โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 13 : วันไหว้พระจันทร์ (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 13 : วันไหว้พระจันทร์ (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

“ป้าจูรู้ไหมชื่อของซินภาษาไทยน่ะ คำว่า ‘มโน’ มันแปลได้หลายอย่าง แปลว่าหัวใจก็ได้ ความคิดก็ได้ อีกความหมายก็คือคำที่คนชอบแซวกัน เหมือนแปลว่าชอบคิดไปเองอะไรแบบนั้น” ป้าจูนิ่งฟังอย่างตั้งใจ คนเล่าก็เลยเล่าด้วยสีหน้าตั้งใจเช่นกัน “ซินว่าซินน่ะสมชื่อตัวเองแล้วนะ แต่ซินว่าป้าจูสมชื่อซินกว่าซินอีก”

นานทีเดียวกว่าแม่ครัวประจำโรงน้ำชาจะเข้าใจข้อความที่เธอต้องการจะสื่อ ถึงตอนนั้นมโนชาก็วิ่งแผล็วออกมาพร้อมกับขนมไหว้พระจันทร์ในมือแล้ว ป้าจูจะระอาก็ระอาจะขำก็ขำไม่ออก

“ถ้าอยากหยิกซินก็ตามมานะคะ เขาไปอยู่ที่หอกลางน้ำกันหมดแล้ว ป้าจูอยู่คนเดียวระวังผีหลอกนะ” มโนชาวิ่งออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ ต่อเมื่อเห็นว่าถึงระยะปลอดภัยจากมือป้าจูแล้วถึงค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลงเชื่องช้า

หญิงสาวเดินเอ้อระเหย สูดอากาศเข้าปอด มือที่ว่างอยู่ก็คว้าขนมที่อยู่ในกล่องไม้สี่เหลี่ยมใบเล็กฝีมือป้าจูเข้าปากพลางคิดถึงเรื่องความรักของเซี่ยเหมยซีไปด้วย

พี่เหมยซีจะเลือกคนไหนกันนะ คนหนึ่งที่รักพี่เหมยซีจนสุดหัวใจและดูพร้อมจะทำทุกอย่างให้อย่างเสิ่นต้าชาน คนที่พร้อมจะแต่งงานลงหลักปักฐาน หรืออีกคนที่ดูจะไม่มีอะไรเหมาะสมกันเลยสักนิดอย่างเฉินเอิน

แต่คนอย่างเฉินเอินคนนี้ ในสายตาเธอแค่ไม่เหมาะสมตามค่านิยมของสังคมเท่านั้น ไม่ใช่ไม่ดี

เขาดีมาก ดีกับทุกคน ดีไปหมดทุกอย่างเสียแต่น่ารำคาญนิดหน่อย นึกถึงตัวเองยามอยู่ใกล้เขาก็นึกถึงความรู้สึกใจเต้นนั้น ได้แต่บอกตัวเองว่ามันก็ธรรมดาล่ะนะ เรื่องธรรมดามากๆ เลยเพราะได้อยู่ใกล้คนหน้าตาดีมันก็แค่ปฏิกิริยาที่เป็นไปตามธรรมชาติ

แต่คิดอีกทีก็เอ๊ะ…มันใช่ไหมนะ…

มโนชาสั่นศีรษะขณะยัดขนมที่เหลือเข้าปาก ก่อนจะเอามือว่างๆ เคาะกะโหลกกลวงๆ ของตัวเอง ว่าแต่ป้าจูขี้มโน ตัวเองล่ะมโนไม่มีใครเกินเลยมโนชา

“เป็นอะไรซิน” เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นไม่ไกลนั้นทำเอาเธอสะดุ้งโหยง ถึงอย่างนั้นในอ้อมแขนก็ยังคงกอดขนมไหว้พระจันทร์ของป้าจูเอาไว้อย่างเหนียวแน่น “เห็นเดินๆ หยุดๆ อยู่นานแล้ว เมื่อครู่ก็ทุบหัวตัวเองไม่ใช่หรือนั่น” มโนชายิ้มแหยก่อนตอบคำถาม ภาพตอนที่เขาเห็นเธอเคาะหัวตัวเองนั่นคงน่าประทับใจพิลึก

“สั่งสอนคนช่างมโนค่ะ ชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”

“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยนั้นไม่แปลก” น้ำเสียงของเขาราบเรียบเหมือนอย่างเคย ปากเขายิ้มแต่ไปไม่ถึงดวงตา “เธอไม่คิดหรือซินว่าเวลาอย่างนี้ ในคืนไหว้พระจันทร์แบบนี้ พระจันทร์จะดูสวยงามเป็นพิเศษและมันยิ่งกล่อมเกลาความคิดของคนเราให้ดูคล้ายจะล่องลอยห่างไกลความจริงออกไปทุกที”

ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าเธอเลยหยุดยืนด้วย มือหนานั้นเอื้อมเข้ามาใกล้จนคนมองแอบผวาในใจ สุดท้ายเขาก็หยิบเอาขนมไหว้พระจันทร์ออกมาหนึ่งชิ้น

เขายกมันขึ้นส่องกับพระจันทร์ หรือบางทีก็อาจจะอยากเปรียบเทียบกับดวงจันทร์ล่ะกระมังว่าป้าจูปั้นได้กลมพอไหม ต่อเมื่อรู้สึกพอใจแล้วถึงได้กัดลงไปลิ้มลองรสชาติหอมหวาน

พอเขาปากไม่ว่างความเงียบก็เข้ามาครอบครองบรรยากาศอีกครั้ง มโนชาผู้ซึ่งไม่ชอบความเงียบนักเลยเอ่ยทำลายความเงียบโดยไม่ได้คิดอะไรมาก

“เสิ่นต้าชานคนนั้นคุณเฉินได้พบกันแล้วหรือคะ”

“ได้พบแล้ว เสิ่นต้าชานคนนั้นมีธุระจะคุยกับคุณจาง เฉินเอินคนนี้ก็เลยปลีกตัวออกมาเดินอยู่นี่ไง” เขาตอบพลางกัดขนมไปอีกคำหนึ่งด้วยท่าทีสบาย ขาคู่ยาวสาวออกไปไม่กี่ก้าวก็ไปยืนอยู่ริมน้ำ ใบหน้างดงามแหงนเงยขึ้นมองไปยังลูกบอลสีเหลืองกระจ่างตา

ดูเผินๆ ช่างเหมือนพระเอกในนิยายจีนอะไรอย่างนั้น มโนชามองเขาอย่างสำรวจออกจะทึ่งในบุคลิกแบบคุณชายลูกผู้ดีมีเงิน แต่หากมองลึกลงไปภายใต้เสื้อผ้าอย่างดีที่เขาสวมใส่ ท่วงท่าสุขุมสง่างามน่ามอง เธอก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงเงาจางๆ ของความอ้างว้างที่แฝงตัวอยู่

ดวงจันทร์คืนไหว้พระจันทร์ดวงนี้สวยงามก็จริงทว่าก็แฝงรอยเศร้าเอาไว้ด้วย

“เคยฟังนิทานเรื่องฉางเออร์หรือเปล่าซิน” เขาเบนหน้ากลับมาเล็กน้อย แสงสีนวลตาของจันทร์กระจ่างไล้ไปตามกรอบหน้าของเขา ดวงตายาวรีไหวระริกสะท้อนกับแสงระยิบระยับบนผิวน้ำ

“เคยสิคะ เด็กเรียนภาษาจีนคนไหนไม่เคยฟังบ้าง แต่เรื่องมันมีหลายตำนานใช่ไหมคะ แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของฉางเออร์กับคู่รักอย่างโฮ่วอี้และตำนานน้ำอมฤต น้ำที่ดื่มแล้วจะไม่มีวันตาย”

“เธอเห็นว่ามันเป็นพรหรือเปล่าซิน หากดื่มลงไปแล้วไม่มีวันตายอย่างที่ว่า หรือบางทีจะมองว่ามันเป็นคำสาป”

“ไม่รู้สิคะ ก็อาจจะเป็นได้ทั้งสองอย่าง จิตใจมนุษย์ผันแปรยิ่งกว่าสายน้ำ หากจะมองว่าเป็นพรก็คงได้เป็นคำสาปก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าของไทยเราเนี่ยไม่มีนิทานอะไรแบบนี้ที่เกี่ยวกับดวงจันทร์หรอกนะคะ มีแต่ที่ยืมเขามาทั้งนั้น อ้อ…แต่ไทยมีบทอาขยานที่เอาไว้กล่อมเด็กอยู่เหมือนกันนะคะ คุณเฉินอยากฟังไหม”

นัยน์ตาหงส์เหลือบมองมโนชา รอยยิ้มละมุนแต้มขึ้นมาในช่วงเวลาหม่นเศร้า อยู่ดีๆ ก็อยากหยิบบทอาขยานกล่อมเด็กมากล่อมเขาเสียอย่างนั้น

เมื่อความเงียบเท่ากับอนุญาตมโนชาเลยหยิบขนมส่งให้เขาอีกชิ้นซึ่งมือหนาก็รับเอาไว้แต่โดยดี หากแต่ไม่ได้กิน ได้แต่ถือเอาไว้อย่างนั้นพลางฟังเสียงของเธอเอ่ยเจื้อยแจ้ว

“เขาท่องกันว่า จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง ขอเตียงตั่งให้น้องข้านอน ขอละครให้น้องข้าดู ขอยายชูเลี้ยงน้องข้าเถิด ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง” มโนชาหยุดท่องก่อนจะถาม “เข้าใจบ้างไหมคะ”

“เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ฟังเพลินดีเหมือนกัน” คนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษายอมรับออกมาตามตรง มโนชาเพียงแต่ยิ้มให้ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงสดใส

“อันนี้คือซินเคยฟังมาตั้งแต่เด็กๆ มันดูน่ารักน่าเอ็นดูมากเลยค่ะ แต่ว่าซินเพิ่งจะมาค้นพบเมื่อโตแล้วว่ามันยังมีต่ออีก” มโนชาไม่รอคำอนุญาตในคราวนี้แต่ถือวิสาสะต่อจากที่เริ่มไว้

“จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ใครขอข้าวขอแกงท้องแห้งหนอ ร้องจนเสียงแห้งแหบถึงแสบคอ จันทร์จะขอให้เราก็เปล่าดาย ยืมจมูกท่านหายใจเห็นไม่คล่อง จงหาช่องเลี้ยงตนรีบขวนขวาย แม้นเป็นคนเกียจคร้านพานกรีดกราย ไปมัวหมายจันทร์เจ้าอดข้าวเอย”

มโนชาหยุดท่องจ้องมองเขาตาแป๋วก่อนจะพูดติดตลก

“ก็เลยหมดกันบทกล่อมเด็กของซิน คำสอนนั้นดีแต่กว่าจะเข้าใจก็คงล่วงเข้าวัยผู้ใหญ่ อย่างซินนี่มีหวังถ้าใครท่องให้ฟังตอนเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวแทนที่จะหลับคงต้องร้องไห้ก่อนเพราะกลัวว่าจะอดข้าว”

“ก็เรื่องกินสำหรับเธอมันเป็นเรื่องใหญ่นักนี่นะ” ชายหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้ เขาได้เห็นมากับตัวแล้วหลายครั้ง

“พูดอีกก็ถูกอีกค่ะ คนเราขอแค่กินอิ่มนอนหลับก็พอแล้วนี่คะ อาม่าเคยบอกซินว่าคนที่มีความทุกข์เรื่องอื่นก็เพราะว่าได้กินอิ่มนอนหลับมาจนพอแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะทุกข์เพราะหิวทุกข์เพราะนอนไม่หลับก่อนเป็นอย่างแรก ซึ่งอาม่าว่าแค่มีสองสิ่งนี้ก็ควรจะนึกขอบคุณชีวิตได้แล้ว เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าอะไรก็ให้วางลงและปล่อยไปตามครรลองธรรมชาติ ไม่ต้องไปคิดถึงและยึดติดอยู่กับอดีต ไม่ต้องไปห่วงพะวงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง”

ไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่คิดถึงอดีต ไม่ห่วงพะวงถึงอนาคต

‘อดีต’ และ ‘อนาคต’ นั่น แท้ที่จริงแล้วมันก็คือสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของน้ำชาความทรงจำนี้

น้ำชานี้ มีไว้ก็เพื่อลบอดีต

น้ำชานี้ มีไว้ก็เพื่อจะได้จัดการอนาคต

ชายหนุ่มหันกลับมามองมโนชาอย่างเต็มตา แววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายพิศวงปนพิจารณา ใบหน้าของหญิงสาวที่กระจ่างอยู่ภายใต้แสงของพระจันทร์กลางเดือนแปดแสดงความเด็ดเดี่ยวมั่นคงและมองโลกในแง่ดีทั้งที่เธอก็ผ่านอะไรมาไม่น้อย เพียงแต่ว่ามโนชาอาจจะไม่คิดอยากเปลี่ยนแปลงอะไรในความทรงจำ

เฉินเอินตั้งข้อสังเกตกับตัวเองอย่างเงียบๆ หากบนโลกใบนี้จะมีใครสักคนที่เขาคิดว่าต้องการชาความทรงจำนี้น้อยที่สุด คนคนนั้นก็คงเป็นมโนชา…ผู้หญิงที่มีหัวใจอันเป็นอิสระ คนที่ยืนอยู่ข้างเขาในเวลานี้นี่เอง



Don`t copy text!