ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 13 : เมื่อเสียหายเพราะฉัน ก็ต้องเป็นฉันที่กอบกู้ (1)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 13 : เมื่อเสียหายเพราะฉัน ก็ต้องเป็นฉันที่กอบกู้ (1)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

“ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาคามิลเลียไปอยู่ที่ไหน ทำไมพี่ศานติถึงติดต่อคุณไม่ได้” ฉันถามคำถามสำคัญที่ยังตะขิดตะขวงในใจ หลายปีที่ผ่านมาฉันเฝ้ารอให้พี่ศานติพาน้องสาวที่กล่าวอ้างมายืนยัน แค่โทร.มาก็ยังดี แต่ก็เงียบไร้การติดต่อใดๆ จนฉันตัดสินใจไปเองแล้วว่า น้องสาวคนนี้ไม่มีตัวตนจริง

แม้พี่ศานติและนายขวดจะช่วยยืนยันอย่างไรฉันก็ยังไม่ยอมเชื่อ เรื่องของพ่อและแม่กลับเข้ามาวนเวียนในสมองของฉัน ฉันกลัวเป็นผู้ที่โง่งมจมอยู่กับคำว่าต้องรักษาครอบครัวเอาไว้อย่างแม่ ฉันกลัวว่าถ้ายอมให้โอกาสแล้วมันจะย้อนมาทำร้ายฉันไม่จบไม่สิ้น อย่างที่แม่ให้โอกาสพ่อ โอกาสที่ทำให้บัวสีเดินเข้ามาสร้างความรำคาญและเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ตลอดหลายปี

แม้แม่จะเตือนสติฉันหลายหน ‘กุนฟังแม่สักครั้ง กุนไม่ใช่แม่และศานติก็ไม่ใช่พ่อ ทำไมลูกถึงต้องเอาเรื่องของแม่กับพ่อมาเป็นเกณฑ์ตัดสินชีวิตของตัวเองด้วยล่ะลูก’

‘กุนขอแค่ให้คนที่อ้างว่าน้องสาวเขามาแสดงตัวและให้กุนพูดคุยด้วยสักคำสองคำเท่านั้นละค่ะแม่ กุนขอเท่านี้’…

“ทำไมพี่ศานติติดต่อมิลล่าไม่ได้น่ะหรือคะ” คามิลเลียเริ่มเรื่องราวของเธอหลังจากที่แยกจากพวกเรา ด้วยประโยคคำถามนี้

หลังจากถูกพ่อแท้ๆ ปฏิเสธจนต้องแบกรับความผิดหวังเซซังกลับบ้าน แต่ความโชคร้ายของคามิลเลียยังไม่ถึงที่สุด เธอกลับไปถึงอังกฤษก็พบว่าร้านอาหารของครอบครัวนั้นถูกบอกเลิกสัญญาเช่าอย่างกะทันหัน เนื่องจากหลังจากประเมินค่าซ่อมแซมแล้วแทบจะไม่คุ้มค่าเลยกับการลงทุน เจ้าของอาคารจึงได้ตัดสินใจขายให้กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แม้ครอบครัวของเธอจะได้ค่าชดเชยการบอกเลิกสัญญากะทันหันมาก้อนหนึ่ง แต่ก็ทำให้เธอและครอบครัวต้องดิ้นรนหาทางเลี้ยงชีพกันใหม่

คามิลเลียมองกลับไปเห็นยายที่เลี้ยงดูเธอมาซึ่งบัดนี้อายุมากจนเกินกว่าจะต่อสู้อะไรได้อย่างแข็งขันเช่นเดิมอีกแล้ว เธอประจักษ์แล้วว่าบุพการีตรงหน้านี่ต่างหาก คือคนที่เธอควรรักและเอาใจใส่ มากกว่าคนที่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาเพื่อฟังคำปฏิเสธอย่างเจ็บปวด

เธอปาดน้ำตา ทิ้งความผิดหวังไว้เบื้องหลัง ต่อแต่นี้ไปเธอต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอมีคนที่เธอรักและต้องดูแลอีกถึงสองคน

คามิลเลียเริ่มออกหาอาคารที่เปิดให้เช่าเพื่อทำร้านอาหารใหม่ โดยต้องอยู่ไม่ไกลไปจากร้านเดิม เธอหวังให้ลูกค้าเก่าสามารถติดตามไปอุดหนุนเธอได้ แต่อาคารดีๆ ทำเลดีๆ ในลอนดอนที่พอสู้ค่าเช่าได้ไม่มีสำหรับพวกเธออีกแล้ว

ชีวิตในเมืองใหญ่มีแต่ค่าใช้จ่าย แต่ในทางกลับกันคามิลเลียไม่มีรายได้ใดๆ เงินเก็บและเงินชดเชยเริ่มร่อยหรอเต็มที ชีวิตเริ่มเข้าตาจนอย่างที่สุด

‘กลับไปอยู่บ้านเดิมของตาไหม มันเป็นชนบทนะ เราคงเปิดร้านอาหารไทยที่นั่นไม่ได้ มันเป็นบ้านเก่าที่ปิดไว้ มันไม่มีราคาหรอกบอกขายใครก็ไม่ได้เพราะมันไกลเกินไป แต่ตาคิดว่าเราจะมีชีวิตรอดที่นั่น ขอแค่หลานไม่ติดว่ามันคือชนบทที่เปลี่ยวเหงา’ ตาของคามิลเลียเสนอทางออก

คนไทยมีสำนวนว่า ‘ไปตายเอาดาบหน้า’ ชีวิตของครอบครัวคามิลเลียในตอนนี้คงตรงกับสำนวนนี้ที่สุด

เธอตัดสินใจขายเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ในร้านอาหารจนหมด ตาบอกเธอว่าที่นั่นมีของจำเป็นในการดำรงชีวิตครบแล้ว ดังนั้นการต้องขนข้าวของชิ้นใหญ่ๆ ไปจะเป็นภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้น

บ้านเดิมของตาไม่ได้แย่เกินไปนัก บ้านหลังนั้นตั้งอยู่ในชนบทที่ห่างไกลออกมาจากตัวเมืองใช้เวลาขับรถประมาณหนึ่งชั่วโมง บ้านหลังนั้นเป็นบ้านสองชั้นผนังก่อจากหิน เพียงเห็นก็รู้ว่าสร้างมานานหลายสิบปี แม้จะเก่าแต่ก็ดูมั่นคงแข็งแรงดี

คามิลเลียและยายช่วยกันทำความสะอาดและจัดแจงที่บ้านกลางไร่ให้พออยู่อาศัยได้ไปก่อน

จริงอย่างตาพูด บ้านหลังนี้มีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ แต่เป็นการดำรงชีพของคนในยุคที่เก่าแก่ขึ้นไปหลายสิบปี กว่าบ้านหลังนี้จะมีไฟฟ้าใช้ คามิลเลียต้องจุดเทียนให้แสงสว่างอยู่ร่วมเดือน

คามิลเลียค่อยๆ สำรวจและทำความสะอาด จึงพบว่าบ้านหลังนี้มีเตาอบแบบโบราณขนาดใหญ่ เธอจึงเกิดความคิดที่จะทำขนมปังแบบโบราณแล้วนำไปฝากขายในตัวเมือง

ขนมปังของคามิลเลียได้รับความนิยมเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้ที่นำมาเป็นเชื้อไฟในการอบ จากสามวันส่งขนมหนึ่งครั้ง กลายเป็นต้องส่งขนมวันต่อวัน

เมื่อขนมปังของเธอเริ่มอยู่ตัวในท้องตลาด เธอก็เริ่มแปรรูปผลผลิตเล็กๆ น้อยๆ ในไร่ออกขาย เช่นน้ำผึ้ง แยมจากผลเบอร์รี

การต้องดิ้นรนเอาชีวิตและครอบครัวให้รอด ทำให้คามิลเลียลืมความโศกเศร้า และความคิดเรื่องอื่นๆ ไปจนสิ้น กว่าจะรู้ตัวอีกที่เวลาก็ผ่านไปหลายปีเสียแล้ว

ในคืนอันหนาวเหน็บในวันที่คามิลเลียว่างเว้นจากงาน เธอก็รำลึกถึงศานติญาติแสนดีเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ เธอเพียรหาที่อยู่สำหรับติดต่อกับศานติ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบ มันคงหายไปตอนที่ย้ายมาจากลอนดอนนั้นเอง

คนเดียวที่จะช่วยเธอได้คือ แน่งน้อย ข้าราชการประจำสถานทูตไทย รุ่งเช้าหลังจากส่งขนมปังเสร็จแล้ว เธอโทร.ไปสถานทูตเพื่อขอที่อยู่ของศานติจากแน่งน้อย ปรากฏว่าแน่งน้อยได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นและย้ายไปประจำยังประเทศอื่น แม้คามิลเลียจะเพียรขอที่อยู่เพื่อติดต่อแน่งน้อยอย่างไร เจ้าหน้าที่สถานทูตก็ได้แต่บอกว่า ให้เธอทิ้งที่อยู่ไว้เพื่อให้แน่งน้อยติดต่อเธอเองในภายหลัง

คามิลเลียทั้งโกรธตัวเองและเสียใจที่สะเพร่าจนทำที่อยู่ของศานติหายไป แต่จะให้บินกลับไปหาศานติถึงประเทศไทยนั้น ในขณะนี้เธอยังไม่พร้อม เธอไม่พร้อมทั้งสถานะทางการเงินและความรับผิดชอบต่างๆ ที่มากมาย สุดท้ายเธอได้แต่อธิษฐานให้แน่งน้อยติดต่อเธอกลับมา นั้นคือความหวังเดียวที่จะสามารถติดต่อกับศานติได้

เวลาผ่านไปกับความหวังที่เลือนราง แน่งน้อยไม่ได้ติดต่อเธอกลับมา

จนชีวิตของคามิลเลียต้องเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง

จอร์จเจ้าของร้านของชำขนาดใหญ่ประจำเมือง เกิดถูกตาต้องใจสาวน้อยที่ย้ายมาจากเมืองใหญ่ เขาพยายามเฝ้าสังเกตเธอมานาน เห็นว่านอกจากความสวยแล้วเธอยังขยันขันแข็ง และมีน้ำใจกับคนรอบข้าง จึงพยายามทำความรู้จัก และพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นคู่ชีวิตกัน

หลังจากทั้งสองแต่งงานกันไม่นาน ทั้งตาและยายของคามิลเลียก็จากไปอย่างหมดห่วงทีละคน

เมื่อมีครอบครัวที่อบอุ่น คามิลเลียจึงทุ่มเทชีวิตในการดูแลครอบครัว

มารู้ตัวอีกคราว ไรอันลูกชายเพียงคนเดียวก็เรียนจบเสียแล้ว

ความเจ็บช้ำ เสียใจ และรู้สึกไร้ค่าทุกครั้งที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกพ่อปฏิเสธ มาบัดนี้คามิลเลียเติบโตขึ้น เธอมีครอบครัวที่อบอุ่น สามีที่รักและให้เกียรติเธอ ลูกชายที่น่ารักและเติบโตมาเป็นผู้ชายที่แสนดีอย่างพ่อของเขา ทำให้ความเจ็บปวดในใจของคามิลเลียค่อยๆ บรรเทาเบาบางจนเหลือเพียงรอยจางๆ ในความทรงจำ

เมื่อลูกชายเพียงคนเดียวของเธอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้วร้องขอให้ตัวเองได้มีโอกาสพักผ่อนจากการเรียนและการทำงาน เพื่อท่องเที่ยวหาประสบการณ์ชีวิตก่อน 1-2 ปี หรือที่เรียกว่าแก็ปเยียร์ คามิลเลียก็ยอมตามใจลูก ซึ่งก่อนที่ลูกชายของตัวเองจะออกเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง เขาขอร้องให้เธอพามาเที่ยวเมืองไทย ประเทศที่เป็นต้นธารที่ให้กำเนิดบรรพบุรุษของเขา

คามิลเลียใช้เวลาทบทวนความคิดตนเองเพียงไม่นานก็ยอมทำตามที่ลูกขอ คามิลเลียสำรวจใจจนมั่นใจดีแล้วว่า เรื่องราวในหนหลังไม่มีผลร้ายแรงต่อหัวใจเธออีกแล้ว

“ต้องขอบใจไรอันที่อยากมาเที่ยวเมืองไทยค่ะ มิลล่าจึงคิดได้ว่าควรมาเยี่ยมพี่ติบ้าง”

“มิลล่าอยากไปเยี่ยมแน่งน้อยบ้างไหม เขากลับมาประจำที่กระทรวงแล้วนะ ไม่ได้ประจำอยู่ต่างประเทศแล้ว…” พี่ติกล่าวขึ้น “ตั้งแต่มิลล่ากลับไปอังกฤษ พี่พยายามติดต่อน้อง แต่ก็ติดต่อไม่ได้ พี่จึงขอความช่วยเหลือจากแน่งน้อยเขา เขาบอกว่ากลับไปหาน้องที่ร้านแต่ร้านก็ปิดไปแล้ว เขาพยายามติดต่อน้องทุกทางก็ไม่สามารถติดต่อได้ คงเพราะน้องย้ายที่อยู่นั่นเอง จนเขาย้ายไปประจำที่อื่น พวกเราเลยหมดหนทางติดต่อกันโดยสิ้นเชิง…”

“แล้วมิลล่ามาที่นี่ถูกได้อย่างไร ตั้งหลายสิบปี ทั้งบ้านทั้งถนนหนทางเปลี่ยนไปมากมายแล้ว” พี่ติถาม

“มิลล่าเดาทางเอาจากความทรงจำ แม้อะไรจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่สถานที่สำคัญไม่ได้เปลี่ยนตามไปนี่คะ หน้าปากซอยยังเป็นโรงเรียน และที่สำคัญบ้านของพี่ติยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยค่ะ ตอนแรกก็กลัวเหมือนกันว่า ถ้ามาถึงแล้วเจ้าของบ้านไม่ใช่พี่ติ จะทำยังไงต่อไป แต่มิลล่าก็มาแล้วนี่คะ ลองกดกริ่งถามก็ไม่เสียหาย” คามิลล่าเล่าอย่างอารมณ์ดี

 

ฟังจากที่มิลล่าและพี่ติพูด ฉันควรโทษโชคชะตาหรืออะไรดีที่ทำให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ บัดนี้ฉันเริ่มเข้าใจทุกอย่างแล้ว คำพูดของมิลล่าและพี่ติต่างก็สอดคล้องกันดีถึงความบังเอิญที่แสนโชคร้าย ฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดกับความจริงที่ได้รับทราบ จึงพยายามเปลี่ยนเรื่องพูดคุย

“แล้วนี่จะพักอยู่กี่วันคะ” ฉันถาม

“พวกเราพักที่กรุงเทพวันนี้วันเดียวค่ะ ตามแพลนพรุ่งนี้เช้าจะไปเที่ยวเชียงใหม่และจังหวัดในโซนภาคเหนือสักสัปดาห์ จากนั้นจะบินลงภูเก็ต มิลล่ากับจอร์จจะผ่อนผ่อนที่ภูเก็ตกับลูกอีกสัปดาห์ จากนั้นก็จะบินกลับบ้าน ส่วนไรอันก็จะแยกไปเที่ยวต่อที่บาหลีคะ” คามิลเลียแจกแจงแผนการท่องเที่ยวของเธอและครอบครัว

ฉันเห็นทุกครั้งที่คามิลเลียพูดถึงครอบครัวอันประกอบไปด้วยสามีและลูกของเธอ น้ำเสียงและสายตาของเธอดูช่างมีความสุข คงเป็นเพราะความรักของครอบครัวกระมังที่รักษาและเยียวยาหัวใจของเธอให้กลับมามั่นคงและแข็งแรง ช่างต่างกับฉันเสียเหลือเกินที่ผ่านมานั้นทุกครั้งที่ระลึกถึงสามีฉันมักมองเห็นแต่ความเจ็บปวดและบาดแผลที่คราวนั้น

ความจริงปรากฏว่าแผลฉกรรจ์เรื้อรังที่อยู่กับฉันมานานหลายสิบปีนั้น ไม่ได้เกิดจากชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้ แต่เป็นแผลที่เกิดจากตัวฉันเอง แผลที่เกิดจากความหวั่นไหวและใจเบา แผลที่เกิดจากความดื้อรั้น ทิฐิ และถือดี

“กุน…” พี่ติเรียกชื่อฉันเบาๆ

“วันนี้กุนเหนื่อยเหลือเกินค่ะ กุนขอพักผ่อนหน่อยนะคะ” ฉันพูดแล้วก็เดินกลับเข้าห้องส่วนตัว โดยไม่เหลียวหลังมองพี่ติแม้แต่น้อย

ฉันใช้กำลังกายและใจทั้งหมดที่รวบรวมได้พาสังขารที่ร่วงโรยทั้งกายและใจเข้าห้องส่วนตัวปิดประตู เรี่ยวแรงทั้งหมดก็เหมือนจะสิ้นสุดตรงนั้น ฉันทรุดตัวลงนั่งหลังพิงประตู น้ำตาที่เคยคิดว่ามันหมดไปแล้วตั้งแต่คราวที่คิดว่าพี่ตินอกใจนั้นมันกลับขึ้นมาใหม่ คราวนี้ฉันไม่หักห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้ร้อง ฉันปล่อยมันออกมาราวกับน้ำที่กักในทำนบจนปรี่ล้นได้พังทลายลงมาในคราวเดียว

ฉันทิ้งเวลาที่มีค่าไปถึงสามสิบกว่าเลยนะ ฉันทำลายครอบครัวที่แสนอบอุ่น ฉันพรากพ่อที่ดีไปจากลูกทั้งสอง ฉันทำร้ายตัวเองซ้ำๆ ด้วยความเข้าใจผิดมาตลอดสามสิบกว่าปี…ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล ความผิดหวังครั้งนี้มันมากกว่าสิ่งไหนที่เคยประสบมา เพราะความโศกเศร้าเสียใจเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาในชีวิต อาจบอกได้ว่าเป็นเพราะความโชคร้าย อย่างเมื่อคราวที่ฉันเสียพ่อเสียแม่จากอุบัติเหตุ อาจบอกว่าฉันถูกคนไม่ดีล่อหลอกอย่างเรื่องสัญญาเงินกู้ที่กำลังประสบอยู่ แต่สำหรับเรื่องนี้ฉันไม่อาจหาเหตุผลใดมาอ้างใด นอกจากฉันทำลายมันลงด้วยมือของตัวเองแท้ๆ ฉันทำลายมันลงด้วยความใจเบาไม่รู้จักไตร่ตรอง

ฉันปาดน้ำตาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดโปรแกรมสนทนาออนไลน์ แล้วกรอกข้อความลงไปถึงเพื่อนทั้งสองด้วยข้อความเดียวกันว่า “ว่างไหม ฉันมีเรื่องจะปรึกษา” ทั้งเครือแก้วและนายขวดก็แทบจะตอบมาพร้อมกันว่า “ว่างมาก…” ฉันกรอกข้อความลงไปในโปรแกรมสนทนาอีกว่า “วิดีโอคอลนะ ประชุมสาย พิมพ์ไม่ไหวยาวเกิน”

ฉันกดวิดีโอคอลประชุมสาย เมื่อเพื่อนทั้งสองเห็นตาบวมตุ่ยเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้ของฉันมาก็ระดมยิงคำถามไม่ยั้ง ฉันจึงเล่าเรื่องที่ได้พบคามิลเลียและทราบความจริงทั้งหมดแล้ว

ทั้งนายขวดและเครือแก้วตั้งใจฟังฉันเล่าและระบายความรู้สึก ทั้งที่ทั้งสองคนรู้เรื่องราวมาอย่างดีโดยตลอด

“พวกฉันพยายามจะบอกเธอหลายครั้งแล้วนะ กระทั่งพ่อแม่ของเธอท่านก็พยายามหลายครั้งแล้ว แต่คนที่รู้นิสัยเธอดีที่สุดคือพี่ติ…พี่ติกลัวว่าถ้าพวกเรารุกเธอหนักมาก เธอก็จะคิดไปเองว่าไม่มีใครอยู่ข้างเธอเลย แล้วจะเตลิดไปจนกู่ไม่กลับ สุดท้ายพวกเราก็ต้องนิ่งรอดูสถานการณ์” เครือแก้วอธิบาย

“พี่ติเองก็พยายามนะ พี่ติพยายามติดต่อกับคามิลเลีย แต่ใครจะรู้ว่าคามิลเลียเปลี่ยนที่อยู่ สุดท้ายพี่ติก็จนใจ พี่ติหวังว่าสักวันความจริงจะปรากฏและเธอจะเข้าใจเอง” นายขวดสลับพูด

“แต่มันสามสิบกว่าปีเลยนะ…” ฉันตัดพ้อ

“แต่ตลอดสามสิบปี…ที่ผ่านมานี่…พี่ติไม่เคยทิ้งเธอและลูกเลยนะ…เธอเองก็รู้ดี นี่ถ้าไม่ใช่คนที่สนิทกันจริงๆ ก็ยังไม่มีใครรู้เลยว่าเธอกับพี่ติมีปัญหากัน” นายขวดตอบเสียงนิ่งๆ

“แล้วฉันควรทำยังไงต่อไป” ฉันถามเสียงอ่อย

“ทำสิ่งที่ควรทำ…” นายขวดตอบ

“แล้วพี่ติจะ…”

“เกลียดหรือกุน หรือโกรธ ถ้าพี่ติเขาเกลียดหรือโกรธเธอ เขาหายไปจากชีวิตเธอนานแล้ว” เครือแก้วพูดบ้าง

“วางทิฐิบ้าๆ ของเธอลงได้แล้วกุน…เธอแบกมันมาสามสิบกว่าปีแล้ว เดินไปยอมรับความจริงว่าเธอมันเบาใจ ไม่หนักแน่น แล้วก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ซะ แค่นี้ละ ฉันต้องทำกายภาพแล้ว”

“อืม…ฉันก็ต้องไปเข้าคลาสโยคะแล้ว”

เพื่อนทั้งสองคนวางสายไปแล้ว แต่ฉันยังจมดิ่งอยู่ที่เดิม

 

น้ำตาแห้งไปแล้ว ฉันยังนั่งนิ่งที่เดิม เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

“กุน…เลยเวลามื้อเที่ยงมานานแล้ว…” ฉันเหลือบมองนาฬิกา นี่บ่ายโมงกว่าแล้วหรือนี่ “…กุนจะกินในห้องหรือออกมากินข้างนอก เดี๋ยวพี่จะได้อุ่นไว้ให้” พี่ติถามด้วยเสียงที่เจือเกรงใจ ฉันเดาว่าถ้าไม่เป็นเพราะกลัวว่าฉันจะหิว หรือเวลาเวลากินยาไปนานแล้ว พี่ติก็คงไม่อยากรบกวนฉัน

“เดี๋ยวกุนออกไปกินข้างนอกตามปกติค่ะ ขอเวลากุนอีกแป๊บเดียว” ฉันตอบไปเช่นนั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ฉันจะทำตัวแย่ใส่พี่ติอย่างไร พี่ติก็ไม่เคยละทิ้งฉันและลูกไป เมื่อไรที่ฉันเกิดปัญหา หรือต้องการความช่วยเหลือ พี่ติจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วย ซึ่งบางครั้งจะมาในนามของคนอื่นบ้างก็ตาม ฉันคิดมาตลอดว่าสิ่งที่พี่ติทำไปก็เพียงเพราะต้องการอยากไถ่โทษที่ตนเองทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย แต่วันนี้ความจริงประจักษ์แล้วว่าสิ่งที่พี่ติทำไปนั้น ไม่ใช่เพราะสำนึกผิด ไม่ใช่เพราะต้องการไถ่โทษ แต่เป็นเพราะความรักและความปรารถนาที่มีต่อฉัน พี่ติยังคงรักษาสัญญาที่มาต่อฉันมาโดยตลอด ในเมื่อฉันรู้ตัวเองแล้วว่าทำพลาดไป จากนี้ไปฉันจะเริ่มต้นใหม่…

ฉันลุกขึ้นแปรงรวบผมใหม่ หยิบกระดาษเปียกมาเช็ดทำความสะอาดหน้า ทาแป้งเด็ก แล้วยืนสำรวจตัวเองที่หน้ากระจกอีกครั้ง มาวันนี้ฉันผ่านมาจวนจะถึงปลายทางของชีวิตแล้ว ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าชีวิตฉันทำผิดพลาดมามากมายเสียเหลือเกิน ฉันเพิ่งรู้ตัวจริงๆ แต่ฉันก็ยังขอบคุณที่เบื้องบนยังให้โอกาสให้ฉันได้มีโอกาสแก้ไขเรื่องที่ผิดพลาด

‘เอาละ กุนตีเรามาเริ่มแก้ไขเรื่องที่ผิดพลาดที่เธอก่อทีละเรื่อง เริ่มจากเรื่องของพี่ติก่อนเลย’ ฉันปลุกปลอบตัวเอง ก่อนเดินออกมาที่โต๊ะกินข้าว

พี่ติจัดเตรียมอาหารเที่ยงไว้ตามปกติอย่างทุกวัน “ พี่ติคงยังไม่กินเหมือนกันใช่ไหมคะ เรามากินด้วยกันดีกว่าค่ะ กุนหิวแล้ว”

ฉันนั่งกินด้วยความเงียบไปจนจะหมดจาน พี่ติเองก็เหมือนจะรู้ใจฉันจึงไม่ชวนคุยหรือเซ้าซี้อะไร จนในที่สุด ฉันก็หักใจลดทิฐิมานะของตัวเอง

‘เธอทำผิดต่อเขา เธอก็ต้องเป็นฝ่ายง้อและขอคืนดี อย่าเล่นแง่อีกเลยกุนตี’ ใจของฉันสอนฉันเช่นนั้น

“พี่ติขา วันนี้อากาศค่อนข้างดี กินข้าวเสร็จแล้ว เราไปเดินที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำที่พี่ติเคยชวน ดีไหมคะ”

พี่ติมองหน้าฉันอย่างพินิจก่อนพูดว่า “ดีเหมือนกัน ขากลับจะได้แวะซื้อผลไม้มาใส่ตู้เย็นให้ลูกด้วย”

 

สวนสาธารณะแห่งนี้อยู่ห่างออกจากบ้านของเราไม่มาก และเป็นเส้นทางที่มุ่งออกจากเมืองในยามบ่ายเช่นนี้รถราจึงไม่ค่อยคับคั่งหนาแน่น

ฉันเดินทอดน่องตามทางที่ทำเป็นสะพานไม้ลัดเลาะไปตามหมู่ไม้ต่างๆ สายลมที่พัดหอบเอาความเย็นชื่นจากแม่น้ำสร้างความสดชื่นและปลอดโปร่งได้ไม่น้อย เมื่อเริ่มคลายกังวลฉันก็เริ่มมีความกล้าที่จะพูดความรู้สึกในใจ

“เห็นดอกนางแย้มแล้วคิดถึงแม่จังค่ะพี่ติ แม่ชอบดอกนางแย้ม ที่หน้าบ้านเก่าของกุนที่อยู่ในกรม ก็มีต้นนางแย้มอยู่หนึ่งต้น” ฉันเปรยขึ้นก่อนที่จะวกเข้าเรื่องสำคัญ

“กุนจำได้ วันที่กุนตีโพยตีพายว่าจะขอหย่ากับพี่ติ แม่ก็ห้ามกุนหัวชนฝาบอกให้ใจเย็น เรื่องที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิด อยากให้กุนมีสติกว่านี้ค่อยตัดสินใจ ตอนนั้นกุนกำลังพลุ่งพล่านเลยค่ะ แม่พูดอะไรก็ไม่เคยฉุกคิดแม้แต่น้อย…” ฉันหยุดพูดไปสักครู่ สมองเรียบเรียงว่าจะพูดเรื่องอะไรต่อไปดี

“แม่ท่านรู้ แถมท่านยังเรียกธารีไปสอบถาม แต่ธารีก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ แม่ก็ยิ่งมั่นใจว่าเรื่องที่พี่มีเมียน้อยเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน เพราะนิสัยธารีถ้าเป็นเรื่องจริง ย่อมต้องไม่เก็บงำให้เรื่องเงียบไว้แน่ แม่พยายามไกล่เกลี่ยให้กุนและพี่คุยกัน แต่กุนคงยังโกรธมากแม่พูดอะไรก็ไม่ฟัง จนพ่อบอกว่าเราสองคนโตแล้ว ต้องเรียนที่รู้ที่จะจัดการปัญหาด้วยตนเอง หากเรื่องแค่นี้ไม่รู้จักพูดคุยและจัดการกัน วันหน้าจะลำบากกว่านี้…ความจริงแม่อยากให้กุนเย็นลง หรือสังเกตเห็นอะไรได้ด้วยตนเองมากกว่านี้ก่อน ท่านถึงจะช่วยพูดให้อีกครั้ง เสียดายแต่ว่าท่านสิ้นบุญเร็วเกินไป จึงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย” พี่ติตอบฉัน

“ตอนนั้นกุนโกรธมากจริงๆ ค่ะ ยิ่งธารีมาพูดทำนองว่าเกิดเป็นผู้หญิงนั้นแสนลำบากต้องพึ่งพาสามีไปทุกอย่าง และตัวกุนเองก็ไม่เคยทำงานเลี้ยงตัวเอง ดีแต่แบมือขอเงินพี่ติไปวันๆ ฉะนั้นถ้าพี่ติอาจจะนอกลู่นอกทางไปบ้าง กุนก็ควรต้องยินยอมหรือปล่อยผ่าน…ฟังน้องพูดอย่างนั้น กุนก็ยิ่งโกรธ อยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า กุนสามารถทำงานและเลี้ยงลูกได้ ไม่จำเป็นต้องของ้อผู้ชายเลยแม้แต่น้อย”

พี่ติเดินไปฟังเรื่องที่ฉันพูดไป ราวกับเป็นเรื่องทั่วไปที่ประสบอยู่ในชีวิตประจำวัน เมื่อเห็นฉันนิ่งไปนานถึงพูดโต้ตอบกลับมาว่า “แต่กุนก็ทำได้ดีนะครับ ทั้งเรื่องหน้าที่การงาน ทั้งเรื่องเลี้ยงดูลูก พี่รู้นะว่ามันเหนื่อยมากที่ต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว…”

“คนเดียวที่ไหนคะ ถึงกุนจะเจ้าคิดเจ้าแค้นแต่กุนก็ไม่ได้ตาบอดนะคะ กุนรู้ดีถ้ากุนมีปัญหาที่แก้ไม่ได้ พี่ติจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือกุนเสมอ ถ้าพี่ติไม่ช่วยเหลือส่งเสียค่าดูแลลูก ช่วงที่กุนเริ่มทำงานใหม่ๆ กุนก็คงชักหน้าไม่ถึงหลัง ถ้าพี่ติไม่เสนอให้กุนมาอยู่บ้านหลังนี้ กุนกับลูกก็คงลำบากกับการเดินทาง กุนอาจเป็นประสาทเพราะความเหนื่อยและเครียด ส่วนลูกก็น่าจะเครียดตามและเรียนได้ไม่ดีอย่างที่หวัง…กุนยังจำได้ค่ะ ช่วงที่ยายนันท์กำลังเป็นวัยรุ่นแล้วก็เฮี้ยวจัด กุนไม่รู้จะจัดการยังไง ถ้าไม่ได้พี่ติช่วยพูดคุยกับลูก กุนก็ไม่รู้ว่าเรื่องจะเลวร้ายไหม…แล้วก็ล่าสุด ถ้าพี่ติไม่ช่วยแจกแจงความคิดความรู้สึกในใจของกุนให้ลูกฟัง มีหรือที่ลูกจะรู้และเข้าใจความรู้สึกของกุนแล้วยอมปรับตัวเข้าหากันแบบนี้…พี่ติช่วยกุนมากเลยนะคะ แล้วก็ช่วยมาตลอด กุนรู้คะ รู้มาตลอด แต่ด้วยทิฐิและความถือดี จึงไม่เคยสักครั้งที่จะเอ่ยปากขอบคุณ”

ฉันและพี่ติมาหยุดอยู่ที่กลางลานไม้สูงที่ผู้ออกแบบตั้งใจให้ลานไม้ที่แข็งแรงมั่นคงอยู่เหนือยอดไม้ขนาดกลางของส่วน เมื่อมองไปรอบๆ จะเห็นความเขียวขจีของต้นไม้และที่ปลายสายตาคือแม่น้ำ

ฉันหยุดเดินที่กลางลาน ยามนี้เพิ่งจะบ่ายและเป็นวันทำงาน รอบข้างตัวฉันล้วนไร้ผู้คน ฉันสูดหายใจเอาอากาศสดเอาปอด เรียกความมั่นใจให้ตัวเองแล้วพูดออกไปว่า

“มันจะช้าไปไหมคะ ถ้าวันนี้กุนจะขอบคุณและขอโทษพี่ติพร้อมๆ กัน…ขอบคุณที่พี่ติรักษาสัญญา ดูแลกุนและลูกตลอดมา ถึงแม้กุนจะทำตัวงี่เง่าไม่มีเหตุผล พี่ติก็ไม่เคยคิดจะปล่อยมือไปจากกุน และกุนขอโทษที่ทำลายความสุขของครอบครัวเรา กุนขอโทษที่…” ฉันไม่อาจพูดต่อความรู้สึกผิดและเสียใจเริ่มกลับมาท่วมท้นใจอีกครั้ง น้ำตาที่คิดว่าจัดการและบังคับให้หยุดไปได้แล้วนั้นกำลังกลับมาเอ่อในคลองสายตา

พี่ติมองหน้าฉันด้วยสายตาเอื้ออาทร ฉันสบตาพี่ติแม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะไม่ได้สดใสแวววามอย่างคนหนุ่มเมื่อหลายสิบปีคนก่อน แต่ความรู้สึกห่วงหาอาทรที่มีต่อฉันเมื่อหลายสิบปีก่อนเป็นเช่นไร วันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น สองมือของพี่ติยกขึ้นมาปาดน้ำตาให้ฉันแล้วพูดว่า

“ไม่ต้องร้องแล้ว กุนร้องไห้มามากแล้ว เรื่องนี้ถ้าจะมีคนผิด กุนก็ไม่ใช่คนที่ผิดคนเดียว พี่มาไตร่ตรองดู ถ้าวันนั้นพี่สู้และพยายามเพื่อเรามากกว่านี้ เรื่องนี้ก็คงไม่คาราคาซังมาเกือบสามสิบปีแบบนี้”

“ไม่ค่ะ กุนเอง เป็นกุนที่ไม่ดี…” ฉันรีบเถียง

“อืมๆ พวกเราต่างฝ่ายต่างทำพลาด เช่นนั้นเราต่างฝ่ายต่างให้อภัยกันและกัน และเราก็ให้อภัยตัวเองด้วยดีไหม”

ฉันพยักหน้า ก่อนจะพูดว่า “แล้วพี่ติจะให้โอกาสกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิมได้ไหม”

“ทำไมต้องขอโอกาส ในเมื่อครอบครัวเราก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม อาจะดีขึ้นตรงที่ว่าเราทั้งสองคนไม่มีอะไรติดค้างในใจกันอีกแล้ว”

ฉันยิ้มละไมอย่างขอบคุณให้พี่ติ เราทั้งสองจับมือกันมองแม่น้ำที่ทอดตัวอยู่ห่างไกลออกไป

ฉันรู้แล้วว่าทุกปัญหาแก้ได้ ถ้าฉันยอมรับความจริงและใช้สติ และตอนนี้ฉันมีกองหนุนที่ดีและทรงพลังอย่างพี่ติแล้ว ฉันก็ไม่กลัวอะไรอีก มาเลยปัญหา กุนตีคนนี้พร้อมจะลุยกับพวกแกแล้ว

 



Don`t copy text!