โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 11 : ความปวดใจของเซี่ยเหมยซี (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 11 : ความปวดใจของเซี่ยเหมยซี (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาห้าโมงสิบห้านาทีล้อของรถยนต์คันใหม่ก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าโดยทิ้งเรื่องราวตื่นเต้นคล้ายความฝันอันผาดโผนไว้ด้านหลัง ที่รออยู่ห่างไปอีกหลายชั่วโมงคือสถานที่ซึ่งต่างกันกับที่นี่โดยสิ้นเชิง ท่ามกลางขุนเขาและเมฆหมอกที่โอบล้อมนั้นเต็มไปด้วยความสันโดษและสงบเงียบ

รถวิ่งมาเรื่อยๆ ยังไม่ทันหลุดเขตเมืองท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มราวกับหมึกที่ถูกเขียนโดยพู่กันจีน จุดแต้มสีจากแสงไฟมีอยู่ให้เห็นในทุกที่ผ่านกระจก บรรยากาศภายนอกแสนวุ่นวายผิดกับบรรยากาศภายในรถที่เงียบเชียบ ไม่มีใครเอ่ยอะไรมาแม้สักครึ่งคำ เว้นเสียแต่ท้องที่ดังโครกครากมาจากคนที่นั่งเบาะข้างคนขับ

“จริงสิฉันลืมไป พอตัวเองไม่หิวก็ไม่ได้นึกถึงคนอื่น เราแวะกินอะไรกันสักหน่อยดีไหม” เสียงของคนป่วยที่ยืนยันว่าตนหายป่วยแล้วเปรยกับลูกจ้างทั้งสองที่นั่งมองหน้ากันตาปริบๆ ด้วยความเงียบมาตลอดทาง

“เราเลยเขตเมืองมาแล้วคิดว่าจะหาร้านอาหารแบบที่เป็นกิจจะลักษณะได้ยาก อีกอย่าง สถานการณ์ตอนนี้…จนกว่าจะถึงโรงน้ำชา…” สวีสุ่ยเหอมีน้ำเสียงหนักใจ

“ถ้าอย่างนั้นไดรฟ์ทรูก็น่าจะดีนะคะ” เสียงผู้หญิงคนเดียวในรถเสนอขึ้นมา

“เอาแบบนั้นแล้วกัน” อำนาจการตัดสินใจเป็นของเขาเพราะฉะนั้นในอีกไม่กี่อึดใจรถคันใหม่ก็เลี้ยวเข้าไปยังร้านอาหารฟาสต์ฟูดชื่อดังจากอเมริกาที่อยู่ในสถานีบริการน้ำมัน

อาหารมื้อเย็นมื้อนี้ของทุกคนคือแฮมเบอร์เกอร์คนละก้อนและน้ำอัดลมคนละแก้ว สวีสุ่ยเหอหลังจากรับอาหารมาจึงจอดรถสำหรับให้ทุกคนเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินทางต่อยาวๆ ไปทั้งคืน มโนชากลับขึ้นที่นั่งของตัวเองด้านหน้าแต่ทว่า…

“ไปนั่งกับคุณเฉินดีกว่าซิน เผื่อจะได้ช่วยหยิบจับอาหารและหายาให้ด้วยเพราะแผลน่าจะยังเจ็บอยู่ ของพี่จัดการเรียบร้อยแล้วละ” หญิงสาวรู้สึกทึ่ง อัตราความเร็วขนาดนี้บางทีสวีสุ่ยเหอน่าจะเป็นแชมป์นักกินตัวยงมาก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้ช่วยคุณเฉินแน่ๆ

เมื่อทุกอย่างเป็นดังนั้น ในตอนที่เฉินเอินกลับมาจากห้องน้ำและเปิดประตูหลังของห้องโดยสารจึงพบเข้ากับหญิงสาวที่หัวหกก้นขวิดด้วยกันมาสามสี่วันติดนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ของตัวเองอยู่เงียบๆ

เฉินเอินขยับตัวเองขึ้นรถไปนั่งในที่ประจำโดยไม่ได้พูดอะไร

“ยาก่อนอาหารค่ะ” มือบางวางของกินตัวเองลงก่อนจะแกะเม็ดยาจากซองใส่มือของเขา ชายหนุ่มรับมากินอย่างว่าง่าย สวีสุ่ยเหอเห็นเขากินยาเสร็จก็ออกรถ มโนชาจึงหยิบของอร่อยที่กินค้างไว้มาดำเนินการต่อ

“แล้วของฉันล่ะ” เขาถามหลังจากเงียบอยู่นาน ทั้งที่รถเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารแต่เขาก็ยังไม่ได้กินอยู่นั่นเอง

“ยาก่อนอาหารคือกินก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงนี่คะ นี่เพิ่งจะห้านาทีเอง คุณเฉินทนหน่อยนะคะ”

บางทีเธออาจจะจงใจแก้แค้นเขาเรื่องอาหารของเธอที่ต้องทิ้งไปเมื่อหลายวันก่อนนั้นหรือเปล่า ชายหนุ่มถอนใจออกมา แล้วเขาก็ต้องทนจนครบเวลาถึงจะได้กินหลังจากที่เกือบจะอิ่มจากกลิ่นหอมก่อนหน้านั้นแล้วด้วยซ้ำ

 

ยิ่งดึกถนนก็ยิ่งโล่ง ทางหลวงขึ้นเหนือเป็นถนนเส้นใหญ่สามารถขับได้อย่างสบาย คนเบาะหลังพอได้อาหารและยาซึ่งมีฤทธิ์กล่อมประสาทเข้าไปก็เริ่มจะง่วง ไม่แปลกเลยมโนชาคิด เพราะตลอดทั้งวันเธอเห็นเขาเอาแต่นั่งครุ่นคิดอยู่ไม่เว้นวาย ไม่รู้มีเรื่องอะไรต้องขบคิดกันหนักหนา

เวลาผ่านไปคนป่วยก็เริ่มโงนเงนเข้าไปทุกที และเหมือนเขาจะรู้ตัวถึงได้พยายามจะพิงศีรษะเข้ากับเบาะหนังของรถราคาแพงที่ไม่ได้สร้างมารองรับสรีระของมนุษย์เอาเสียเลย เธอเห็นเขาขยับไปมาหาที่เหมาะก็ยังหาไม่ได้ จนคนง่วงจัดเริ่มจะขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดทั้งที่ตายังปิด มโนชาดูแล้วรู้สึกว่าน่าสงสารแต่ก็กึ่งน่ารำคาญอยู่ในที

เหมือนมีบางอย่างกำลังตะกุยหัวใจดวงเล็กๆ ของเธอให้คันยิบๆ เวลาเห็นอะไรไม่เป็นไปอย่างใจ หญิงสาวกระเถิบตัวไปด้านหน้าคว้าเอากระเป๋าผ้าใบใหญ่ของเธอที่ทิ้งเอาไว้ตรงเบาะหน้า

ในนั้นบรรจุเสื้อผ้าสามสี่ชุด และพอค้นอยู่เพียงครู่ก็พบกับผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ที่เตรียมมาด้วยเผื่อไว้ใช้ยามอากาศเย็นที่โรงน้ำชา มือบางหยิบมันออกมา

สวีสุ่ยเหอมองเธอด้วยความสงสัย มโนชาตีหน้าเฉยพลางไหวไหล่และยักคิ้วให้ผ่านกระจกมองหลังก่อนจะกลับไปนั่งดังเดิมโดยมีกระเป๋าผ้าวางบนตัก เธอหันไปมองคนข้างๆ ที่ป่านนี้ก็ยังขมวดคิ้วขยับคอทั้งที่หลับตา ก่อนจะทำใจกว้างเอื้อมมือไปโน้มตัวเขาลงมาแต่เฉินเอินกลับลืมตาขึ้นและขืนตัวเอาไว้

“ซินไม่ทำอะไรหรอกค่ะแต่เห็นแล้วมันหงุดหงิดจริงๆ ขยับตัวตั้งนานก็ยังไม่ได้ที่สักที นอนลงมาดีๆ ซินก็จะได้นอนหลับบ้าง”

ชายหนุ่มชะงักค้างอย่างอึ้งไป บอกตัวเองว่าตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเจอใครอย่างนี้สักคน ใจกว้างจนน่าขัน บางทีอาจเพราะเติบโตมาจากครอบครัวที่เลี้ยงดูอย่างอิสระก็เป็นได้

เมื่อเขามองเธออีกครั้งก็พบกับใบหน้าแสนหงุดหงิดพร้อมจะเหวี่ยงออกมาได้ทุกขณะ ยิ่งไปกว่านั้นที่ขอบตายังดำคล้ำก็คงเพราะเขาเป็นต้นเหตุ เฉินเอินถึงค่อยๆ เอนตัวลงใช้ศีรษะนอนหนุนกับกระเป๋าที่อยู่บนตักเธอ

มโนชาหลับตา เฉินเอินคนที่ก่อนหน้ายังง่วงอยู่ก็แสร้งทำเป็นหลับตาบ้าง ส่วนคนขับก็หลุดหัวเราะออกมาก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับถนนด้านหน้าต่อ

เวลาตีสองรถก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในเขตของโรงน้ำชา เพราะพลังหยินหยางอันบริสุทธิ์หมุนเวียนลอยวนอยู่ทุกที่ทั้งในน้ำและในอากาศ ไม่ว่ายามรุ่งอรุณหรือราตรีกาล เฉินเอินรู้สึกตัวตื่นในทันที

ร่างสูงค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นเกรงว่าอีกฝ่ายจะตื่น แม้จะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้เมื่อรถจอดลงสนิทเธอก็จะต้องตื่นอยู่ดี ถึงอย่างนั้นพอเห็นคนขับรถที่หันมาพบว่าเขาตื่นแล้วและกำลังอ้าปากจะพูดถามอะไรบางอย่าง เฉินเอินก็กลับทำท่าให้สวีสุ่ยเหอเงียบเสียงเอาไว้ก่อน

มโนชารู้สึกตัวตื่นเมื่อรถจอดนิ่งสนิทดีแล้ว เธอหันไปมองข้างๆ ก็พบกับสายตาที่มองอยู่ก่อนแล้ว มันส่องประกายวาวสะท้อนแสงไฟอันน้อยนิดอยู่บนใบหน้าซึ่งซ่อนอยู่ในเงามืด ยิ่งดูก็ยิ่งลึกลับเหมือนกับตัวตนของเขา

เฉินเอินดึงผ้าคลุมไหล่ออกมาจากตัวแล้วยื่นคืนให้เธอ มโนชารับมาไว้ในมือยังไม่ทันเก็บใส่กระเป๋าประตูรถก็เปิดขึ้นพร้อมกับใบหน้าคุ้นเคยที่ปรากฏให้เห็น

“ซิน…เป็นยังไงบ้าง” เสียงของเซี่ยเหมยซีเอ่ยทักเมื่อคนแรกที่เห็นเป็นมโนชา แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายมานั่งที่เบาะหลังคู่กับเจ้าของโรงน้ำชาแต่ก็ไม่ได้มีความคิดอะไรนอกจากเป็นห่วงทั้งสองคน

“คุณเฉิน…เป็นยังไงบ้างคะ”

“ฉันไม่เป็นไร” น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลเหมือนที่เคย เซี่ยเหมยซีได้ยินดังนั้นก็ดูจะโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

“รีบเข้าข้างในกันเถอะค่ะ สุ่ยเหอเธอด้วยนะมาดื่มอะไรร้อนๆ ก่อนจะได้นอนหลับสบาย” น้ำเสียงห่วงใยนั้นยังเผื่อแผ่ไปถึงคนที่น่าจะเหนื่อยที่สุดแต่นั่งเงียบที่สุดคนนั้นด้วย

“พ่อบ้านจางล่ะคะ” มโนชาเอ่ยถามยกกระเป๋าขึ้นสะพาย มือว่างๆ นั้นเธอเอามันคล้องรอบแขนของเซี่ยเหมยซีเอาไว้อย่างเคยชิน

“หลับไปแล้วละจ้ะ” เซี่ยเหมยซีวางมือทับมือของมโนชาแล้วตบเบาๆ

“ซินง่วงจังอยากอาบน้ำนอนแล้ว อ้อ…นี่ยาของคุณเฉินค่ะ” มโนชายื่นถุงกระดาษเล็กๆ ที่ถือติดมือจากรถออกไปตรงหน้าของเจ้านาย เฉินเอินยกมือขึ้นจะรับเอาไปทว่ากลับเป็นอีกคนที่ยื่นมือออกมารับไปแทน

“ซินง่วงก็ขึ้นไปนอนได้เลยจ้ะ เดี๋ยวพี่หาอะไรร้อนๆ ให้คุณเฉินดื่มแล้วจะตามไป อ้อ…แล้วเดี๋ยวพี่จะอุ่นนมไปให้อย่าเพิ่งนอนดีกว่า รอก่อน” เซี่ยเหมยซีเอ่ยต่ออย่างใจดี

มโนชาฉีกยิ้มกว้างให้ทั้งสองคนก่อนจะหมุนตัวจากไป แต่ก็ไม่ลืมหันกลับมามองเงาร่างของคนสองคนที่เดินเคียงคู่กันไปในเงามืดด้วยความสงสัย

“จริงๆ เธอไม่จำเป็นต้องอยู่รอเลยเหมยซี ดึกดื่นขนาดนี้จะไม่สบายเอาได้” น้ำเสียงของเขายังคงฟังดูเรียบเรื่อยน่าฟังและมีสำนวนปลอบประโลมเช่นทุกครั้ง หากแต่ประโยคนั้นยังตีความได้อีกว่า

ไม่ต้องอยู่รอ ‘ไม่จำเป็น’ หมายถึง ‘ไม่สำคัญ’

เขายังคงเห็นเธอเป็นเด็กหญิงคนเดิมคนนั้น มีแค่เธอเท่านั้นที่เปลี่ยนไป

“จะไม่อยู่รอได้ยังไงล่ะคะ” น้ำเสียงของเซี่ยเหมยซีฉาบความสะเทือนใจปนน้อยใจเอาไว้ “คุณเฉินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เหมยซีไม่เคยเห็นสักครั้งที่คุณจะเจ็บหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล มีดบาดครู่เดียวก็ไร้ริ้วรอย แต่นี่มันอะไรคะ หากพ่อบ้านจางไม่ให้เหมยซีโทรไปพูดธุระกับสวีสุ่ยเหอ เหมยซีก็คงยังไม่รู้เรื่องที่คุณบาดเจ็บหนักถึงขนาดนั้น เหมยซีกลัวว่าคุณจะ…” เธอกลัวว่าเขาจะตาย

“กลัวว่าฉันจะตาย” เขาเอ่ยเรียบเรื่อย มุมปากยังคงยิ้มละมุนจนคนฟังอดสะท้อนใจไม่ได้ “รู้หรือไม่รู้จะสำคัญอะไรในเมื่อตอนนี้ฉันก็ปลอดภัยดีแล้ว เธอกับคุณจางพากันห่วงไปเปล่าๆ แล้วคนอย่างฉันน่ะหรือ…เธอก็รู้ดี…แม้อยากจะตายก็คงไม่ง่ายดายถึงขนาดนั้น”

เขาพลันนึกถึงช่วงเวลานั้น ความหวาดหวั่นที่ติดอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นและความตาย เมื่อตัวกำลังจะตายแต่ใจกลับวุ่นวายหวั่นไหว และสุดท้ายก็กลับทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตรอด

“อย่าพูดอย่างนี้ได้ไหมคะ อย่าพูดเหมือนไม่อยากจะอยู่ พูดเหมือนกับว่ารอบตัวไม่มีใคร หากคุณเฉินตายไปใครบ้างจะเสียใจไม่รู้จริงๆ หรือคะ หรือว่าจะทำเฉยแกล้งไม่รู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเราตายจากกันไปข้างหนึ่งจริงๆ”

เซี่ยเหมยซีหยุดเดิน ภายในหัวใจรู้สึกบีบคั้นและหม่นเศร้าไปพร้อมกัน ช่องว่างทั้งสี่ห้องอันเหี่ยวเฉานั้นมีใบไม้ที่ร่วงหล่นค่อยๆ ทับถมก่อตัวเป็นชั้น พอมาเจอสถานการณ์และคำพูดแบบนี้ก็เหมือนดังมีไม้ขีดไฟโยนใส่ ยิ่งเขาพูดก็ยิ่งเร่งให้มันลุกไหม้จนปวดร้อนไปหมด หญิงสาวน้ำตาไหล สะอื้นจนตัวโยน

“หากรู้ว่าจะทำเธอเสียใจฉันจะไม่พูดอีก หยุดร้องไห้เถอะนะ” มือหนานั้นเอื้อมวนลูบแขนลูบหลังอย่างปลอบใจแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

กี่ครั้งที่เขาทำดีกับเธอ กี่ครั้งที่เขาปลอบเธอ แท้จริงแล้วในใจเธอไม่ได้ต้องการมันเลยแม้แต่น้อย เธออยากได้อย่างอื่น แต่สิ่งที่เธอต้องการนั้นเขาก็ไม่อาจให้เธอได้

ถึงอย่างนั้น เมื่อถึงที่พักแล้วเซี่ยเหมยซีก็ยังคงทำหน้าที่ของเธอต่อไป หน้าที่ซึ่งเธออุปโลกน์ขึ้นมาเองเป็นเวลากว่ายี่สิบปีนั่นคือการดูแลเขา เธอจัดการชงชาใส่ป้านและยกไปไว้ให้ที่ห้องนอนก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ

แม้สมองจะครุ่นคิดเฉื่อยชาและร่างกายก็เดินออกมาอย่างเลื่อนลอย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพาร่างออกมาจากตรงนั้นได้ยังไง แต่คนอย่างเซี่ยเหมยซีก็ยังอุตส่าห์ไม่ลืมอุ่นนมที่สัญญากับมโนชาไว้และยกมาให้ที่ห้อง

“พี่เหมยซีเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าจะป่วยขึ้นมาอีกคนสีหน้าไม่ดีเลย ซินว่ารีบไปนอนก่อนเถอะค่ะ ถ้าพรุ่งนี้ลุกไม่ไหวซินเปิดร้านเอง ยังไงน้องจี๊ดก็ช่วยอยู่แล้ว ร้านเราก็ใช่จะขายดิบขายดี เอ่อ…ซินพูดมากไปใช่ไหมคะ”

เซี่ยเหมยซียิ้มออกมาได้เล็กน้อย

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พี่จะยกหน้าที่ให้ ขอนอนตื่นสายๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน บางทีพี่อาจจะต้องทบทวนอะไรบางอย่างใหม่อีกครั้ง บางทีการดึงดันมีแต่จะทำให้แย่ลงไปเรื่อยๆ”

คนมากวัยกว่าเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มเศร้า ไหล่บางดูห่อเหี่ยวด้วยเพราะผิดหวังอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและยิ่งดูบอบบางอ่อนแอลงไปอีกขณะที่ทิ้งตัวเอนลงกับที่นอนโดยมีมโนชาตามมาส่งถึงห้อง

ต่อเมื่อกลับออกมาเธอก็ได้แต่ยืนงงพร้อมกับประเมินสติปัญญาของตนไปด้วยว่าสิ่งที่เซี่ยเหมยซีพูดแท้จริงแล้วเอ่ยถึงเรื่องอะไรกันแน่

 



Don`t copy text!