
A MIND จิตอริยะ บทที่ 14 : มินเมืองผู้ชั่วร้าย
โดย : ไข่เจียวหมูสับ
A MIND จิตอริยะ โดย ไข่เจียวหมูสับ กับเรื่องราวซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของระบบสลับจิตที่นำมาทั้งการตามล่า บททดสอบทางศีลธรรมและความรักที่อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และนี่คือนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับเลือกจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 ที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครและเป็นนวนิยายที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์บนเว็บไซต์ anowl.co
ผมกับมินเมืองเคยตกลงกันว่า หากวันใดที่เบื่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้แล้ว เราจะสร้างความวุ่นวายครั้งสุดท้ายให้เป็นวงกว้างที่สุด
เวลานั้นมินเมืองทวงสัญญามาเป็นระยะ
เราจะเริ่มกันเลยดีไหม
นายเบื่อหรือยัง
นายเปลี่ยนไปนะช่วงนี้ ขนาดโทรคุยกันยังรู้เลย
คู่หู ยังไม่ลืมสัญญาใช่ไหม
ผมยังจำความรำคาญใจนี้ได้ ในช่วงที่ไปไหนมาไหนกับพิณเพลงที่พิษณุโลก มินเมืองเหมือนจะมีสังหรณ์ว่าผมเปลี่ยนไป และหาทางติตต่อเพื่อทวงถามสัญญา
และใช่ ในวันนั้นเองที่ผมมองว่าตนไม่ควรจะอยู่กับพิณเพลงอีกต่อไป ปีศาจกับนางฟ้าไม่คู่ควรกันหรอก
ผมเองทนรับความสุขอันแสนทรมานเมื่อยามอยู่กับพิณเพลงไม่ไหวแล้ว แม้ภายในใจยังคงคิดถึงช่วงเวลานั้นอยู่เสมอ
…และแล้วผมก็ก่อเรื่องในระหว่างขากลับมายังจุดนัดหมาย มีตำรวจสองนายวิ่งไล่ผม เป็นการหลบหนีที่ไม่ยากอะไร ทว่าในจิตใจกลับปวดร้าว
อยากกลับไปหาพิณเพลง อยากยกเลิกสัญญาที่ให้ไว้กับมินเมือง
และเมื่อตัดสินใจได้ ผมก็หยุดวิ่ง และยอมรับผลกรรมของตนเอง
เซลล์ทั้งร่างกายกู่ร้องยินดีที่ถูกจับกุม และรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกพาเข้าสู่กระบวนการสลับจิตแล้ว
ของเหลวบางอย่างถูกอัดเข้าเส้นเลือดของผมที่ถูกพันธนาการไว้บนเตียง มันคงช่วยให้หลับไปและไม่รู้สึกหวาดกลัว
…แต่ผมกลัว กลัวว่ามินเมืองจะยังคงทำตามสัญญาแม้จะเหลือมันแค่คนเดียว แต่จะให้ทรยศเพื่อนแล้วบอกกับตำรวจก็ไม่ใช่เรื่อง มาวันนี้จึงตระหนักว่าเป็นความคิดที่โคตรเห็นแก่ตัวและชั่วร้าย
“เราไปกันเถอะ เพื่อน” เสียงเรียกสติของมินเมืองดูร้อนรน คงกลัวผมจะหายไปอีกครั้ง
ผมอยากจะปฏิเสธ แต่สายตานั้นไม่ใช่คำขอร้อง หากเป็นการเรียกร้องถึงสัญญาที่เคยให้ไว้
“ฉันไม่ใช่ธาดาร์คนเก่าแล้ว”
การโต้แย้งนี้ไม่เป็นผล มินเมืองส่ายหัวและยิ้มแบบเป็นกันเอง
“ก็คงจะจริงนะ ฉันรู้ตั้งแต่ที่พบกันครั้งก่อนแล้ว ถ้าธาดาร์คือ ๑ ปกป้องคือ ๒ คู่หูในตอนนี้ก็คือ ๓ เป็นเหมือนบุคลิกใหม่สดๆ” มินเมืองขำด้วยท่าทีผ่อนคลาย เดินเข้ามาแล้วใช้นิ้วจิ้มเบาๆ ที่บริเวณหัวใจของผม “ธาดาร์ยังอยู่ในนี้ไง”
ผมไม่รู้จะแย้งอย่างไรแล้ว “งั้นพวกเราก็…ไปกันเถอะ”
ว่าแต่ มินเมืองมองข้ามไหล่ของผม เป้าหมายของสายตาคือหญิงสาวที่ผมรักยิ่งกว่าชีวิต
“จะเอาอย่างไรกับเธอล่ะ พาไปก็เป็นภาระ ทิ้งไว้ก็เป็นพยานปากสำคัญ”
ผมหันกลับไปสบตาเธอ พยายามหาทางรอด หากต้องสู้กัน มินเมืองที่ไม่บาดเจ็บแถมยังมีอาวุธคงชนะอย่างไม่ยากเย็น
พริบตานั้นพิณเพลงเลื่อนสองมือลงไปที่หน้าท้อง สัมผัสอย่างแผ่วเบา พร้อมมองตาผมอย่างอ่อนโยนและเด็ดขาด ผมรีบคว้าคอของมินเมืองเข้าไปกอด กระซิบข้างหู พร้อมทำหน้ายิ้มเลศนัยใส่เธอ
มินเมืองอุทานออกมาว่า “โว้ว”
“แล้วจะทิ้งน้องเขาไว้อย่างนี้หรือ เพิ่งรู้ว่าคู่หูก็โหดไม่เบานะเนี่ย” สีหน้าของมินเมืองที่กำลังใช้ฝ่ามือตีอกของผมนั้น ดูยินดีจากใจจริง
“เหนื่อยหน่อยนะน้อง ดันมารักกับคนเลวอย่างคู่หูพี่ เราไปกันเหอะ ทิ้งเธอไว้ตรงนี้อย่างที่นายต้องการ” มินเมืองหัวเราะชอบใจก่อนจะจากไปพร้อมผม ผู้ไม่หันกลับไปมองพิณเพลงแม้แต่น้อย แต่ในใจแสนขอบคุณที่เธอฉลาดเฉลียวพอจะเข้าใจและคงเอาตัวรอดได้
มินเมืองจะเชื่อหรือเปล่านะ อาจจะไม่…แต่มันคงมองว่าเป็นเรื่องสนุกมากพอ และนั่นช่วยให้เธอรอดจากเงื้อมมือของมันมาได้หวุดหวิด
“เราไปยังที่ที่เราสัญญากันไว้ดีกว่า” ผมเอ่ยปากเสียงดัง มินเมืองยิ้มน่าหมั่นไส้
“ได้เลยเพื่อน”
“ถ้าได้ออกคลิปไวรัลก็คงดีสินะ” ผมพูดเสียงดังกว่าเดิมอีกขั้น พยายามไม่ให้ดูมีอารมณ์ตื่นเต้นเกินไปนัก
“ใช่เลย เราช่างรู้ใจกันดีจริงๆ”
จากตรงนี้พิณเพลงคงได้ยินบทสนทนานี้ ผมหวังจริงๆ ว่าเธอจะเข้าใจเรื่องที่ต้องการจะสื่อ
“ว่าแต่ เราจะไปกันยังไง พวกนั้นปิดทางเข้าออกแทบทุกเส้นเลย อย่าบอกนะว่าว่ายน้ำไป”
“ไม่ต้อง” มินเมืองกอดคอผมแล้วชี้ไปที่พื้น
“ทางเดินของเราอยู่ด้านล่าง”
หลังจากประกาศเรียกให้มอบตัวแต่ไม่พบการตอบสนอง กองกำลังตำรวจทั้งสิบสี่นายจึงบุกเข้าไปยังอาคารร้างที่ได้รับแจ้งมาทันที เดิมทีพิศวัตินั้นถูกสั่งให้รออยู่ด้านนอก แต่ไม่ทันไรก็มีคำสั่งจากรองสารวัตรบอกให้เขาเข้าไปพบหญิงสาวที่เป็นผู้แจ้งข่าว ซึ่งบัดนี้กำลังอยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ด้านใน ร.ต.ท.จึงรีบเข้าไปโดยเร็ว
และห้านาทีต่อมา เมื่อทราบเรื่องราวจากปากของพิณเพลง พิศวัติหวั่นใจในสิ่งที่ได้ยินจนรู้สึกอยากจะสำรอก นักโทษคดีร้ายแรงที่มีสมองอัจฉริยะทั้งหมดกำลังจะฟื้นสติขึ้น แค่คิดก็น่ากลัวเกินไปแล้ว
พิศวัติรีบโทร.แจ้งไปยัง ผกก.มาวิชย์ทันที แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ตกอกตกใจเท่าเขา
“วิธีแก้นั้นง่ายมาก” ผู้กำกับที่อยู่ปลายสายหัวเราะ “เราแค่ติดต่อไปยังผู้ฟื้นสติทั้งหมด เพื่อเตือนว่าห้ามเปิดคลิปเสียงใดๆ ก็ตามที่ถูกส่งไปโดย A MIND ก็พอแล้ว”
จริง ไอ้เวรที่ชื่อมินเมืองคงไม่ฉลาดเท่าที่พิณเพลงบอกไว้ จากนั้น ผกก.มาวิชย์จึงวางสาย บอกส่งท้ายว่าจะรีบแจ้งไปยังผู้เกี่ยวข้องให้จัดการ
พิศวัติเก็บสมาร์ตโฟนแล้วส่ายหัว มองหน้าพิณเพลงด้วยความไม่สบายใจ แต่เธอกลับทำท่าทางครุ่นคิด ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเหมือนคนเพิ่งเฉียดความตายมาสักนิด
เขาตั้งใจจะเอ่ยถามว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนที่สมาร์ตโฟนจะส่งเสียง ปลายสายเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก และเสียงของคนที่ติดต่อมานั้นช่างสดใสและรื่นเริงเป็นพิเศษ
“อะแฮ่ม เบอร์ของหมวดพิศวัติใช่ไหมครับ ผมมินเมืองเองนะ…ได้เบอร์นี้มาจากคู่หูของผมน่ะครับ”
เขากลืนน้ำลาย รู้ดีว่าเรื่องกำลังลุกลามขึ้นแล้ว
“มินเมืองแจ้งว่าข้อมูลการติดต่อของผู้ฟื้นสตินั้นถูกเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูลของ A MIND ซึ่งหากมีการแตะต้องหรือเข้าถึงข้อมูลนี้ ตัวมินเมืองจะรับทราบทันที หากเป็นเช่นนั้นระบบจะส่งคลื่นความถี่ไปยังผู้ฟื้นสติทุกคน ซึ่งคงไปถึงเร็วกว่าที่เราจะติดต่อทันแน่นอนครับ”
“ไอ้โครงการทุเรศเอ๊ย จะสร้างปัญหาไปถึงเมื่อไรวะ” ผกก.มาวิชย์คำราม “เราจะใช้ฐานข้อมูลการติดต่อของฝ่ายปราบปรามแทน”
“เอ่อ” พิศวัติส่งเสียงขัด ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ขุ่นเคือง “มินเมืองมันบอกเหมือนกันครับว่าถ้าทำแบบนั้น มันก็จะรู้ แถมข้อมูลที่ฝ่ายนั้นมีเป็นฐานข้อมูลเดียวกับฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางของประเทศ ซึ่งไม่อัปเดตมาห้าปีแล้ว ต่อให้ได้มาก็คงแทบจะช่วยอะไรไม่ได้”
เสียงของมาวิชย์แทบจะเรียกว่าร้องไห้ หรืออาจจะโกรธกระทั่งโทนเสียงเปลี่ยนก็เป็นได้ แต่หมวดพิศวัติก็พอเข้าใจ ใครมาทราบเรื่องนี้ก็คงคุมอารมณ์ไม่อยู่ทั้งนั้น “ป่านนี้เอ็ดเวิร์ดในปรโลกคงได้ร้องไห้เป็นสายเลือดแล้ว…”
“นอกจากนี้มันยังตั้งระบบส่งไฟล์ความถี่อัตโนมัติไว้ เข้ารหัสที่มีเพียงมันคนเดียวที่รู้ หากเราเก็บมันด้วยสไนเปอร์หรือด้วยกำลังคน ไม่นานก็คง…”
“รอเดี๋ยว” ผู้กำกับเอ่ย จากนั้นคงหันไปคุยกับรองผู้กำกับวิเธียร สักพักจึงกลับมาบอกอะไรบางอย่างกับพิศวัติ
“จะให้แยกสมาชิกของหน่วยปราบปรามพิเศษไปในเวลานี้เลยหรือครับ”
ทางนั้นส่งเสียงไม่พอใจ คงไม่ชอบที่เขาถามอะไรที่ไม่ควรถาม
“เรากับฝ่ายปราบปรามสรุปกันแล้วว่าจะให้พวกนั้นไปประกบติดผู้ฟื้นสติทั่วประเทศให้เร็วที่สุด เพื่อจัดการขั้นเด็ดขาดในกรณีฉุกเฉิน ฐานข้อมูลเรื่องที่อยู่นั้นยังพอมีเป็นเอกสารอยู่ พูดตามตรง ฝั่งนั้นมองว่าต่อให้เราประกบติด แต่ทางมินเมืองอาจจะใช้วิธีส่งสัญญาณแบบระยะไกลเหมือนอุปกรณ์ที่ค้นพบตรงชั้นล่างของอาคารร้างนี้ก็ได้ เป้าหมายไม่ใช่การป้องกันไม่ให้ฟื้นความทรงจำ แต่เป็นการระงับเหตุร้าย…”
พูดให้ตรงจุดคือหมดหวังแล้วสินะ “แล้วตัวมินเมืองกับปกป้องล่ะครับ”
“เรายังมีสมาชิกเหลืออยู่บ้างจะส่งไปจัดการ แต่หลักๆ แล้วทางเราจะรับมือกับพวกมันเอง หากสงสัยอะไรขนาดนั้น ตัวคุณเองก็ไปช่วยด้วยสิ”
หมวดพิศวัติมองว่าทางผู้ใหญ่บางคนแอบหวังให้เรื่องลุกลาม หรือไม่…ก็คงไม่อยากเสี่ยงอะไรแล้ว สู้รอเก็บพวกผู้ฟื้นสติทีเดียวจะปลอดภัยกว่า หากมัวแต่ส่งทุกคนไปตามก้นมินเมืองและปล่อยผู้ฟื้นสติอาละวาด คงเสียหายเกินรับมือ
“แล้วมันมีการเรียกร้องอะไรไหม”
“ไม่มีครับ” พิศวัติตอบเสียงอ่อย เขาลองเลียบเคียงถามดูแล้ว มินเมืองไม่คิดต้องการอะไรเลย “แต่คุณพิณเพลงแจ้งว่าการจัดการคลื่นความถี่ให้ส่งต่อได้ต้องใช้เวลาประมวลผลสักพัก มินเมืองคงรอเวลานั้น อย่างไรก็ตาม แม้ความถี่จะยังไม่สมบูรณ์แต่ก็คงเพียงพอให้เกิดการฟื้นความทรงจำได้แล้ว…และอีกเรื่อง ทางมินเมืองคงต้องการให้สถานการณ์เป็นไปอย่างที่วาดฝันเอาไว้มากที่สุดครับ”
“แล้วสถานการณ์ที่ว่าคือความบรรลัยใช่ไหม” ผู้กำกับเสียงเครียด ประสบการณ์มากมายคงทำให้เดาทางออกแล้ว “สถานที่ล่ะ”
“กำลังตามหาอยู่ครับ เห็นว่าหลบหนีลงทางใต้ดินของตึกนี้ และคงไปไกลแล้ว”
“อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว…” อีกฝ่ายสั่งก่อนจะวางสายไปอีกครั้ง พิศวัติถึงกับกลุ้ม ยืนพิงเสาข้างๆ พิณเพลงอย่างอ่อนแรง คงคิดว่าแค่พวกเราก็จบเรื่องมินเมืองได้ ส่วนตัวเขามองว่าจะแบบไหนก็เข้าทางมินเมืองทั้งนั้น แต่พูดออกไปก็มีแต่เสียกับเสีย เขาจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
“คิดออกแล้ว” พิณเพลงจู่ๆ ก็ส่งเสียงออกมา เล่นเอาเขาสะดุ้ง
“เมื่อกี้มัวแต่ตกใจ พอตั้งสติให้ดีก็จำได้แล้ว”
พิศวัติมองพิณเพลงด้วยความงงงวย แต่ก็เข้าใจว่าเจอแบบนั้นมาคงคิดอะไรไม่ออกไปช่วงหนึ่ง ที่ทำท่าครุ่นคิดมาตลอด พิณเพลงคงกำลังสงบสติและทบทวนอะไรสักอย่างอยู่สินะ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองตาเขา แน่วแน่และมั่นใจ “ฉันรู้ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน”
ทางเดินยาวไกลถูกสร้างออกมาในรูปแบบอุโมงค์ขนาดย่อม มีป้ายบอกข้างทางซึ่งประกอบด้วยลูกศรสีแดงและตัวหนังสือเขียนว่า เขต S
“แสดงว่าหากวิ่งไปตามทางก็คงไปถึงกลางเมืองได้ง่ายๆ”
“ไม่อยากจะเชื่อว่าใต้ตึกร้างจะมีทางเดินใต้ดิน แถมยังกว้างเอาเรื่องอีก” ผมเอ่ยชมด้วยความทึ่ง แน่นอนว่าการสร้างของแบบนี้ขึ้นคงผิดกฎหมายชัวร์
“คงถูกออกแบบให้ใช้ในโครงการสีเทาของบริษัทใหญ่ และน่าจะเส้นสายดีด้วย” มินเมืองกล่าวอย่างกับเป็นเจ้าของตึกเสียเอง “ไม่ต้องรีบหรอก คู่หู เพราะพวกฝ่ายปราบปรามไม่มีประสบการณ์กับเรื่องพวกนี้” พูดจบทั้งคู่ก็ชะลอฝีเท้าลง
“ไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนเนี่ย”
“พอดีตามจีบคนจากในฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางอยู่น่ะ ชื่อว่าแม่ลินดาน้อย” มินเมืองพูดทีเล่นทีจริง แต่ผมรู้จักคนชื่อลินดา เคยเห็นชื่อนี้ในระบบช่วงที่ปกป้องพยายามหาข้อมูลของโครงการและผู้ที่เกี่ยวข้อง น่าจะเป็นคนจากฝ่ายตรวจสอบส่วนกลางตามที่มันพูด
หรือทางฝ่ายตรวจสอบจะมีเอี่ยวด้วยนะ…แต่จะถามลึกไปกว่านี้ก็ไม่น่าเหมาะ บางทีมินเมืองอาจจะโบ้ยไปเรื่อยตามประสาคนขี้โกหกก็ได้
วิ่งต่อมาอีกสักพัก อุ่นใจว่าคงหลบพวกตำรวจพ้นสักระยะ…แต่น่าแปลก ทั้งวัตถุปริศนาที่ส่งสัญญาณต่อผู้ฟื้นสติ ทั้งทางเดินใต้ดิน มีเรื่องที่คาดไม่ถึงมากเกินไป
“มีอะไรหรือ”
“เปล่า แค่เหนื่อยๆ น่ะ”
“งั้น พักสักหน่อยไหม” มินเมืองว่าแล้วก็ค่อยๆ หยุดวิ่ง ผมเองก็หยุดเช่นกัน จากนั้นเพื่อนฆาตกรจึงคุ้ยของในกระเป๋าชุดเอี๊ยม หยิบของขบเคี้ยวในซองพลาสติกมาให้ “อันนี้อร่อยนะ”
ผมรับมาแกะแล้วชิมดู และพบว่าอร่อยจริงๆ
จากนั้นเราสองคนจึงค่อยๆ เดินเพื่อเก็บแรง มินเมืองหาวแสดงความเบื่อหน่าย แต่มันคงรู้ดีว่าการวิ่งนั้นสิ้นเปลืองพลังงาน
“ว่าแต่ ที่คุยกับทางตำรวจเมื่อกี้ ระบบในเครื่องมันทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ” ผมถามถึงการเข้ารหัส
“ไม่รู้สิ ฉันก็โม้ไปเรื่อย ถ้าทางโน้นเชื่อก็ดีไป” มินเมืองแอบหัวเราะ แต่ดูจากสีหน้าแล้ว แสดงว่าทำได้จริงตามนั้น ไม่สิ หรือว่าทำไม่ได้กันนะ ผมเสียความสามารถในการมองเจตนาของมินเมืองไปแล้ว แต่อย่างไรก็ยังน่ากลัว แค่ขู่ไม่กี่คำก็ทำให้พวกของพิศวัติเคลื่อนไหวไม่ได้ไปสักระยะ ไม่แน่ว่าบางทีมินเมืองอาจหวังให้ผู้ฟื้นสติทั้ง ๔๕ คนถูกสังหารก็ได้ ไม่รู้สิ ผมเดาอะไรไม่ถูกอีกแล้ว เหมือนกับว่ามินเมืองกลายเป็นคนที่ผมไม่รู้จักมาก่อนเสียอย่างงั้น
มินเมืองนั้นมีเหตุผลในการฆ่าที่ต่างจากผม แม้จะบอกว่าเพื่อความสนุก แต่ลึกๆ แล้วคงมีมากกว่าที่พูด ตัวมินเมืองเองก็คงไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุผลนั้นคืออะไร และพยายามค้นหาอย่างบ้าคลั่งราวกับเด็กน้อยหลงทาง
มินเมืองเป็นเพื่อนของผม และเป็นตัวอันตราย เขาจำเป็นจะต้องถูกหยุดยั้ง
“อีกไม่เกินห้านาทีก็คงจะถึงทางขึ้น มันจะโผล่ตรงลานจอดรถที่ถูกปิดไปแล้ว จากตรงนั้นเราเดินไปแค่ห้านาทีก็จะถึงสีลม” มินเมืองเดินอย่างไม่รีบร้อน ในมือกดสมาร์ตโฟน “โคตรจะเชื่อเลย ข้อมูลในเครื่องนี้มันบอกว่าผู้พื้นสติตั้ง ๒๕ จาก ๔๖ คนอาศัยอยู่ในกรุงเทพ แค่แถวสาทรก็ปาไปสี่คนแล้ว ทั้งที่อัตราการเพิ่มของคดีร้ายแรงแม่งก็กระจายกันทั่วๆ แท้ๆ ไหนบอกว่าไม่มีเส้นสายหรือลับลมคมในไงล่ะวะ” มินเมืองพูดแล้วหลุดขำ
ผมมองที่สองมือตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่ายังสั่นจากการต่อสู้กับอลินเมื่อครู่ หากเป็นสมัยก่อนคงไม่รู้สึกอะไร
“คิดดูนะเพื่อน หากเราทำตามความต้องการของคุณอลิน ริชสำเร็จจะเป็นยังไงน้า คนจะตายกี่คน เสียงโหยหวน ข่าวเรื่องการฆาตกรรม ทุกอย่างมันจะเลวร้ายขนาดไหนกัน มันน่าจะสนุกดีนะ”
ไม่เลยสักนิด แกมัน…ผมพูดไม่ออก ผมกับอลิน ริชแค่สองคนก็สร้างความบรรลัยขนาดนี้แล้ว หากเพิ่มอีกหลายสิบคน ประเทศนี้คงวายวอดไม่เหลือแน่ พวกตัวแทนคนอื่นไม่ใช่แค่ฆาตกรต่อเนื่อง แต่ยังมีพวกค้ามนุษย์และคดีร้ายแรงอื่นๆ อีก หากพวกมันได้รับมันสมองของอัจฉริยะเข้าไป…จะเกิดอะไรขึ้น
จะปล่อยไว้ไม่ได้ ใครจะตายห่าก็ไม่สน แต่ไม่อยากให้พิณเพลงกับปกป้องเจออันตราย ผมต้องการช่วยแค่สองคนนี้เท่านั้น
“ว่าจะถามตั้งแต่สัญญากันแล้ว” ผมมองไปตามทาง พยายามไม่ให้สะดุดอะไร “ทำไมต้องเป็นเขตสาทร มีอะไรกับเขตนี้งั้นหรือ”
“อ๋อ” มินเมืองร้องเสียงดัง “แค่เอารายชื่อเขตทั้งหมดของกรุงเทพมาวาง แล้วก็หลับตาสุ่มจิ้มเอาน่ะ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก”
ฟังมันพูดแล้วกวนพิลึก ผมสงสัยว่าจริงหรือ แต่ก็ไม่ได้อยากรู้มากไปกว่านั้น และตั้งใจเดินต่อไป ทางเดินเริ่มมืดพอสมควร
“ชีวิตใหม่สนุกไหม คู่หู” จู่ๆ เพื่อนร่วมทางสู่ความบรรลัยก็ถามออกมา
ผมยังไม่ตอบ…ไม่กล้าแม้แต่จะตอบ เพราะไม่ว่าในมุมของผมเองหรือของปกป้อง ชีวิตใหม่นั้นมีความสุขดี
“ชีวิตใหม่สนุกไหม” มินเมืองถามซ้ำอีกครั้งอย่างใจเย็น ผมพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง แต่ก็คิดอะไรไม่ออก จึงจำใจตอบออกไป “ช่วงที่ถูกจับก็มีความสุขอยู่ คิดว่าจะได้จบๆ ไป อันที่จริงฉันเคยชอบโครงการนี้นะ แต่พอเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้งในร่างที่เป็นของปกป้องไปแล้ว ถึงได้รู้ว่ามันไม่เวิร์กว่ะ”
“คิดมากเกินไปแล้วมั้ง ร่างนี้ก็เป็นของนายนั่นแหละ”
“มินเมือง…ทำไมสมัยก่อนถึงชวนให้ฉันทำแบบนี้ล่ะ ทำไมต้องพยายามสนุกขนาดนั้น แถมยังพยายามจะสร้างความเสียหายแก่ทั้งประเทศอีก มันไม่ใช่แค่เรื่องเบื่อหรืออยากสนุกทั่วๆ ไปแล้วมั้ง”
มินเมืองทำหน้าราวกับแปลกใจ “คิดอยู่แล้วว่าอยากถาม แต่ไม่คิดว่าคู่หูจะกล้าถาม”
“โทษนะที่หยาบคาย พอดีอยากรู้น่ะ”
“เรื่องมันยาวนะ…จะเริ่มยังไงดีล่ะ อืม…” มินเมืองส่งเสียงแล้วมองเพดานอุโมงค์ใต้ดิน “นายจำได้ไหม ก่อนเราจะรู้จักกัน ในช่วงที่โครงการสลับจิตกำลังผ่านร่างกฎหมาย…”
ว่าแล้วมันก็มองไปที่พื้น “เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีความหวัง คิดดูสิ หากฉันถูกจับกุมแล้วถูกส่งเข้าโครงการ ไม่ช้าก็จะมีอีกจิตหนึ่งมาอยู่ในร่างนี้”
มันใช่เรื่องน่าสนุกงั้นหรือ ผมสงสัย “แต่จิตของนายจะหายไปนะ”
“ไม่หายไปหรอก ฉันมั่นใจ” มินเมืองหลับตาแล้วพยักหน้า เพื่อนชั่วคนนี้เป็นคนเซนส์ดี แน่นอนว่าผมไม่เอ่ยชมออกไปหรอก
“ก็ไม่รู้รายละเอียดโครงการหรอกนะ รู้แค่ว่าฉันอาจจะกลับมาอีกครั้ง หลอมรวมกับจิตของคนดีๆ สักคน คนที่…คนที่เข้าใจว่าความสนุกและความสุขมันเป็นอย่างไร มันคือชีวิตใหม่เชียวนะ คงจะมีความสุขมากที่ไม่ต้องมาดิ้นรนหาคำตอบอยู่อย่างนี้”
ตรรกะอะไรของมึง…ไอ้ชั่วเอ๊ย แค่ตัวเองไม่รู้จักอารมณ์สนุก ถึงกับคิดเรื่องชั่วๆ พรรค์นี้ออกมางั้นหรือ ผมสะอิดสะเอียดมินเมืองเป็นครั้งแรก ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน หากถามคำถามนี้ออกไปในช่วงที่ยังไม่สลับจิต จะยังรู้สึกแบบนี้ไหมนะ
“มันดูแฟนตาซีดีเนอะ” ผมตอบสนองได้เพียงแค่นั้น และมินเมืองเองก็ไม่ได้รับคำชมนั่น กลับดูหม่นหมองด้วยซ้ำ
“แต่ก็ยังแอบกังวลพอควร เพราะว่าฉันฉลาดเกินไป ตรวจออกมาก็คงไม่เข้าเกณฑ์ของ A MIND หรอก ตอนนั้นคิดแล้วก็ปวดใจ ถึงถูกจับก็คงต้องลงนรกไปโดยไม่ได้ชีวิตใหม่ แต่ว่า…วันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว หากคนฉลาดอย่างคู่หูยังได้เป็นตัวแทนละก็ ฉันที่ฉลาดน้อยกว่านิดหนึ่งก็มีหวังใช่ไหมล่ะ”
ห่างไปไม่ไกลตรงอุโมงค์ฝั่งซ้าย เห็นทางเดินขึ้นอยู่ตรงหน้า เป็นทางเดินบันไดสังกะสีเก่าๆ ขั้นบนสุดเชื่อมกับทางเดินสั้นๆ ที่สุดทางเป็นประตูเหล็กแบบเปิดออกจากด้านในได้ ดูจากตรงนี้ก็เห็นว่ามันไม่ได้ล็อกแม่กุญแจ แค่ลงกลอนขวางไว้เท่านั้น
“คราวนี้คู่หูช่วยให้ฉันมีความหวังอีกครั้ง ขอบใจนะ” สายตานั้นจริงใจ มินเมืองจริงใจกับผมเสมอ นั่นยิ่งทำให้อึดอัดและโคตรกดดัน เป็นไปได้ก็ไม่อยากทำร้ายมินเมือง อีกฝ่ายเองก็คงคิดแบบเดียวกัน “แต่มานึกดูอีกที…เราเล่นเสียเละขนาดนี้ โครงการมันก็คงมีปัญหาไปแล้ว และน่าจะถูกปิดในไม่ช้า ความหวังมันก็เลยลอยออกไปอีกแล้ว แต่ก็…ช่างเถอะ…ไม่ถูกสลับจิตก็ได้…”
มันหยิบมือถือของอลินขึ้นมา “เพราะด้วยสิ่งนี้ อย่างน้อยฉันก็คงจะสนุกได้ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว มันน่าสนุกยิ่งกว่าการถูกสลับจิตเสียอีก”
“มันน่าจะเป็นคำตอบที่ฉันหาอยู่แน่นอน” เสียงของมินเมืองนั้นมั่นใจเข้ากระดูกดำ ก่อนจะเดินไปถึงที่บันไดขั้นแรก และเริ่มก้าวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ฉิบหายแล้วสินะ…
- READ บทส่งท้าย A MIND จิตอริยะ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 17 : บิดเบี้ยว
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 16 : ความสัมพันธ์ที่ไร้คำร่ำลา
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 15 : สองจิต
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 14 : มินเมืองผู้ชั่วร้าย
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 13 : การกลับมาของฆาตกร
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 12 : สู่การหลบหนี
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 11 : ความถี่ปริศนา
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 10 : การเตรียมใจของปกป้อง
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 9 : ช่องโหว่ของระบบ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 8 : สัญญาของดอกไม้ไฟ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 7 : จุบจบที่เริ่มตั้งเค้า
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 6 : ความสุขที่โหยหา
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 5 : พบกันอีกครั้ง
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 4 : ผู้ฟื้นสติ
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 3 : สำนึกสุดท้ายของปกป้อง
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 2 : โครงการสลับจิต
- READ A MIND จิตอริยะ บทที่ 1 : วาระสุดท้ายของธาดาร์ โพ้นวิไสย