บ่าวหนุ่มบ้านบน บทที่ 5 : ขื่อ อะกื่อ
โดย : มาลา คำจันทร์
บ่าวหนุ่มบ้านบน โดย มาลา คำจันทร์ เรื่องของ บุญส่ง ครูหนุ่มที่ถูกบรรจุให้ไปสอนหนังสือที่บ้านห้วยผักกูดพร้อมคำเตือนที่ว่าไม่ไหวก็ให้ลาออก แล้ววันหนึ่งเขาก็พบเรื่องผิดปกติมากมาย ทั้งเสียงร้องไห้ในยามค่ำคืน เงาปริศนา เรื่องเล่า ตำนานท้องถิ่น และภูตร้ายพรายผี เขาจะเดินหน้าหรือถอยหนี พบกับคำตอบที่เพจอ่านเอาและ anowl.co
ปลายปี 2513 ครูใหม่ยังพักอยู่ที่เรือนตาหนานอุดม ได้รับความรักใคร่เมตตาจากสองตายายและพี่น้องชาวบ้านดีอยู่ สอนอยู่ที่ห้วยผักกูดเพียงสองปี แต่มีเรื่องดีงามควรจดจำมากมาย เรื่องร้ายๆ ไม่ค่อยมี เพราะเป็นคนเงียบๆ เรียบๆ ไม่ค่อยมีอะไรผาดโผนโจนทะยาน ไม่ทำตัวหวือหวาเป็นที่เหม็นขี้หน้าของหนุ่มๆ ในหมู่บ้าน ก็อาจมีบ้างที่สาวๆ ทิ้งหางตามีความหมายมาให้ แต่ในใจตอนนั้นยังไม่มีใครเลย อาจแอบชอบจุ๊บแจง แต่ระงับหับใจไว้เสียเพราะเป็นแฟนของเพื่อนใจ เติบโตขึ้นมา มีศีลและธรรมเป็นกรอบกำหนดเพราะติดตา ต่อมาก็ติดตนชุ่มเย็นอีกคน
อยากเป็นอย่างท่าน
เมื่อจบชั้น ป.7 ก็อยากบวช ตาสนับสนุน แต่พ่อไม่ค่อยเห็นด้วย พ่ออยากให้เป็นครู จะได้ช่วยดูแลพ่อแม่ตายายในภายภาคหน้า จะได้เป็นหน้าเป็นตา เพิ่มพูนเกียรติยศชื่อเสียงของพ่อแม่เพราะมีลูกเป็นครู
ตารู้อย่างนั้น ตาก็นิ่งๆ เฉยๆ เสีย เพราะเด็กน้อยบุญส่งเป็นลูกพ่อ ไม่ใช่ลูกตา
ช่วงปีที่คลุกคลีอยู่ห้วยผักกูดคือปี 2513-2515 ช่วงนั้นจอมพลถนอม กิตติขจรยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ประเทศชาติบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี แต่ไกลๆ ออกไปในเขตป่าเขาห่างไกล มีความเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นพรรคการเมืองนอกกฎหมาย แต่ในแถบถิ่นดงดอยฟากตะวันออกของอำเภอยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรชัดเจนมากนัก อาจมี แต่เราไม่รู้ ข่าวสารบ้านเมืองรับได้ทางเดียวจากวิทยุทรานซิสเตอร์ เป็นข่าวจากทางราชการฝ่ายเดียว แต่ชาวบ้านส่วนมากไม่มีวิทยุส่วนตัว ราคายังแพงอยู่ วิทยุส่วนกลางที่เปิดแล้วต่อลำโพงให้ชาวบ้านได้ยินด้วยก็ยังไม่มี
บุญส่งยังอยู่เรือนตาหนาน อ้ายแดงยังไม่ปลดประจำการออกมา มาริสายังพักอยู่ที่เรือนญาติฝ่ายแม่ตามเดิม อยู่มาวันหนึ่งเธอก็ปรารภขึ้น
“มีข่าวไม่สู้ดีนัก หัวหน้าหมวดการศึกษาเรียกลุงเขยเราไปพบ”
“หัวหน้าหมวดการศึกษาเกี่ยวข้องอะไรกับผู้ใหญ่บ้าน”
“อย่างน้อยก็สังกัดต่อผู้ว่าราชการจังหวัด กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยด้วยกัน”
ข่าวคราวไม่สู้ดีนัก เรียกว่าเป็นข่าวคาวๆ น่าจะใกล้เคียงกว่า ครูใหญ่กับครูหอมนวลตกเป็นข่าวป้องปากซุบซิบในแวดวงครูมาแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่มีหลักฐานพยานอะไรชัดเจน เราสองคนเองก็พอสังเกตเห็นว่าครูทั้งสองใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินครูใหญ่กับครูน้อย มาโรงเรียนพร้อมกัน กลับพร้อมกัน อยู่ไหนก็อยู่ด้วยกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน ครูใหญ่องอาจเป็นลูกกำนันอยู่อีกตำบลมีลูกเมียแล้ว ขับรถโตโยมาโรงเรียน แวะรับครูหอมนวลที่ตลาดประจำตำบลมาด้วย ขากลับก็เอาครูหอมนวลติดรถกลับพร้อมกัน ต่อมาภรรยาครูใหญ่สงสัยจึงทำเรื่องร้องเรียนให้หัวหน้าหมวดการศึกษาสอบสวน หัวหน้าหมวดเรียกลุงเขยของจุ๊บแจงไปให้ข้อมูล เพื่อนสาวตาหยีเลยเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง
“เธอกับฉันก็อาจโดนหัวหน้าหมวดเรียกไปสอบถามนะ จุ๊บแจง”
“เป็นไปได้สูงมาก หัวหน้าหมวดอาจกำลังประมวลผลอะไรอยู่ ไม่แน่นัก อาจขอความร่วมมือไปทางเชียงของเพื่อตรวจสอบประวัติย้อนหลังด้วยก็ได้ หนุ่ย…”
เธอพาดพิงถึงชายคนรักที่หายแง่หายงอนกันแล้ว หนุ่ยหรือสิทธิศักดิ์เป็นชาวเชียงของ สอบบรรจุได้ที่อำเภอเชียงของ ส่วนครูสาวไม่ค่อยสวยแต่ชอบใส่ส้นสูงเพิ่งย้ายมาจากเชียงของก่อนหน้าเราปีเดียวนี่เอง
“หนุ่ยอะไร ไอ้หนุ่ยมันเขียนจดหมายมาบอกเลิกรักเธอหรือ”
“ไอ้บ้า” มาริสาหัวเราะจนตาหยี นานๆ ทีเธอถึงจะหลุดคำว่าไอ้ว่าอีออกปาก “ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่หนุ่ยกับพี่หอมฟุ้งเป็นญาติกันทางสายแม่ แต่อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ หนุ่ยว่าพี่หอมฟุ้งมัวหมอง เกี่ยวข้องกับปลัดอำเภอจนโดนสอบสวน อาจไม่จริงก็ได้ แต่การย้ายครูข้ามอำเภอโดยผู้ถูกย้ายไม่ได้ร้องขอเป็นเรื่องไม่ค่อยเกิดขึ้น กรณีพี่หอมนวลยิ่งน่าเคลือบแคลง เพราะโดนย้ายออกจากอำเภอบ้านเกิดมาอยู่อำเภอเรา ไกลกันเกือบร้อยกิโลเมตร”
“แล้วพี่หอมนวลรู้ไหม เธอกับหนุ่ยเป็นแฟนกัน”
“เราไม่เคยพูดเรื่องนี้กับพี่แกเลย”
เย็นวันนั้นหลังปล่อยเด็กกลับบ้าน ครูใหม่กลับที่พักแล้วเอามีดใส่ย่าม เอาเสียมขึ้นบ่าเตร่ไปไปหาหน่อนางหางไม้ยังชายป่านอกหมู่บ้าน มาอยู่บ้านท่าน แม้จะจ่ายค่าอยู่ค่ากินตามตกลงกันไว้ไม่มีบกพร่อง แต่หากว่างก็ชอบเข้าป่าเข้าดงลงหนองหาของกินได้ผ่อนแรงท่าน ตาหนานเองแก่มากแล้ว ไม่เหมาะสมที่จะให้ผู้เฒ่าแบกเบ็ดออกบ้าน ตกปลางมหอยหรือขึ้นดอยหาเห็ดขอนเห็ดดินมาใส่หม้อแกงเลี้ยงเรา ยายผัดแม้ยังแข็งแรงดีอยู่แต่ก็ไม่ค่อยออกจากรั้วบ้านไปไหน นอกจากไปวัด
“ยังหลับดีนอนดีไหม พบเห็นอะไรไหม กลัวไหม”
แกมักถาม
ดงดอยอยู่ทางด้านตะวันออกของหมู่บ้าน พื้นที่ค่อยลาดชันขึ้นไปถึงสันเนินไม่สูงนัก ขนาดพอๆ กับสันดอยผาช้างมูบที่บ้านบน อีกฟากของสันดอยเป็นอีกหมู่บ้าน ถัดไปมองหาหมู่บ้านไม่เห็นแล้ว อาจมี แต่หมู่ไม้ที่ค่อยกลายเป็นป่าหนาแน่นปิดบังสายตา เหมือนๆ ยืนอยู่บนเนินหลังบ้านแล้วมองไปไม่เห็นบ้านขุนสาง บ้านขุนสางมีอยู่ แต่เรามองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าอะไรที่เรามองไม่เห็นสิ่งนั้นไม่มี
ขุดมันอ้อนได้สองสามหัว กำลังเพลินๆ ทันใดก็สะดุ้ง
“ขื่อ อะกื่อ”
เสียงไม่เป็นภาษาดังขึ้น หรือเป็นภาษาอื่นที่ตนไม่รู้จักก็ไม่แน่ใจนัก ไม่มีอะไรเตือนล่วงหน้ามาก่อน ความรู้สึกเย็นวาบปลาบเสียวอย่างเจอผีร้ายพรายกล้าก็ไม่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่ยืนอยู่ต่อหน้าไม่ใช่คน
“ไหว้สาครับ ครูบาให้เด็กวัดไปบอกผมให้มาหาครูบาใช่ไหมครับ”
“ใช่แล้วครู เพิ่งรู้จากหนานอุดม ครูเป็นลูกศิษย์ตนชุ่มเย็นวัดมังคลารามหรือ”
“จะเรียกว่าศิษย์ได้หรือเปล่าไม่รู้ ท่านสอนผมหลายอย่าง ผมเรียนจากท่านหลายอย่าง แต่ไม่เคยน้อมนบไหว้สา ยื่นขันขอท่านเป็นครูบาอาจารย์ให้ถูกต้องตามจารีตครับผม”
“เตโชกสิณ ได้มาหรือไม่”
“ไม่ได้ครับ ได้มาแต่สมถะพื้นฐาน เตโชกสิณท่านไม่ถ่ายทอดให้ พื้นฐานไม่พอครับผม”
“แบมือมาซิ”
ขยับเข้าใกล้ท่าน ก้มกราบอีกครั้ง แบมือให้ท่าน ท่านวางฝ่ามือทาบประกบ รับรู้ได้เลย มีความอบอุ่นอ่อนโยนมากมีด้วยเมตตาแผ่ลงสู่มือ น้อมใจ น้อมรับเอาด้วยหัวด้วยใจ เคยมาไหว้ท่านแล้วเมื่ออาทิตย์แรกที่มาถึง บอกแต่ว่าเป็นครูใหม่ ไม่ได้บอกว่าเป็นลูกศิษย์ตนชุ่มเย็นวัดบ้านบน ทั้งสองท่านรู้จักกัน ตาก็รู้จัก ตาเล่าว่านาคบาศของท่านเด็ดขาดนัก แต่เด็ดขาดอย่างไรครูใหม่คนนี้ก็ลืมไปเสียแล้ว ตาเล่าแต่เมื่อเขาเองเรียนอยู่ชั้น ป.1 ป.2 โน่นแล้ว
“อือ” ท่านชักมือกลับ
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ครูบาเจ้า”
“ยังไปไม่ถึงในชาตินี้”
“ถึงไหนขอรับ”
“พระโสดา”
ท่านชื่ออินสม เป็นพระรุ่นพี่ของหลวงปู่ หลวงปู่ฝากกรวยดอกไม้ให้ตามาไหว้แต่วันแรกที่ครูแรกรับรับราชการมารายงานตัว ช่วงที่เขาเข้าพบครูใหญ่ ตาคงให้น้าหนานอุ่นเฮือนพาไปวัดก่อนไปบ้านเสี่ยวฮักเสี่ยวแพงของตา ตาไม่ได้เล่าเรื่องนี้แก่หลาน มารู้ภายหลัง
บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตาหนาน ก็มารู้ทีหลัง ตาว่าเพื่อนแกไม่เต็มใจให้เขาพัก อิดๆ เอื้อนๆ สุดท้ายไม่อยากเสียน้ำใจต่อเพื่อนเก่าก็เลยยอม
ครูบาอินสมอายุ 95 ปี แก่กว่าตนชุ่มเย็นราว 10 ปี รูปร่างผอมๆ แต่สีหน้าแววตาอิ่มเอิบผ่องใสเฉกเช่นพระชราผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั่วไป เคลื่อนร่างย่างไหวไม่ค่อยสะดวก ต้องมีพระอุปัฏฐากคอยค้ำหนุนอุ่นช่วย ไปไหนไกลๆ ศรัทธาชาวบ้านไม่อยากให้ท่านไปแล้ว สมัยนั้นการเดินทางยังลำบาก ถนนหนทางไม่ดี รถราก็มีแต่ไม่มาก รถที่ผ่านห้วยผักกูดเข้าอำเภอมีเพียงวันละคันเท่านั้น
“สวดมนต์ภาวนาทุกวันหรือไม่”
“ไม่ทุกวันครับ ช่วงยังเรียน สวดมนต์ภาวนาน้อยมากขอรับครูบา”
“ศีลห้า รักษาได้ครบหรือไม่”
“ไม่ครบครับ โดยเฉพาะข้อสี่ เป็นลามกศีลไปเลย ข้อห้ากับข้อหนึ่งเป็นมัชฌิมะ เหลือแต่ข้อสองกับสามเป็นอุกัตถะ”
“ใช้ได้อยู่ อายุแค่นี้รู้จักลามกะ มัชฌิมะ อุกัตถะ”
“ครูบาเจ้าให้เณรไปตามผมมา มีอะไรให้ผมรับใช้หรือขอรับ”
“หน้ากากหนังมนุษย์”
“อะไรนะครับ”
“คนบ่มีหน้า ขื่อ อะกื่อ ที่ครูพบ”
ตกใจซ้ำสองในวันเดียวกันเลย ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านั้นตอนตะวันยังไม่ทันลับ เด็กๆ กลับบ้าน ครูหนุ่มเอามีดใส่ย่ามเอาเสียมขึ้นบ่าไปเสาะหาผักไม้ไซ้เครือยังป่านอกหมู่บ้าน ขุดได้มันอ้อนไม่กี่หัว ทันใดนั้นเอง
“ขื่อ อะกื่อ”
ซุ่มเสียงไม่เป็นถ้อยเป็นคำดังขึ้น หรืออาจเป็นคำแต่ตนฟังไม่ออก อาจเป็นภาษาชาวป่าชาวเขาเผ่าใดไม่รู้ ตกใจมาก ไม่มีอะไรบอกเตือนมาก่อน ความรู้สึกเย็นวาบปลาบเสียวอย่างเจอผีร้ายพรายกล้าก็ไม่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่ยืนอยู่ต่อหน้าก็เหมือนไม่ใช่คน
รูปร่างยังเป็นคน แต่ไม่มีใบหน้า ทั่วร่างเปรอะเลอะด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง
ยังไม่มืดดำค่ำคล้อยอะไรเลย แสงแดดยังมีอยู่ที่ปลายฟ้า แต่แดดเหมือนจะเย็นมาก แสงเหมือนจะนิ่งมาก ทุกอย่างคล้ายหยุดนิ่ง ลมไม่พัดไหว เสียงใบไม้ก็ไม่ดังกรอบแกรบ รูปลักษณ์ที่เป็นคนแต่ไม่มีหนังหุ้มใบหน้าย่องย่างมาหา หนังหน้าถูกเลาะ เลือดหลั่งเลอะลามลงถึงอก กลางอกก็มีแผลเหมือนโดนมีดแทงลึกบาดขั้วหัวใจ เป็นผี ไม่ใช่คนแน่นอน แต่มาปรากฏให้เห็นในร่างคนที่ถูกกระทำเลวร้ายสุดแสน ฆ่าเขาตายยังไม่พอ ซ้ำยังเลาะเอาหนังหน้าออกไป
“ขื่อ อะกื่อ”
คล้ายกล้าๆ ขลาดๆ คล้ายหวาดกลัวมากกว่าจะมาหลอกหลอน ย่องย่างแล้วหยุด หยุดแล้วขยับ ไม่มีสัมผัสพิเศษบอกว่าเขามาร้าย ความสะดุ้งตกใจเมื่อแรกเห็นหายไปแล้ว กลายเป็นสงสาร สังเวช อยากช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์
“สูเป็นไผ มีอันใดใคร่หื้อเฮาช่วยเหลือ”
ถามออกไปเป็นถ้อยคำพื้นเมือง ร่างนั้นยังส่งเสียงว่าขื่อ อะกื่ออยู่คำเดียว แล้วก็หายไป
“ขื่อ อะกื่อคืออะหยังครับ ครูบาเจ้า”
พนมมือน้อมตัวค้อมหัวต่อพระผู้เฒ่าผู้เมตตาเรียกตนมาพบ ทุ่มกว่าเกือบสองทุ่ม พระเณรสวดมนต์เสร็จก็แยกย้ายกลับสู่ห้องหับทับท้อมส่วนตน เหลือแต่พระอุปัฏฐากผู้คอยดูแลครูบาอยู่กับท่าน อีกห้าปีท่านอายุครบร้อย แข้งขาอาจอ่อนแรง แต่หูตายังดีเหมือนอายุเจ็ดสิบกว่าเท่านั้นเอง
“คือสัมภเวสี อยากไปเกิด แต่ไปบ่ได้ ถูกสะกดสำทับไว้ เขามาขอความช่วยเหลือ ครูบาพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ควรช่วยเขาควรเป็นครู ครูจะช่วยหรือไม่”
“ผมจะช่วยได้อย่างไรขอรับ ครูบาเจ้า”
“ผีตายโหงตนหนึ่งถูกฝังกลบทั้งเป็น ถูกกักขังถมทับใต้ดินนานนับร้อยสองร้อยปี ครูปลดปล่อยผีตายโหงตนนั้นได้อย่างใด ก็ปลดปล่อยขื่อ อะกื่ออย่างนั้นเทอะ”
“ทำไมเขาถึงโดนลอกหนังหน้าขอรับ ครูบาเจ้า”
“เคยได้ยินได้ฟังมา มีอวิชชาจำพวกหนึ่ง ลอกหนังหน้าผีตายโหงเอาไปทำเป็นหน้ากากหนังมนุษย์”
“อวิชชานี้ร้ายนัก” นึกไปถึงอวิชชาต่อดำในวัยเด็ก “หน้ากากหนังมนุษย์มีประโยชน์อย่างไรขอรับ ครูบาเจ้า”
“เหมือนว่าใช้ทางสะกดจิต บังคับจิตใจให้มองเห็นเป็นภาพอย่างที่ผู้สวมหน้ากากปรารถนา จำพวกนี้ละครู”
“มันลุกแต่ใดมาขอรับ น่ากลัวขนหัวลุกกว่าอวิชชาต่อดำเสียอีก”
“เป็นของนอกศาสนา ไม่ใช่ของที่พระเจ้าแห่งเราสั่งสอน ลุกแต่ใดมาครูบาไม่รู้หรอก ชั่วร้ายนัก ผู้ใดเอาหน้ากากหนังมนุษย์ครอบหน้าตัวเองนอนในคืนเดือนดับเดือนเพ็ญ จะสั่งให้ใครเห็นงดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ ดั่งเทวบุตรเทวดา พญาอินทร์พญาพรหมอย่างใดก็ได้ แต่นานไปจิตใจผู้ใช้หน้ากากจะบิดเบี้ยว จะทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด จิตใจไหม้เอ่าเร่าร้อนดังสุมไฟ จะทุกข์ทรมานไปจนตาย”
“แล้วทำไมต้องเป็นผมครับ ครูบาเจ้า ที่จะช่วยเขาได้”
“ครูกับเขามีบุญกรรมสัมพันธ์กันมาหลายชาติ เขามาขอครูบา แต่ครูบาเฒ่าแก่ปูนนี้ ไม่ต้องการต่อเติมกองบุญกุศลอันใดอีก แต่ครูยังหนุ่มยังน้อย บุญกุศลยังไม่เต่งไม่เต็ม ครูบาจึงบอกเขาให้ไปหาครู”
“ผมยินดีครับ ครูบาเจ้า” ยกมือไหว้ท่วมหัว รู้สึกเป็นบุญ มีความสุขลึกซึ้ง “ไม่ขัดแนวทางโผดผีโผดคน”
“โผดผีมีอานิสงส์แรงกว่าโผดคน โผดคนทำได้ง่าย แต่โผดผีทำได้ยาก อานิสงส์จึงแรงกว่า” ท่านหลับตาลงชั่วขณะแล้วลืมขึ้น “ยังปวดดูกปวดเดี้ยว เจ็บร้าวหนาวไข้อยู่หรือไม่”
“มีอยู่ครับ แต่ดีกว่าแต่ก่อนครับ สองสามวันก็หาย”
“เส้นทางโพธิสัตว์ มีแต่ขวากแต่หนามทั้งนั้นครูเอ๋ย”
“ไม่เคยอยู่ในใจผมเลยขอรับ ครูบาเจ้า เส้นทางโพธิสัตว์”
“อาจยังบ่ฮู้ตนฮู้ตัว แต่ช่างมันเทอะ กาลเวลาอาจยังบ่เหมาะสม ชาตินี้เอาศีลห้าให้เป็นอุกัตถะ แล้วไปต่อชาติหน้า ชาติใหม่ใหญ่กล้ากว่าเดิมแน่นอน”
“สาธุๆ ผมขอน้อมเอาพรครูบามาใส่หัวใส่ใจ”
ก้มกราบแทบตักท่าน เหมือนได้ใกล้ชิดคุ้นเคยมายาวนานนับสิบปี ท่านลูบหัวตน สัมผัสจากมือท่านคล้ายสัมผัสที่ได้จากตาและหลวงปู่ คืนนั้นลาจากท่านมาเมื่อราวสามทุ่มเศษ เกรงใจท่าน เกรงใจพระผู้คอยอุปัฏฐากรับใช้
ออกจากวัด เลาะล่องลงตามทางเดินเส้นใหญ่ผ่ากลางหมู่บ้าน หมาเห่าอยู่บ้าง กระอือกระแอมเป็นเชิงบอกกล่าวว่าเราเป็นคนดีไม่ใช่คนร้าย ฉายไฟฉายวูบวาบเป็นเชิงสื่อความหมายว่าเราเป็นคนผ่านทางธรรมดาๆ ไม่ใช่ขโมยขโจรแอบลัดแลงแฝงตัวไปในความมืด หนาวๆ เย็นๆ อยู่บ้าง สองข้างทางผู้คนสงบเงียบ บางบ้านยังมีไฟอยู่ บางบ้านก็ดับไฟเข้านอนแล้ว เรือนใดมีไฟจากตะเกียงกระป๋องมองๆ เมียงๆ ก็มักจะเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเรือนนั้นมีลูกสาว สาวมักตามไฟอยู่ที่เติ๋นหรือโถงเรือน มักเรียกกันว่าตามไฟเติ๋น บ่าวหนุ่มผู้ใดเห็นไฟเติ๋นก็อาจขึ้นไปได้ ไปฟู่ไปจา ทำความรู้จักคุ้นเคยกัน หากพึงพอใจต่อกันก็อาจสืบเนื่องความสัมพันธ์กันต่อไปจนได้แต่งงานเป็นผัวเป็นเมียกัน สาวผู้หนึ่งอาจรับผู้บ่าวได้หลายคนพร้อมกัน บ่าวผู้หนึ่งก็อาจแอ่วสาวได้หลายคนพร้อมกัน เขาจะรู้กันเองว่าสาวผู้ใดพึงพอใจบ่าวผู้ใด หากสาวมีหมาตาย ก็จะมีท่าทีพิเศษบางอย่างสื่อสารกับบ่าวน้อยบ่าวหนุ่มคนอื่นว่าข้าเจ้ามีหมาตายแล้ว
หมาตายผวนมาจากหมายตา
“หนาวๆ น้ำค้าง บ่มีคู่ข้างอยู่…เคียงต๋น”
เสียงขับเสียงเอื้อนที่เรียกว่าจ๊อยดังมาไกลๆ บ่าวผู้หนึ่งกำลังไปแอ่วสาวกระมังจึงจ๊อยเอาเสียงบอกกล่าวความในใจ เสียงขับเสียงจ๊อยก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่บอกว่าคนเดินทางเป็นคนดี ไม่ใช่คนร้ายหมายลักหมายชิง
“สองสามวันนี้ดูแปลกๆ ไปนะ ” เพื่อนสาวหน้ายังใสกล่าวทัก “ดูเครียดๆ พูดน้อยลง”
“ไม่ใช่เครียด แต่ที่พูดน้อยลงเพราะกำลังสังวรในศีลข้อสี่”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ขื่อ อะกื่อ”
“ขื่อ อะกื่อ? คืออะไร”
“อย่าให้เราผิดศีลข้อสี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลย ขื่อ อะกื่อ จัดอยู่ในสัพเพ สัตตาอย่างหนึ่ง เหมือนคำแผ่เมตตาที่ว่าสัพเพ สัตตา อเวราโหนตุ…สัตว์ทั้งหลายอย่าได้มีเวรต่อกันเลย คนเราก็เป็นสัตว์ เทวดา อินทร์พรหมยมยักษ์ ผีปีศาจทั้งหลายต่างเป็นสัตว์ทั้งนั้น”
เลิกเที่ยง เด็กๆ กลับไปกินข้าวที่บ้าน เด็กบ้านไกลก็ห่อมากินที่โรงเรียน เราสองคนมักกินข้าวด้วยกันที่ชั้น ป.4 ไม่ค่อยไปกินที่ห้องพักครู ไม่จำเป็นเราแทบไม่เข้าห้องพักครูเลยเพราะกลัวจะไปพบภาพที่ไม่สมควรจะพบระหว่างครูรุ่นพี่ทั้งสอง เขากินข้าวด้วยกัน ใกล้ชิดกันเหมือนผัวหนุ่มเมียสาว เคยเห็นเขาป้อนใส่ปากกัน เหมือนว่าโลกทั้งโลกเป็นของเขาสองคน ไม่มีคนอื่นเลย
“เหมือนครูใหญ่โดนทำของใส่อะไรทำนองนั้น” เพื่อนตาหยีเคยซุบซิบกับเขา
“ทางกลับกัน ทำไมไม่คิดว่าพี่หอมฟุ้งของเธอเป็นฝ่ายโดนทำ”
“ข้อมูลในจดหมายของหนุ่ยไม่ชวนให้คิดไปอย่างนั้น” เธออ้างถึงข่าวสารจากเชียงของ อำเภอติดฝั่งโขงที่พี่หอมนวลย้ายจากมา “ก่อนหน้าท่านปลัด ก็มีข่าวว่าคบหาอยู่กับผู้หมวดผู้กองโรงพักแล้วผละมาทางปลัด ครอบครัวปลัดอำเภอร้าวฉาน ระหองระแหง เมียปลัดเข้าหานายอำเภอ นายอำเภอสั่งหัวหน้าหมวดสอบสวน พี่หอมนวลถูกสั่งให้ย้าย ไม่ใช่ขอย้าย”
“โลกมันยุ่ง” คนอยากอยู่ในผ้าเหลืองถอนใจ “ยุ่งเหยิง วุ่นวาย มีแต่ทุกข์”
“อาเมน”
“ไม่ใช่ ต้องสาธุ”
“จ้า ท่านมหา”
กินข้าวด้วยกัน ห่อมาจากบ้านตาหนานจากอาหารมื้อเช้าที่ยายผัดห่อให้มากินที่โรงเรียน เพื่อนสาวหน้าใสมักมีกับข้าวมากกว่าหนึ่งอย่าง รู้ดี เธอห่อมาเผื่อเขา ใช่เธออาทรต่อเขาผู้เดียว กับเด็กๆ เธอก็มักมีกล้วยอ้อยขนมกรุบกรอบมาปันต่อเด็ก ฐานะทางบ้านเธอดี ครูองอาจเองก็ฐานะดีมาก เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อกำนันแต่อยู่ต่างตำบล รูปหล่อ มีรถยนต์ขับ มีลูกเมียแล้ว ภรรยาเป็นสาวสวย เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว ไม่ต้องทำงานหารายได้อะไร เราสองคนรู้เรื่องครอบครัวครูใหญ่น้อยมาก ภรรยาครูใหญ่ไม่เคยเยี่ยมกรายมาที่โรงเรียนเลย แต่ข่าวคราวที่ว่าภรรยาครูใหญ่ไปร้องเรียนต่อหัวหน้าหมวดการศึกษาเรื่องความประพฤติผิดศีลธรรมของหนุ่มใหญ่รูปหล่อพ่อรวยกับสาวแต่งสวยจริตแพรวพราวมันก็น่าจะสะท้อนว่าครอบครัวครูใหญ่เริ่มมีปัญหาแล้ว
ไม่สบายใจเลย ออกไปทางสลดใจมากกว่าถ้าหากว่ามันเป็นความจริง
สำรวมในศีลครบสามวัน วันนั้นเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนเพ็ญผ่องงามแจ่มใส จุดเทียนไหว้พระ พระเจ้าเหนือหัวนอนตั้งบนแท่นดัดแปลงมาจากเก้าอี้โยกเยกไม่ใช้แล้ว ถัดจากองค์พระคือแผ่นยันต์อรหันต์แปดทิศที่ตนชุ่มเย็นท่านปันให้มา ตนชุ่มเย็นขึ้นชื่อลือชาแถวบ้านบน ครูบาอินสมขึ้นชื่อลือชาในแถบถิ่นดอยด้วน หนักไปทางแก้ไขและป้องกัน คล้ายๆ แนวทางครูบามงคลตนแรกเริ่มปฐมเจ้าอาวาสวัดมังคลาราม ท่านเองไม่เคยไปวัดมังคลารามเพราะมันห่างไกลกันมากสมัยนั้น แต่ท่านก็รู้จักตนชุ่มเย็นพระรุ่นน้องอายุห่างจากท่านถึงสิบปี ท่านรู้แม้กระทั่งว่าหนุ่มน้อยบ้านบนผู้นี้เคยสงเคราะห์ผีตายโหงถูกฝังกลบทั้งเป็น
ไม่คลางแคลงสงสัยเลย ท่านรู้ได้ด้วยความสามารถพิเศษที่ท่านฝึกฝนมายาวนานแทบทั้งชีวิต
สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ สัพเพ สัตตา ภวันตุ สุขิตัตตา เย เกจิ ปาณภูตัตถิ ตสา วา ถาวรา วา อนวเสสา…ภูตา วา สัมภเวสี วา สัพเพ สัตตา ภวันตุ สุขิตตัตตา—
ไหว้พระเสร็จสรรพ น้อมเอาบทแผ่เมตตาฉบับย่อมาบริกรรม ขอสัตว์ทั้งหลายจงเป็นผู้มีตนเข้าถึงความสุขเกษมเถิด สัตว์ทั้งหลายอันยังอยู่ ยังสะดุ้งอยู่ก็ดี มั่นคงแล้วก็ดีทั้งหมดทั้งมวล เกิดแล้วก็ดี หาที่เกิดอยู่ก็ดี สัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้มีตนเข้าถึงความสุขเถิด
เริ่มต้น ตั้งนิ่ง ค่อยน้อมนำเอารูปพระพุทธรูปเจ้าเหนือหัวนอนเข้ามาสถิตในใจตน สูดลมหายใจลึกๆ เข้าว่าพุท ออกว่าโธ หายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ สบายๆ กระทั่งจิตคลอเคลียอยู่กับลมหายใจจนแทบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเขาก็ออกมา
“ขื่อ อะกื่อ”
ยังเป็นรูปเดิม เป็นผีไม่มีใบหน้าเพราะว่าหนังหน้าถูกเลาะ เลือดเลอะหลั่งลงถึงอก กลางอกมีแผลเลือดหลั่งลามรวมกันจนโซมไปทั้งร่าง เมื่อยังเป็นคน น่าจะอายุราว 16 ปี กำลังแรกรุ่น เพราะดูเหมือนยังไม่สูงใหญ่เต็มที่
“เข้ามาเถิด ที่นี่ปลอดภัย ไม่มีภัยอันใดต่อสู”
ขื่อ อะกื่อตนนั้นขยับเข้ามาใกล้ ยื่นมือขวาออกมาก่อน มือซ้ายประคองช้อนใต้ท้องแขนคล้ายท่าขอให้ผูกข้อมือ ลูกพ่อบุญยืนแม่คำชื่นรู้สึกดี ดีมากๆ เหมือนคืนที่เดินลัดหลังวัดไปแล้วอนุเคราะห์ช่วยเหลือ ผู้ถูกฝังดิบ ถูกฝังทั้งเป็นมานับร้อยสองร้อยปีผู้นั้นได้สำเร็จ
“จะให้ข้าผูกข้อมือให้หรือ”
“ขื่อ อะกื่อ”
“หนังหน้าสูถูกเขาเลาะเอาไปทำหน้ากากหนังมนุษย์หรือ”
“ขื่อ อะกื่อ”
“นึกหาคุณพระเจ้าพระธรรมเน้อ หากสูยังพอนึกได้ ทำใจให้เที่ยง อย่าเคียดขึ้งหึงสาใดๆ ต่อผู้กระทำต่อสู เอาละ ข้าจะผูกข้อมือให้สู”
เอื้อมหยิบเอาฝ้ายไหมมือที่พระรับใชครูบาอินสมแบ่งให้มาพนม กลั้นใจนึกหาบุญบารมีแต่ชาติแล้วชาติเดิม ชาติใดไม่รู้ที่ได้สั่งสมมา นึกหาคุณพระเจ้าพระธรรม คุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหมดทั้งมวลมาผนึกรวมอยู่ในมือทั้งสอง
งูเงินสองตัวก็เคลื่อนไหลมาสู่ฝ่ามือ รู้สึกดีเหลือเกิน สูงส่งเหลือเกิน งดงามเหลือเกิน
ดึงปลายฝ้ายไหมมือหรือด้ายสายสิญจน์มาคล้องรอบข้อแขนผีเด็กหนุ่มผู้พูดอะไรไม่ได้เลยนอกจากคำว่าขื่อ อะกื่อ บริกรรมกรรมคำมัดมือหรือคำผูกข้อทอขวัญฉบับพ่อหนานสินว่า อัชชัสโส อัชชไชยโย มังคโล โหนตุ…เห็นงูเงินทั้งสองรองเรืองเลื่อนไหลไปสู่เส้นด้าย ผูกครบสองแขน รูปร่างหน้าตาดูน่าสังเวชกลับคืนมาครบถ้วน กลายเป็นหนุ่มน้อยงดงามผู้หนึ่ง
“ขอบคุณครู ผมจะไม่ลืมคุณครู”
“พูดได้แล้วครับ”
“ครับครู ผมหลุดจากอำนาจผูกมัดครอบงำแล้ว”
เด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกก้มกราบสามหนเหมือนกราบพระแล้วค่อยหายไป
ดีใจบอกไม่ถูก ปีติ เป็นสุข สุขละเอียดอ่อนลึกซึ้งเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น