ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 7 : แห้งเฉา (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 7 : แห้งเฉา (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

ฉันตื่นมาพร้อมความรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งท่อนแขนและข้อเท้า ยายนันท์นอนฟุบอยู่ข้างเตียงคนไข้ เมื่อฉันขยับตัวยายนันท์ก็รู้สึกตัวเช่นกัน

“ตื่นแล้วหรือคะแม่” ยายนันท์พูดพร้อมทั้งลูบหน้าลูบตาตัวเอง สีหน้ายายนันท์ดูอิดโรยมาก

“หนูกลับมาจากทำงานเห็นแม่นอนกองอยู่กับพื้น ตกใจแทบแย่ ว่าแต่ทำไมแม่ถึงตกลงมานอนแบบนั้นคะ”

ฉันเล่าสาเหตุที่ฉันต้องปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟที่ขาดพร้อมกันทั้งสองดวง “แม่ก้มๆ เงยๆ เปลี่ยนหลอดไฟ อยู่ดีๆ ก็หน้ามืดสติวูบดับไปเลย”

“นันท์เตือนแม่แล้วใช่ไหมคะ ว่าวันนี้แม่ความดันขึ้นสูงมาก ให้พักผ่อนอยู่เฉยๆ อย่าทำอะไรและห้ามขาดอย่าปีนที่สูง”

“แม่ก็นอนพักทั้งวันแล้ว คิดว่าไม่เป็นอะไร พอดีหลอดไฟขาด จะรอนันท์กลับมาเปลี่ยนให้ก็กลัวว่าจะดึก แม่ไม่ชอบอยู่ที่มืดๆ” ฉันพยายามแก้ตัว

ยายนันท์คงเห็นว่าฉันเจ็บมากแล้วจึงไม่พูดตำหนิหรือตัดพ้ออีก

“แม่แขนหัก และเอ็นข้อเท้าฉีก คุณหมอห้ามเดินระยะหนึ่งเลยคะ ช่วงนี้แม่คงต้องใส่เฝือกและนั่งรถเข็นไปก่อน… ดีนะคะที่ไม่ใช่กระดูกสะโพกหัก ไม่อย่างนั้นเรื่องใหญ่กว่านี้แน่ อ้อ พรุ่งนี้คุณหมอสั่งทำเอ็มอาร์ไอสมองนะคะ ถ้าไม่มีอะไรก็น่าจะกลับบ้านได้” ยายนันท์พูดนิ่งๆ

แล้วลูกก็เลิกผ้าห่มมาคลุมตัวฉันแล้วพูดว่า “ถ้าปวดคืนนี้เรียกนันท์นะคะ จะได้ขอยาจากคุณพยาบาล คุณหมอห้ามลงจากเตียง ถ้าแม่อยากเข้าห้องต้องใช้กระโถนเตียง…แม่นอนเถอะค่ะ นันท์ขอโทรบอกพ่อกับพี่นะว่าแม่ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อหัวค่ำทั้งพ่อและพี่นะแทบจะขับรถจากต่างจังหวัดเข้ามาเลยค่ะ นันท์แต่ห้ามไว้ก่อน”

ฉันพยักหน้ารับรู้ ความรู้สึกของฉันตอนนี้ยิ่งอ่อนไหวและอ่อนแอมากไปกว่าเดิม ความเจ็บปวดจากร่างกายขณะนี้ยังไม่สู้ความเจ็บปวดทางใจที่คิดว่าตัวเองไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย แค่ไม่อยากเป็นภาระในเรื่องประจำวันที่เคยทำได้อย่างเปลี่ยนหลอดไฟ กลับกลายมาเป็นสร้างภาระหนักและใหญ่ให้ลูกอีกแล้ว เห็นหน้ายายนันท์ที่อิดโรยก็รู้ว่าคงตกใจไม่น้อยที่กลับมาถึงบ้านแล้วเห็นฉันนอนเอ้งแม้งที่อยู่พื้น ส่วนตานะคงร้อนใจที่รู้ว่าฉันประสบอุบัติเหตุ

ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เกาะกินใจ ผสมกับความเจ็บป่วยทางร่างกายและฤทธิ์ของยาทำให้ฉันผล็อยหลับไปไม่รู้ตัว

รุ่งเช้าฉันเข้าทำโปรแกรมเอ็มอาร์ไอเพื่อสแกนสมองอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าไม่มีอาการบาดเจ็บ ฉันนอนรอฟังผลและสังเกตอาการอีกคืน

เมื่อออกจากห้องเอ็มอาร์ไอ ฉันเห็นพี่ติยืนรออยู่ที่ห้องพักญาติ พี่ติยิ้มอ่อนๆ ให้กำลังใจ และเดินตามมาส่งฉันที่ห้องพักฟื้น ก่อนจะปลีกตัวไปคุยกับยายนันท์ ส่วนฉันก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งเพราะฤทธิ์ยา

รุ่งเช้าของอีกวันคุณหมอก็อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล

ยายนันท์ใช้สิทธิ์ลาพักร้อนมาดูแลฉันได้สามวัน ทั้งๆ งานที่บริษัทของลูกก็ยุ่งมากในช่วงนี้ เมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน ความทุลักทุเลโกลาหลก็เริ่มขึ้น ยายนันท์ต้องจัดเตรียมพื้นที่ชั้นล่างเป็นที่พักฟื้นให้ฉัน เตียงผู้ป่วยแบบปรับระดับความสูงด้วยไฟฟ้าถูกส่งมาในวันนั้นพร้อมของใช้จำเป็นอื่นๆ จัดวางไว้ที่มุมส่วนหนึ่งในชั้นล่างของบ้านที่เคยเป็นที่ตั้งตู้กระจกแต่งห้องมาก่อน

“นันท์ไปซื้อเตียงมาทำไม แล้วนี่ตู้กระจกของแม่ไปไหน”

“เตียงผู้ป่วยไม่ได้ซื้อค่ะ นันท์เช่าเป็นรายเดือนมาจากบริษัทบริบาลผู้ป่วย นี่กำลังรอทางบริษัทตอบรับคนที่จะมาดูแลแม่แทนนันท์ในตอนกลางวันที่นันท์ไปทำงาน ส่วนตู้กระจกนันท์ให้คนเลื่อนไปเก็บไว้ที่ห้องด้านหลังบ้านค่ะ” ยายนันท์อธิบาย

“แล้วไป จะเอาตู้ของแม่ไปทิ้งไปขายไม่ได้นะ ส่วนคนดูแลไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวอีกสองสามวันแม่ใช้แม่ค้ำยันได้ แม่ก็ดูแลตัวเองได้แล้ว”

“ดูแลตัวเองอะไรได้คะแม่ ขนาดแขนขาแม่ปกติดี ยังพลาดล้มลงมาเป็นแบบนี้ ไม่เอาละค่ะ ให้คนมาช่วยดูแล นันท์จะได้ไม่ต้องห่วงมากตอนไปทำงาน ส่วนเรื่องของในบ้านนันท์กำลังจะบอกแม่พอดีค่ะว่า นันท์คิดว่าของในบ้านเรามันมากไปจนรก นันท์คิดจะเลือกของที่ไม่จำเป็นและรกออกไปบ้าง ระหว่างนี้แม่ก็ช่วยคิดช่วยดูแล้วกันกันว่าอะไรไม่จำเป็นที่พอจะขาย บริจาค หรือทิ้งออกไปได้บ้าง”

“อืม ไว้แม่จะช่วยคัดของแล้วกัน…” ฉันตอบปัดๆ

วันรุ่งขึ้นยายนันท์หัวเสียมากกว่าเดิม เมื่อบริษัทบริบาลรับดูแลผู้ป่วยโทร.มาแจ้งว่าหาพนักงานดูแลไม่ได้ ยายนันท์ที่กำลังเป็นกังวลว่าใครจะดูแลฉันระหว่างที่ตัวเองไปทำงานนั้น ก็สาละวนโทร.ไปตามบริษัทต่างๆ ที่มั่นใจได้ว่าพนักงานที่จัดหามานั้นจะไม่ได้ทำงานเป็นสายสืบลาดเลาให้โจรควบคู่ไปด้วย

ส่วนทางพี่ติเองก็แวะมาเยี่ยมฉัน และบอกลูกว่าจะช่วยหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแลฉัน

ระหว่างที่ยายนันท์และพี่ติกำลังปั่นป่วนหาคนมาดูแลฉันอยู่นั้น ก็เหมือนสวรรค์ชี้ทางออกมาให้ นั่นก็คือ ‘ธารี’ น้องสาวคนเดียวของฉัน

ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรดลใจให้ธารีที่ห่างหายไปจากฉันเสียหลายปี เกิดความคิดถึงและมาเยี่ยมฉัน ทันทีที่ธารีเห็นฉันในสภาพกึ่งคนพิการ และรู้ว่ายายนันท์กำลังหัวหมุนเพราะหาคนมาดูแลฉันก็เอ่ยปากอาสาทันทีว่า

“น้องนันท์จะไปปวดหัวเรื่องหาคนอื่นทำไมล่ะคะ น้าอาสาดูแลพี่กุนให้เอง ถ้าพี่กุนกับน้องนันท์ไม่รังเกียจ เดี๋ยวธารีจะขอกลับไปเก็บของใช้จำเป็น แล้วย้ายมาดูแลพี่กุนที่นี่เลย เราคนกันเองจะได้ไม่ต้องระแวงว่าคนที่เขานอกออกในบ้านจะไว้ใจไม่ได้” ธารีเสนอตัว ทำให้ฉันก็เบาใจและยินดีที่ธารีจะมาดูแลฉันมากกว่าคนอื่นที่ไม่รู้จัก

“แต่พ่อบอกว่าจะ…” ยายนันท์พูดไม่ทันจบ ฉันก็ตัดความชิงตอบคำถามธารีไปว่า

“จะรังเกียจอะไรกันธารี เรามันพี่น้องกันแท้ๆ ยายนันท์ก็หลานของเธอ ย้ายมาอยู่ด้วยกันก็ดีพี่จะได้ไม่เหงา” ฉันรีบสรุป

“แล้วอย่างนี้งานของน้าธารีจะไม่เสียหรือคะ” ยายนันท์ถามดัก

“น้าไม่ได้ทำงานประจำหรอกค่ะน้องนันท์ ยังรับเป็นนายหน้าขายของเล็กๆ น้อยๆ ตามแต่คนจะบอกให้ช่วยขาย…แต่ถ้าน้องนันท์กลัวน้าจะขาดรายได้ ก็ให้ค่าขนมน้าสักครึ่งหนึ่งของค่าจ้างพนักงานดูแลจากบริษัทก็ได้”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ให้เธอเองเดือนละหนึ่งหมื่น ส่วนเรื่องกินอยู่ก็รวมอยู่กับพี่นี่ละ” ฉันคำนวณดีแล้ว ทั้งเงินปันผลรายเดือน รวมกับที่ตานะและยายนันท์ให้ใช้ส่วนตัว ฉันมีรายได้สำหรับใช้ส่วนตัวคนเดียวเกือบสี่หมื่นบาท แบ่งให้น้องสักหมื่นหนึ่งจะเป็นอะไรไป

“เรื่องเงินไม่สำคัญหรอกค่ะ แค่ได้มาดูแลพี่กุนน้องก็ดีใจแล้ว แต่ถ้าพี่กุนจะกรุณาให้ค่าขนมน้องบ้างน้องก็ขอบพระคุณค่ะ” ธารีก้มลงไหว้ฉันอย่างกระชดกระช้อย ฉันเหลือบไปเห็นยายนันท์ยิ้มที่มุมปากแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นไปเสีย

“ถ้าอย่างนั้นนันท์ก็ฝากน้าธารีดูแลแม่ด้วยค่ะ ว่าแต่จะให้นันท์ขับรถพาน้าธารีกลับไปเอาของใช้จำเป็นที่บ้านคุณตาไหมคะ”

ธารีปฏิเสธพัลวัน ฉันเดาว่าน้องคงเกรงใจหลานมากกว่าอย่างอื่น

“อู้ย ไม่เป็นไรค่ะน้องนันท์ เดี๋ยวน้ากลับไปจัดเฉพาะสัมภาระที่จำเป็นเองได้ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้น้าจะมาถึงบ้านนี้ตั้งแต่เช้าเลยนะคะ น้าจะมาถึงก่อนน้องนันท์ไปทำงานแน่นอนค่ะ”

 

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ธารีมาถึงบ้านพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบ ยายนันท์เห็น ‘สัมภาระเฉพาะที่จำเป็น’ แล้วก็บ่นพึมพึมว่า “นี่ขนาดเฉพาะของที่จำเป็นนะ อย่างกับจะย้ายมาอยู่ถาวรเลย”

จากวันนั้นมาธารีก็เหมือนเป็นสมาชิกของบ้านอีกคน ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าเดิมเพราะมีน้องเข้ามาอยู่เป็นเพื่อน เราสองคนพี่น้องต่างได้รำลึกความหลังที่สวยงามยามเป็นเด็กที่เติบโตมาร่วมกัน ความสดใสและแช่มชื่น บวกกับการที่ธารีมีนิสัยช่างพูดและเอาอกเอาใจทำให้อาการป่วยของฉันดีขึ้น เพียงเดือนเศษๆ ฉันก็สามารถถอดเฝือกอ่อนที่พยุงรักษาอาการเอ็นข้อเท้าฉีกได้ แต่คุณหมอก็ยังเตือนให้ฉันอย่าเดินเร็วและมากเกินไป ต้องทำกายบริหารในท่าเบาๆ เพื่อรักษาอาการ และยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงช่วยเดิน ส่วนแขนนั้นแม้กระดูกจะเริ่มประสานแต่ก็ไม่ได้เร็วอย่างวัยรุ่นหนุ่มสาวอยู่ดี

“พี่กุนไม่ต้องกังวลนะคะ หายช้านิดช้าหน่อยไม่เป็นไรค่ะ ทำใจให้สบาย น้องสัญญาว่าจะอยู่ดูแลพี่กุนจนกว่าจะหายดีเลยค่ะ”

“ขอบใจธารีมากนะ พี่ก็อุ่นใจที่มีธารี”

ส่วนทางยายนันท์นานวันเข้า เมื่อเห็นว่าการที่มีธารีมาช่วยดูแล ทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นและฉันไม่มีอาการงอแงเรื่องการรักษา สามารถใช้ชีวิตตามที่คุณหมอแนะนำได้ก็เริ่มเบาใจ คงจะด้วยเพราะงานที่มากขึ้นจึงทำให้ลูกมอบหน้าที่ดูแลฉันให้ธารีเต็มตัว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเห็นสายตาที่สอดส่องของยายนันท์ยังคงทำงานอย่างไม่ลดละเหมือนที่ผ่านมาแม้แต่น้อย…

 



Don`t copy text!