเงียบงัน

หัวหน้าของวาววาคือ รุจี หญิงวัยห้าสิบที่ย้อมผมสีม่วงและแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ รุจีอ่านเอกสารทั้งหมดแล้วนั่งนิ่งไปหลายนาที เวลานั้นใจของวาววาแทบจะระเบิดออกมา แอบกลัวว่าจะถูกตำหนิหรือโบ้ยความผิดมาให้ ไม่นานผู้จัดการฝ่ายก็เปิดปาก

“ฉันจะนำไปคุยกับท่านวิริยะโดยตรงเอง เธอไม่ต้องยุ่งแล้ว”

เอ๊ะ วาววาส่งเสียง “จะไม่นำเสนอขึ้นที่ประชุมบอร์ดก่อนงั้นหรือคะ” เธอทราบดีว่ารุจีมีความสัมพันธ์ไม่ชอบมาพากลกับประธานคนปัจจุบัน แต่การเสนอเรื่องโดยตรง ย่อมหมายความว่าไม่ต้องการให้คนในองค์กรรู้ไปมากกว่านี้

สีหน้าของรุจีนั้นไม่สบายใจหนัก กระนั้นยังฝืนยิ้ม “ไม่ต้องห่วงน่า คงจะผิดพลาดเล็กน้อย อย่าลืมสิว่าอัตราความปั่นป่วนในสมองยังดีอยู่เลย”

ความผิดพลาดที่ไม่เกิน ๒ เปอร์เซ็นต์ยังพอมองผ่านได้ รุจีย้ำมาตรฐานอีกครั้ง “มันอาจเกิดจากการบันทึกข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือการเปลี่ยนแปลงในรสนิยมของผู้ฟื้นสติก็ได้”

“แต่ว่าอดีตประธานเอ็ดเวิร์ด…”

“ท่านเอ็ดเวิร์ดนั้นก็เป๊ะเกินไป ทั้งที่ตัวมาตรฐานการใช้งานก็บอกอยู่ว่าไม่มีปัญหาหากไม่เกินค่าที่กำหนด แต่ท่านกลับพยายามควบคุมให้ทุกอย่างสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของพนักงานแบบสุดๆ เลยไม่ใช่หรือ”

วาววาก้มหัว ไม่อยากจะขัดใจหัวหน้า

“อันที่จริง ท่านวิริยะจะขยายเกณฑ์ความผิดพลาดขั้นต่ำออกไปเป็นห้าเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ” ผู้จัดการพยายามกล่าวเสียงติดตลก แต่เธอขำไม่ออกสักนิด

“มันจะเป็นปัญหาเอาได้นะคะ”

“ก็บอกว่าไม่ต้องห่วง งานของเธอเป็นแค่เสี้ยวเดียวของระบบใหญ่ ยังมีกระบวนการอื่นที่คอยตรวจสอบอยู่ เอาเป็นว่าลองตีเนียนไปขอข้อมูลหน่วยอื่นดูละกัน หากการทดสอบที่เหลือไม่มีปัญหา ก็ปล่อยผ่านไป”

วาววาหมดแรงจะเถียง ได้แต่ทำตามคำสั่ง

และก็เป็นตามนั้น เธอใช้เวลาอีกสองวันในการขอผลการทดสอบจากหน่วยอื่น และการทดสอบทั้งหมดนั้นราบรื่นดี

 

พิณเพลงจำได้ดีว่าแรงหวดของเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ชื่อ อัญญะ นั้นแรงขนาดไหน หน้าของเธอสะบัดไปตามแรงเหวี่ยง และทั้งที่หูลั่นวิ้งไปหมด แต่ยังคงได้ยินเสียงหัวเราะของเพื่อนคนอื่นๆ แทรกเข้ามาในโสตประสาทได้อย่างชัดเจน แอบคิดไปว่าประสาทหูของตนคงถูกออกแบบมาเพื่อให้ถูกตบสินะ

เพื่อนนักเรียนที่ย้อมผมแดงนั้นมีทั้งเงินและพรรคพวก ไม่ใช่อะไรที่จะต่อกรด้วยได้ แม้จะสู้สุดชีวิตแล้วก็ตาม เลือดกำเดาของเธอเปื้อนชุดนักเรียนสีฟ้า กระโปรงลายตารางนั้นคลุกฝุ่น

พวกนั้นจับเธอกดลงกับพื้นและเอาน้ำราด แล้วทิ้งให้เธอเป็นนังตัวเปียกอยู่ในห้องน้ำเหม็นๆ ของโรงเรียน

ทั้งหมดแค่เพราะพ่อแม่พิณเพลงค้างค่าเทอม แค่เพราะเธอไม่มีทุนมากพอจะส่งตัวเองเรียนพิเศษที่ทางโรงเรียนบังคับให้เข้าร่วมได้ หรือเพราะเธอไม่ยอมเป็นลูกน้องของอัญญะ ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าเรื่องไหนคือเหตุผลหลักกันแน่

ทำไมคนที่มีพร้อมทุกอย่างจึงต้องมารังแกเธอด้วยนะ พิณเพลงเฝ้าถามตนเอง แต่ละวันผ่านไปราวกับนรก เวลาเดียวที่พอจะสงบ คือช่วงที่นักเรียนแต่ละระดับชั้นถูกเรียกไปนั่งรวมกันที่ห้องประชุมใหญ่ แล้วมีพิธีกรชื่อดังมาสาธยายเรื่องการดูแลมิให้เกิดการรังแกกันขึ้นในโรงเรียน

พวกนั้นจะสงบไปประมาณสองวัน เพราะเป็นช่วงที่อาจารย์ทั้งหลายทำหน้าที่อย่างแข็งขัน แต่หลังจากนั้นก็กลับไปเป็นเฉกเช่นเดิม

การฟ้องและร้องเรียน ทั้งหมดไม่มีผลอะไรทั้งนั้น เธอขอให้พ่อแม่ช่วยย้ายโรงเรียนให้ แต่ทั้งสองก็หน้าบางเกินกว่าจะทำได้ เหล่าญาติที่รักคงไม่ยินดีกับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ และครอบครัวของเธอคงเป็นขี้ปากไปอีกนาน การถูกขอให้อดทนจึงเป็นคำตอบเดียวที่ได้รับ

ไม่นานพ่อและแม่ก็ทิ้งเธอไป ทั้งคู่หนีหนี้จากแหล่งใต้ดิน เป็นเหตุให้เธอต้องหาเงินเรียนเองนับจากนั้น

 

มาวันหนึ่งในช่วงสอบกลางภาค พิณเพลงในวัยมัธยมหกดันไปพบกลุ่มของอัญญะกับเพื่อนผู้ชายหลายคนที่หลังโรงเรียน ทั้งหมดกำลังแอบเล่นอะไรบางอย่างที่ไม่น่ามอง และเมื่อนั้นคำสั่งประหารก็มาถึงเธอ

พวกมันจับเธอมัดเชือกติดกับเก้าอี้แข็งๆ จิกหัวขู่กรรโชกอย่างรุนแรงว่าหากบอกใครจะฆ่าให้ตาย แน่นอนว่าพิณเพลงนั้นสาบานว่าจะไม่บอกใคร

เมื่อนั้นอัญญะมีสายตาวางใจอยู่วูบหนึ่ง แล้วเปลี่ยนแปรเป็นหวาดระแวง หวาดกลัว ลงท้ายด้วยกระหายเลือด

ในโสตได้ยินพลั่วถูกลากไปกับพื้นช้าๆ เสียงครืดคราดของโลหะเสียดสีไปกับพื้นที่ปูด้วยหินแข็งๆ

พิณเพลงร่ำไห้เสียงดัง แต่ไม่กีวินาทีต่อมาก็สงบลง เพราะดูทรงแล้วไม่น่าจะรอด

เธอหลับตาแน่น และหวังจากใจว่ามันจะไม่เจ็บ

เดาว่าตอนนั้นพลั่วคงถูกใครสักคนยกขึ้นและเตรียมจะเหวี่ยงลงมา แต่ทว่าหลับตานานเท่าไรก็ไม่ได้รับแรงกระแทกที่แอบกลัวสักนิด เธอตัดสินใจเผยอตาขึ้นมาเล็กน้อย

และภาพที่เห็นก็น่ากลัวเกินจะบรรยาย น่ากลัวกว่าที่คาดไว้มาก

ชายคนหนึ่งที่มาพร้อมร่างสูงใหญ่ มือขวากำไปที่รอบคอของเพื่อนชายคนหนึ่ง ร่างที่ถูกบีบนั้นเกร็งกระตุกไปหมด เพราะเพื่อนผู้โชคร้ายหันหลังให้จึงไม่ทราบว่าแสดงสีหน้าอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือมีน้ำสีเหลืองไหลซึมจากกางเกงนักเรียนลายตาราง

จากนั้นภาพตรงหน้าก็ไม่ต่างกับฝันร้าย มันสมจริงแต่ก็พร่ามัว จับต้องไม่ได้แต่ก็ติดตรึง

ร่างของนักเรียนทั้งหกคนนอนอยู่กับพื้น เรียงรายกันไป บางคนหนีไปได้ไกล บางคนก็สิ้นลมตรงนั้น ฆาตกรนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปื้อนเลือด หันมาด้วยใบหน้าอันนิ่งงัน แต่ในเวลาเดียววันก็งดงามราวกับตัวละครเอกในนิยาย

พิณเพลงหลับตาลงอีกครั้งเมื่อชายรูปงามเดินเข้ามาใกล้ คราวนี้คงได้พักจริงๆ เสียที

ทว่ากลับผิดคาดอีกครา เมื่อเสียงทุ้มที่เรียกนั้นปลุกเธอขึ้นจากภวังค์

“โดนแกล้งหรือครับ น่าสงสารจัง” ชายตรงหน้ากล่าว จากนั้นจึงเดินมาแก้มัดให้อย่างอ่อนโยน

เมื่อได้รับอิสรภาพ พิณเพลงยังลุกไม่ขึ้น พยายามขยับข้อมือข้อเท้าไปมาเพื่อให้เลือดเดิน

“หวังว่าคงไม่บอกใครนะ” ชายหนุ่มก้มลงมามองตาเธอ คาดว่าน่าจะอายุมากกว่าสักห้าถึงหกปี

“ฉันจะไม่บอกใครแน่นอน” เธอแทนตัวเองว่าฉัน ไม่ใช่หนู

“ขอบคุณ ผมเชื่อคุณนะ” ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะเดินจากไป เมื่อนั้นพิณเพลงตัดสินใจอย่างไร้เหตุผลรองรับ

“คุณชื่ออะไรคะ” เธอถามชื่อของฆาตกรตรงหน้า ด้วยเสียงที่ราบเรียบและใจที่นิ่งสงบ

อีกฝ่ายยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่โคตรเป็นมิตร เธอไม่เคยได้รับรอยยิ้มเช่นนี้จากใครในโรงเรียน…พิณเพลงเตรียมคำตอบไว้ในในใจ หากถูกถามว่าทำไมจึงไม่กลัว

แต่อีกฝ่ายไม่ถาม ราวกับไม่ต้องการคำตอบสักนิด

ธาดาร์ เสียงนั้นฟังดูสดใส “ผมชื่อธาดาร์ โพ้นวิไสย แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไรครับ”

 

หลังผ่านเหตุการณ์เฉียดตาย พิณเพลงในชุดนักเรียนยืนพิงกำแพงของห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาหลังโรงเรียน ข้างกายของเธอคือฆาตกรชื่อธาดาร์

“คุยกันในนี้สะดวกกว่าจริงๆ นะครับ” เขากล่าวอีกครั้ง ราวกับต้องการให้เธอวางใจ “ผมสืบมาแล้วว่าหลังเลิกเรียนจะไม่มีใครมาห้องนี้ถึงสองทุ่มเลย กว่าพี่ภารโรงจะมาอีกที เราก็คงไปไกลแล้ว”

เธอพยักหน้างงๆ แสดงว่าศึกษาสถานที่ก่อนจะลงมือสินะ

“คนพวกนั้นรังแกคุณงั้นหรือครับ”

พิณเพลงผงกหัว ตาจ้องลงกับพื้นสกปรก ขาขวาพยายามเขี่ยฟูกรองกระโดดเก่าๆ ให้พ้นระยะการมองเห็น

“ผมเองก็เคยถูกรังแกเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทางกายภาพหรอก”

เธอขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน

“ช่างเถอะ ไม่ต้องใส่ใจ”

พิณเพลงกลืนน้ำลายแล้วตัดสินใจอีกครั้ง “ขอบคุณที่ช่วยนะคะ เมื่อกี้ฉันลืมบอกออกไป”

ธาดาร์ยิ้มอย่างกับเพิ่งได้ยินเรื่องตลก “อันที่จริงผมเห็นเหตุการณ์มาสักพักแล้ว บอกเลยว่าคนพวกนั้นไม่กล้าฆ่าคุณหรอก มือของเด็กผู้ชายที่ถือพลั่วก็สั่นแถมยังยกสูงจากพื้นแค่ครึ่งตัว สายตาของแต่ละรายก็ดูเหลาะแหละ คงตั้งใจแค่จะขู่ให้คุณกลัวแล้วยอมเก็บความลับเท่านั้นเองครับ” ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ เขาดูเป็นคนเรียบร้อยและสุภาพมากในสายตาพิณเพลง

จากนั้นธาดาร์ก็ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงเพื่อเล่า ‘การกระทำชั่วร้าย’ ของตนให้พิณเพลงฟัง

มันมีเรื่องราวความรุนแรง ฆ่าฟัน และปล้นชิง น่าแปลกที่เธอกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือรังเกียจชายที่ยืนข้างกายแต่อย่างใด กลับสนุกและหวาดเสียวไปกับเจ้าตัวด้วยซ้ำ แอบคิดไปเองว่าใครต่อใครก็คงมีความชั่วร้ายซ่อนอยู่เช่นกัน…

 

“เคยหลอกเอาเงินจากคนที่ชอบคุณด้วยหรือ” เธอถามแล้วทำตาโต

“ใช่ครับ ไม่ดีเลยใช่ไหม คุณพิณเพลงอย่าทำตามเด็ดขาดเชียวนะ ฟังไว้เป็นเรื่องเล่าสนุกๆ ก็พอแล้ว” สายตานั้นดูผ่อนคลาย แต่ประโยคหลังกลับให้บรรยากาศว่าเป็นการเตือนจริงจัง

“โอ๊ะ จะค่ำแล้วนะ คุณพิณเพลงไม่ต้องรีบกลับบ้านหรือครับ”

เธอส่ายหัวแล้วยิ้ม “ไม่มีใครรอแล้ว”

ธาดาร์มองมาอย่างเห็นใจ ไม่ซักไซ้อะไรต่อ แต่กลับเดินไปเปิดประตูห้อง “แต่อย่างไรก็ต้องกลับครับ ผมจะไปส่งที่หน้าโรงเรียนนะ หรือจะไปที่ป้ายรถก็ได้”

พิณเพลงเป็นคนมีเหตุมีผล ทราบดีว่าเขาพูดถูกแล้ว แต่ยังมีอีกเรื่องที่สงสัย

‘เราจะได้เจอกันอีกไหม’ เธอถามเขาในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกไป รับรู้ชัดเจนว่าไม่ควรเอ่ยอะไรโดยไม่จำเป็น

สุดท้ายทั้งสองก็มายืนรอรถสองแถวในยามค่ำคืน พิณเพลงขึ้นรถกลับทั้งที่ตระหนักดีว่ามีศพนอนกองอยู่ที่สวนหลังโรงเรียน สายตาจ้องมองธาดาร์ที่โบกมือให้ เธอโบกมือตอบ ก่อนที่ระยะทางของทั้งสองจะค่อยๆ ห่างกันออกไป

คืนนั้นเธอหลับอย่างเป็นสุข

และนั่นเป็นเรื่องราวเมื่อสามปีก่อน วันที่เธอได้พบกับธาดาร์ โพ้นวิไสยเป็นครั้งแรก

 

ปกป้องตัวแข็งทื่อในอ้อมกอดของสาวงาม ทำอะไรไม่ถูกตามประสาคนซื่อ แต่มือนั้นโอบกลับไปอย่างอ่อนโยนตามสัญชาตญาณ

หลังจากที่บอกว่าคิดถึงเขามากขนาดไหน เวลานี้ก็มีแต่เสียงเรียกชื่อ ธาดาร์ ธาดาร์…หญิงสาวพร่ำซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น

พอได้ยินชื่อนั้นหลายสิบรอบ ความทรงจำของใครสักคนก็เริ่มกลับมา เขาพยายามสะบัดหัวไล่มันออกไป ในขณะที่ท่อนล่างไร้ซึ่งปฏิกิริยาต้องการสืบพันธุ์ มันไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่โคตรจะมีความสุข

ผมไม่รู้จักธาดาร์ครับ คุณคงเข้าใจผิดแล้ว อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่ แต่ปากไม่ยอมขยับ

อยากคุยกับผู้หญิงคนนี้ อยากรู้จักกับเธอ ทุกส่วนในสมองสั่งการเช่นนั้น ก่อนจะกระซิบออกไปเบาๆ พยายามให้เสียงเรียบที่สุด

“เรามีเรื่องต้องคุยกันครับ”

น่าแปลกที่เธอหยุดคร่ำครวญ เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยน้ำตานองหน้า จากนั้นจึงตอบตกลงด้วยแววตาขึงขัง

เขาขับรถพาเธอไปที่การ์ด แอนด์ ลิงก์ ระหว่างทางนั้นหญิงสาวไม่พูดอะไรสักคำ

ผ่านไปไม่นานปกป้องก็กลับมาที่ห้องทำงานชั้น ๑๘ อีกครั้ง บริษัทนี้จะพาคนนอกหรือใครเข้ามาก็ได้ไม่มีปัญหา เป็นกฎที่ออกแบบโดยปกปักษ์ และเขาเพิ่งเห็นว่ามีประโยชน์กับตัวเองเป็นครั้งแรกก็วันนี้

 

เธอนั่งบนเก้าอี้แล้วหมุนไปมาเป็นวงกลม ดูน่ารักอย่างน่าตกใจ แน่นอนว่าไม่มีเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวแม้เพียงนิด ไม่มี…ขนาดที่เขายังรู้สึกแปลกใจในตัวเองด้วยซ้ำ

“คุณชื่ออะไรครับ” ปกป้องถามพลางส่งขวดน้ำที่ยังไม่แกะให้ เธอรับไปโดยดี กล่าวขอบคุณแล้วบอกชื่อออกมา

“พิณเพลง ปานแสงตะวรรณ”

เขารู้สึกคุ้นชื่อนั้นในทันที พริบตานั้นเองที่ใบหน้าสวยหวานของเธอพลันปรากฏในสมองส่วนความทรงจำเก่า ราวกับรู้จักกันมานานแล้ว ก่อนที่ภาพบางอย่างจะค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามา และครอบครองพื้นที่ในหัวราวกับไวรัสแพร่เชื้อ

ภาพของเขาเองที่สะท้อนจากกระจก หมายถึงร่างใหม่ของเขา…กำลังคร่อมร่างของใครสักคน พร้อมกับประเคนหมัดใส่หน้าของมันอย่างต่อเนื่อง

ภาพของเขากำลังหักคอคนที่พยายามทำร้ายพิณเพลง

ภาพที่กำลังแทงหญิงสาวคนหนึ่งเพื่อแย่งสร้อยทองสองเส้น

…และมุมมองสายตาของเขาซึ่งกำลังทอดกายบนเปล อ่านหนังสือท่ามกลางแสงเทียนในห้องพักตากอากาศที่ไหนสักแห่ง

และหนังสือเล่มนั้นคือ ล่า เลือน รัก

 

ปกป้องสะบัดหน้าให้สติกลับมายังปัจจุบัน รู้สึกอยากอาเจียนจนตัวงอไปหมด พิณเพลงรีบปรี่เข้ามาลูบหลังเขาพลางหยิบถังขยะมาให้ถือ จากนั้นคุกเข่าเฝ้าดูอาการในระยะประชิด

ไม่จำเป็นต้องสืบสาวอะไรมากกว่านี้ ปกป้องฉลาดพอจะทราบว่าชายที่หน้าเหมือนเขาในเวลานี้เป็นใคร ไม่ต้องใช้สมองเดาด้วยซ้ำ

ธาดาร์ โพ้นวิไสย ฆาตกรที่สลับจิตกับเขา ความทรงจำของธาดาร์นั้นถูกลบออกไปไม่หมดแน่นอนแล้ว

และจากที่เกือบจะชกพี่ชายตนเองเมื่อช่วงเย็น สิ่งที่ลบไม่หมดอาจไม่ใช่แค่ความทรงจำ แต่เป็นบุคลิกและทักษะทางร่างกายด้วย

ฉิบหายอย่างแท้จริง…

“ธาดาร์” เธอกระซิบ “คุณโอเคไหม อยากได้อะไรหรือเปล่า ฉันจะไปหามาให้”

เมื่อเงยหน้าก็พบแววตาจริงจังของพิณเพลง มันรุนแรงระดับที่กลบความงดงามไปเสียหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงอารมณ์เดียวเท่านั้นที่สัมผัสได้

เด็กคนนี้หลงรักฆาตกรที่สลับร่างกับเขา ไม่ผิดแน่ สายตานั้นมันยิ่งกว่ามองคนรักด้วยซ้ำ ราวกับกำลังมองตัวเองในกระจกก็ไม่ผิด

และหากทราบความจริงว่าธาดาร์จากไปแล้ว และถูกเขาแย่งชิงร่างไป พิณเพลงจะเป็นอย่างไรเล่า แตกสลาย ร่ำไห้ หรือเคียดแค้นแสนสาหัส ปกป้องไม่อาจเดาได้สักนิด

แต่ต้องบอกความจริง ปกป้องสั่งตนเอง จะมัวอมพะนำไม่ได้เด็ดขาด

ว่าแล้วก็ขยับตัวตรง พิณเพลงยังนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ พร้อมรอยยิ้มบาดใจ ผมแสกกลางยาวถึงหัวไหล่ ปลายงุ้มเข้าเล็กน้อยพอส่งเสริมรูปหน้า อารมณ์เริ่มเปลี่ยนไปเป็นปรารถนาต่อร่างตรงหน้า เขาพยายามห้ามตัวเองไม่เข้าไปกอด แล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉยที่สุดเท่าที่จะฝืนไหว “ผมไม่ใช่ธาดาร์ เขา…เขาถูกจับในฐานที่เป็นนักโทษคดีร้ายแรง และถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการสลับจิตกับผม ร่างนี้เป็นของเขาก็จริง แต่ว่า…”

ปกป้องอ้าปากค้าง ไม่รู้จะอธิบายต่ออย่างไร ในขณะที่พิณเพลงนิ่งไป รอยยิ้มจางหายจากบนหน้าวูบหนึ่ง และเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ก่อนจะกลับมายิ้มอีกครั้ง แต่ครั้งนี้…เป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้า

“ว่าแล้วเชียวว่ามีบางอย่างที่ต่างออกไป เพราะคุณกอดฉันกลับ…” เสียงนั้นดูหมองลง แต่รอยยิ้มยังคงอยู่ “โครงการของพวกรักความยุติธรรมสินะ ได้ข่าวมาตั้งนานแล้วว่าคนร้ายที่น่าจะเป็นคุณถูกจับได้ที่กรุงเทพแต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง”

“ฉันไม่กล้าอ่านข่าวมาตั้งนานแล้ว” เธอปิดท้าย

ปกป้องตัวเกร็งไปหมด คาดเดาไม่ได้ว่าพิณเพลงจะทำสิ่งใดต่อไป ก่อนจะเห็นคัตเตอร์สีดำวางอยู่ที่ข้างโต๊ะทำงานทางซ้าย ห่างจากตัวของเขากับพิณเพลงเพียงไม่ถึงคืบ

กล้ามเนื้อหดเกร็งเผื่อต้องใช้กำลัง ทว่าสายตาของพิณเพลงกลับไร้ซึ่งความมาดร้าย รู้สึกตัวอีกที นิ้วมือนุ่มนวลก็ลูบไปที่แก้มขวาของปกป้อง

ก่อนจะลดมือลงมา ส่งนิ้วชี้จิ้มมาที่ตำแหน่งหัวใจของเขา

“คุณยังอยู่ไม่ใช่หรือ ยังอยู่ในนี้” นิ้วนั้นจิ้มอย่างแผ่วเบาสองสามครั้ง “ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย แค่คุยกันไม่สะดวกก็เท่านั้น”

จากนั้นพิณเพลงเริ่มหัวเราะอย่างสดใส “แม้จะจากไปแล้ว แต่ก็ยังปกป้องฉันอยู่สินะ ธาดาร์”

เขาเกร็งไปหมดเมื่อได้ยินคำว่าปกป้องจากปากพิณเพลง แต่มั่นใจว่าไม่เคยบอกชื่อของตัวเองกับหล่อน ไม่อาจระบุว่าตนกำลังรู้สึกแบบใดอยู่

เธอจ้องตาเขาอีกครั้ง ความสวยงามน่ารักดังเดิมหวนกลับมาสู่ใบหน้า “คุณชื่ออะไรหรือคะ”

“ผมชื่อ…ปกป้องครับ” เสียงที่ออกจากปากนั้นสั่นและตะกุกตะกักไปหมด

พิณเพลงยิ้มหวาน เอียงคอพึมพำว่า “นั่นสินะ…”

นั่นทำให้ปกป้องรู้สึกตงิดๆ ถามออกไปว่า “เรื่องอะไรหรือครับ”

“ธาดาร์ยังอยู่ เขารวมร่างกับปกป้อง เพื่อมา ‘ปกป้อง’ ฉันยังไงล่ะ เหมือนที่เคยทำมาโดยตลอด ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด”

เท่านั้นเองที่ขนลุกชันไปหมด

ผู้หญิงคนนี้…ต้องได้รับการบำบัด ปกป้องมั่นใจแบบนั้น เขาควรจะแนะนำหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่เพื่อให้เธอเข้ารับการรักษา แต่นั่นก็จะทำให้เรื่องของเขาเผยแพร่ออกไป

ซึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร เขาไม่ได้ยึดติดกับโลกที่กำลังดำรงชีวิตอยู่แล้ว

ทว่า…เมื่อจ้องมองไปยังรอยยิ้มและท่าทีสดใสของพิณเพลงในยามเอ่ยเรียกชื่อเขา ในอีกมุมหนึ่งของสมองและวิญญาณ มันได้รับคำตอบที่ตามหามานาน

ความโหยหาในความสิ้นสุดเลือนหายไป ในใจแอบกล่าวขอโทษพ่อและแม่บนสวรรค์

ชีวิตน้อยๆ ที่เคยไร้ความสุข บัดนี้แอบเห็นอะไรเลือนรางที่ปลายทางอันมืดดำแล้ว

 

แม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่วาววายังสลัดเรื่องนั้นไม่ออก พยายามเตือนตนเองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างที่รุจีว่า

ใช่…ผลโดยรวมไม่มีอะไรแตกต่างเลยระหว่างหมายเลข ๔๖ กับผู้ฟื้นสติที่เหลือ มันไม่มีตัวชี้วัดไหนที่แตกต่างกันเลยสักนิด ตรวจสอบการสลับจิตย้อนหลังอื่นๆ นับร้อยขั้นตอนก็ราบรื่นและไม่มีข้อผิดพลาด

ทว่าในใจก็ยังเคลือบแคลง แล้วคำตอบที่ผิดนั้นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน เมื่อทนไม่ไหวเธอจึงใช้ขั้นตอนสุดท้ายในการทดสอบ โดยใช้อัลกอริทึมพิเศษสำหรับมาตรการฉุกเฉินเพื่อตรวจสอบ โชคดีที่เธอเองมีสิทธิ์เข้าถึงระบบนี้

วาววานั่งง่วนที่เครื่องทำงานส่วนกลางในเวลาห้าทุ่ม ในห้องกว้างนี้ไม่มีคนอื่นอีก อากาศนั้นร้อนจัดเพราะไม่ได้เปิดแอร์ เล่นเอาผิวที่ขาดการบำรุงนั้นแสบแปล๊บ ปลายผมที่ถูกมัดไปด้านหลังก็ทำให้หลังคอคันยุบยับ

เมื่อใส่คำสั่งและรอไม่ถึงสามนาที หน้าจอก็แสดงผล อัลกอริทึมชี้ชัดว่าหมายเลข ๔๖ ไม่มีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงรสนิยม

ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาตอบผิดจริง วาววากุมขมับอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ รอบกายเต็มไปด้วยเอกสารและเครื่องมือเต็มไปหมด แต่ไม่มีสิ่งใดให้คำตอบที่ต้องการได้เลย

ทันใดนั้นก็มีเสียงทักมาจากทางด้านหลัง

“ทำอะไรอยู่หรือครับคุณวาววา” เธอรีบหันกลับไปแทบตกเก้าอี้ และพบว่าเจ้าของคำถามนั้นกำลังมองมาด้วยแววตาสงบนิ่ง รอยยิ้มที่ดูไร้อารมณ์ ราวกับแค่ยกมุมปากขึ้นเท่านั้น

อลิน ริช ผู้ฟื้นสติรายแรกจดจ้องเธอราวกับต้องการคำตอบโดยเร็ว

แต่วาววายังไม่ตอบ และนั่งมองตาเขาอยู่อย่างนั้น

เมื่อเห็นว่าไร้คำตอบจากปากเจ้าหน้าที่วิจัยสาว อลินจึงเอ่ยเริ่มถามลงรายละเอียด “ทำไมต้องค้นระบบใหม่ตั้งแต่ต้นล่ะครับ มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ”

อลินเอียงคอ สายตาพิเคราะห์วาววาอย่างไม่ปิดปัง ไม่ใช่ในเชิงชู้สาว แต่อยู่ในเชิงของตำรวจไล่ต้อนคนร้าย ทำเอาเธอถึงกับสะอึกทั้งที่ตนมิได้ทำอะไรผิดแม้แต่นิด

“คุณคงไม่ทราบดีว่าหากมีการตรวจค้นไฟล์ละเอียดอ่อนของโครงการ ระบบมันจะส่งเมลถึงผมโดยอัตโนมัติ ประธานคนเก่าเป็นคนจัดการไว้น่ะครับ” สายตานั้นหมองลงทันทีที่กล่าวถึงเอ็ดเวิร์ดผู้จากลา

นั่นสินะ อลินมีตำแหน่งเป็นถึงมือขวาของประธานทุกรุ่น เรียกว่าใหญ่กว่าเธอไปหลายช่วงนัก

เมื่อทนสายตากดดันไม่ไหว วาววาตัดสินใจตอบคำถามออกไป

“ไม่มีอะไรค่ะ แค่อยากลองค้นดูเท่านั้น”

“อ้อ” อลินห่อปาก “อย่างงั้นเองหรือครับ”

แน่ละว่านั่นเป็นคำตอบที่ฟังดูไม่เข้าเค้าเอาเสียเลย แต่ก็เพราะไม่กล้าพูดความจริงออกไป วาววานั้นยังสาวก็จริง ทว่าเธอผ่านประสบการณ์มามากพอจะรู้ว่าสถานการณ์ไหนที่เสี่ยงต่ออันตรายถึงชีวิต

“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอลุกขึ้น ก้มหัวพร้อมยกมือไหว้ จากนั้นจึงเดินออกมา อลินผู้รูปงามผายมือให้อย่างสุภาพ

แม้จะเดินออกมาจากห้องส่วนกลางแล้ว แต่ยังสัมผัสได้ถึงสายตานิ่งแข็งขัดกับรอยยิ้มบนหน้านั้นได้อยู่เลย นั่นทำให้เธอขนลุกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“คุณวาววา” เสียงเรียกดังจากด้านหลังอีกครา อลินกำลังยืนมองเธออยู่ ห่างออกไปไม่ถึงสองเมตร เขาเดินมาใกล้ขนาดนี้โดยที่เธอไม่รู้ตัวสักนิด รอยยิ้มนั้นยังตราตรึงเช่นเดิม

“อย่ายุ่งกับเรื่องนี้” เสียงสั่งนั้นเรียบและเฉียบขาด

ด้วยความหวาดกลัว เธอจำไม่ได้ว่าตอบอะไรออกไป รู้สึกตัวอีกทีก็มาถึงหน้าลิฟต์กลางที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของ A MIND แล้ว

 



Don`t copy text!