ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 7 : แห้งเฉา (1)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 7 : แห้งเฉา (1)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

ยายนันท์หันมาดูแลเรื่องส่วนตัวของฉันอย่างเข้มงวดขึ้นโดยเฉพาะเรื่องของอาหาร ทำให้สิ่งที่ฉันชอบและอยากกินก็ถูกจำกัด สิ่งที่ไม่ชอบก็เข้ามาแทนที่ ทำให้ความอยากอาหารของฉันลดลง บรรดาขนมที่ฉันชอบซื้อมาติดตู้เย็นไว้เป็นอันถูกกำจัดออกไปจากบ้านอย่างสิ้นซาก มีบ้างเหมือนกันที่ยายนันท์ซื้อขนมอย่างที่ว่าดีต่อสุขภาพ กำลังนิยมกันในตอนนี้เรียกว่า ‘ขนมคลีน’ มาให้ฉันลองชิม แต่รสชาติมันก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่เป็นสรรพรสใดๆ ฉันแตะไปคำสองคำก็ไม่กินต่อ ยายนันท์เห็นว่าฉันไม่ชอบกินจึงไม่ซื้อมาให้อีก ฉันเคยมีปากเสียงกับยายนันท์เรื่องการห้ามฉันกินของหวาน ยายนันท์ก็ตอบว่า

“นันท์ไม่ได้ห้ามแม่ไม่ให้กินของหวานเลย ถ้าแม่อยากของหวานก็เปลี่ยนจากเบเกอรีหรือขนมไทยหวานๆ มาเป็นผลไม้ก็ได้นี่คะ”

ยายนันท์อนุญาตให้ฉันกินผลไม้ได้ ค่อยยังชั่ว ฉันยุติการตัดพ้อโต้เถียง เดินกลับขึ้นห้องนอน หมายมั่นปั้นมือว่าพรุ่งนี้จะได้กินผลไม้ให้ชื่นใจ

 

รุ่งขึ้นหลังจากยายนันท์ไปทำงานแล้ว ฉันก็โทร.เรียกนายแจ๊ดวินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย แจ๊ดรับงานเป็นพนักงานส่งเอกสารตามที่ต่างๆ ควบคู่ไปด้วย ยายนันท์ใช้งานเป็นประจำจึงเอาหมายเลขโทรศัพท์ของนายแจ๊ดทิ้งไว้ให้ฉัน

ชั่วอึดใจเดียวนายแจ๊ดก็มาถึงหน้าบ้าน ฉันส่งโพยรายการของที่ต้องการสั่งซื้อให้นายแจ๊ด “แจ๊ดไปร้านเจ้…ที่ตลาด…” ฉันเอ่ยชื่อตลาดและร้านขายผลไม้ที่ถือว่าเป็นแหล่งรวมของคัดสรรชั้นดีเยี่ยม “…ไกลหน่อยนะ คิดค่าใช้จ่ายมาเลย เดี๋ยวป้าทิปเพิ่มพิเศษ”

นายแจ๊ดพยักหน้ารับ “สบายครับคุณป้าแค่นี้เอง” นายแจ๊ดรับรายการสินค้าแล้วก้มหน้าอ่านดังๆ ให้ฉันได้ยิน เพื่อทวนว่าเข้าใจตรงกัน “ทุเรียนก้านยาวเกรดพรีเมียม เฉพาะเนื้อหนึ่งกิโล”

“อืม…” ฉันตอบรับ พร้อมหยิบเงินส่งให้สี่พันบาท

“ทำไมให้มามากมายนักล่ะครับคุณป้า” นายแจ๊ดถาม

“เมื่อปีก่อนป้าไปซื้อกิโลละสามพัน ปีนี้ก็น่าจะประมาณนั้นละ ขาดเหลือยังไงออกมาก่อนนะเดี๋ยวมาเอาที่ป้า”

นายแจ๊ดทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “คุณป้าจะกินเองเหรอครับ”

“อืม…” ฉันตอบ

“คุณนันท์บอกผมว่าคุณป้าเป็นทั้งความดัน ทั้งเบาหวาน คุณป้ากินทุเรียนได้เหรอครับ”

“กินได้สิ ถามป้าถามยายนันท์แล้ว เขาบอกว่ากินผลไม้ได้…นี่บอกร้านเขาว่าเอาแบบกรอบนอกนุ่มในนะ” ฉันตอบอย่างฉะฉาน

นายแจ๊ดยังทำหน้าม่อย “ไปเถอะ ยายนันท์มันไม่กล้าว่าแจ๊ดหรอก…”

นายแจ๊ดสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจตั้งท่าจะบิด “เดี๋ยวๆ แจ๊ดเดี๋ยว”

นายแจ็ดทำหน้าดีขึ้น “คุณป้าเปลี่ยนใจแล้วหรอครับ” พูดแล้วนายแจ๊ดก็กุลีกุจอควักเงินในกระเป๋าคืนฉัน

“เปล่า…” ฉันควักเงินให้นายแจ๊ดอีกหนึ่งพัน “…ป้าลืมไป ทุเรียนร้านเขามีแต่เนื้อไม่มีพูให้มาล้างน้ำกินแก้ร้อนใน นี่ช่วยซื้อมังคุดดีๆ มาอีกสองกิโลนะ จะได้กินตบท้ายแก้ร้อนใน…”

 

นายแจ๊ดนี่ก็ไวทายาด ไม่ทันเที่ยงดีก็เอาทุเรียนหนึ่งแพ็กใหญ่พร้อมมังคุดลูกอวบสีม่วงคล้ำสวยน่ากินมาส่งให้ฉัน ฉันเพิ่มทิปให้นายแจ๊ดไปอีกห้าร้อยบาทถ้วนพร้อมสั่งว่า “รู้กันแค่สองคนนะแจ๊ด”

“อ้าวไหนบอกว่าคุณนันท์ให้คุณป้ากินผลไม้ได้ ทำไม่บอกคุณนันท์ไม่ได้ละครับ” นายแจ็ดท้วง

“ป้าเบื่อยายนันท์มันน่ะ เดี๋ยวก็จะมาถามว่ากินไปมาน้อยเท่าไร กินผลไม้แล้วกินข้าวไปกี่ทัพพี น่ารำคาญ…เอาน่า รับไป แจ๊ดไม่พูด ป้าไม่พูดที่ไหนยายนันท์จะมารู้ วิน – วินทั้งสองฝ่าย”

นายแจ๊ดรับค่าจ้างพร้อมทิปไปอย่างลังเล ฉันเดาว่าถ้าความแตก นายแจ็ดต้องโดนยายนันท์เล่นงานฐานสมรู้ร่วมคิดด้วยเป็นแน่ ลูกสาวฉันมันเอาเรื่องน้อยไปเสียที่ไหน นายแจ็ดคงขยาดยายนันท์อยู่ในที จึงลังเลกล้าๆ กลัวๆ ที่จะรับเงิน แต่สุดท้ายฉันก็คะยั้นคะยอให้รับไป

นายแจ๊ดจากไปแล้ว ส่วนฉันก็นั่งมองทุเรียนที่นอนเรียงอยู่บนถาดโฟมแน่นๆ จำนวนหกพูอย่างเป็นสุข ฉันกะเกณฑ์ว่าอย่างไรเสียต้องกินให้หมดแล้วทำลายหลักฐานให้สิ้นซากก่อนยายนันท์จะกลับมา ส่วนมังคุด ทิ้งไว้ให้ยายนันท์เห็นได้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

วันนี้ฉันคงไม่กินข้าว เพราะแคลอรีของทุเรียนที่กินไปวันนี้คงพอๆ กับข้าวที่กินไปทั้งวัน ดังนั้นหากฉันกินทุเรียนแทนข้าวทั้งหมด ก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไร

ว่าแล้วฉันก็บรรจงหยิบทุเรียนพูแรกมากินอย่างชื่นฉ่ำหัวใจที่สุด มันช่างเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ เพราะนอกจากรสชาติจะถูกอกถูกใจแล้ว ฉันยังรู้สึกสนุกที่ได้แหกกฎที่ยายนันท์ตั้งไว้

 

ปฏิบัติการของฉันสำเร็จลุล่วงก่อนหกโมงเย็นตามแผน ฉันจัดการทุเรียนพูสุดท้ายเสร็จแล้ว ก็นำเอาเม็ดทุเรียนและถาดโฟมเดินออกไปทิ้งที่ถังขยะซึ่งอยู่ห่างจากบ้านออกไปอีกหนึ่งซอย

ฉันกลับมานั่งกินมังคุดปิดท้ายแก้ร้อนในอีกสี่ซ้าห้าผลอย่างสบายใจ

วันนี้ยายนันท์กลับบ้านมาไวผิดปกติ คำถามแรกที่ยายนันท์ถามคือ “แม่กินข้าวเย็นยังคะ”

“เย็นนี้ไม่กินข้าวเย็นแล้วละ แม่กินผลไม้แล้ว” ฉันบุ้ยปากให้ยายนันท์ดูกองเปลือกมังคุดในตะกร้า

“ค่ะ” ยายนันท์ตอบสั้นๆ วางกระเป๋าสัมภาระแล้วเดินเข้าครัวไป

ยายนันท์กลับบ้านเร็วผิดปกติ ในใจฉันก็ตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่านายแจ็ดจะแปรพักตร์ไปสารภาพกับยายนันท์เพื่อเอาตัวรอดก่อน ระหว่างที่หัวใจยังเต้นไม่เป็นปกตินั้น ยายนันท์ก็เรียกฉันดังแหวมาจากในครัว

“แม่!…” ก่อนจะเดินลิ่วมาหาฉัน “…วันนี้แม่แอบกินทุเรียนใช่ไหม” ยายนันท์ถามฉันตรงๆ ก่อนที่จะมานั่งตรงข้ามกับฉันแล้วจ้องหน้าอย่างคาดคั้น

พิโถพิถัง ยายนันท์นี่มันจ้องจะล้างแค้นฉันหรือยังไง ท่าทางที่มันจ้องจับผิดฉันวันนี้ช่างไม่ต่างกับเมื่อตอนยายนันท์เด็กๆ ที่เมื่อทำผิดแล้วถูกฉันจับมานั่งจ้องตาสอบหาความจริง

ลูกนั่งจ้องหน้าฉันเพื่อเค้นเอาความ ฉันตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่ทุเรียนเจ้ากรรมในท้องของฉันไม่ยอมให้ความร่วมมือ เพียงฉันอ้าปาก ลมในอกก้อนใหญ่ก็ระเบิดออกมา “เอิก…” เสียงดังไม่น้อย และแน่นอนเสียงดังกลิ่นก็ย่อมแรงไม่น้อยด้วยเช่นกัน ไม่ต้องแก้ตัวใดๆ หลักฐานทั้งมวลมากองอยู่ตรงหน้ายายนันท์แล้ว

ฉันรู้สึกพลาดท่าไม่น้อย อุตส่าห์วางแผนปกปิดเสียดิบดี มาพลาดเอาง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ฉันรีบใช้มุกโวยวายเข้ามากลบเกลื่อนทันที

“นี่นายแจ๊ดมันโทรไปฟ้องแกใช่ไหม…”

“อ๋อ…แม่ให้นายแจ๊ดไปซื้อให้นี่เอง เดี๋ยวนันท์จะเล่นงานมัน”

วันนี้ดวงชะตาฉันคงตกเลขไม่ดี หรือไม่ตอนที่ฉันก้าวเท้าออกจากประตูบ้านเพื่อไปสั่งให้นายแจ๊ดซื้อทุเรียนคงก้าวเท้าผิดข้าง จึงทำอะไรก็ติดขัดไปหมด คำพูดของฉันเปิดเผยผู้ร่วมขบวนการด้วย ไม่แคล้วนายแจ๊ดคงต้องรับพายุอารมณ์ของยายนันท์ ประโยคที่ว่า ‘แจ๊ดไม่พูด ป้าไม่พูดที่ไหนยายนนัท์จะมารู้ วิน – วินทั้งสองฝ่าย’ ลอยเข้ามาในหูฉัน

‘แจ๊ดเอ๋ยป้าขอโทษ…’ ฉันรำพึงในใจ ก่อนที่จะบอกตัวเองต่อว่า ‘ก่อนจะห่วงนายแจ๊ด ห่วงตัวเองก่อนเถิด ดูหน้ายายนันท์ตอนนี้สิ โกรธยิ่งกว่าอะไรดีเสียอีก’

“ถ้านายแจ๊ดไม่ได้ฟ้อง แล้วแกจะรู้ได้ยังไงยายนันท์” ฉันถาม ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรคือความผิดพลาดของแผนการนี้

“แม่เก็บทุเรียนไว้ในตู้เย็นใช่ไหมคะ แม่รู้ไหมคะว่าต่อให้แม่เอามันออกจากตู้เย็นแล้วกลิ่นมันยังอยู่ และคนที่กินทุเรียนกับยังไม่ได้กิน มันได้กลิ่นไม่เท่ากันค่ะ”

ฉันยิ้มแห้ง แต่ก็ไม่ยอมรับผิดง่ายๆ หรอก “แต่แกจะมาว่าแม่ไม่ได้นะ ก็เมื่อคืนแกอนุญาตเองให้แม่กินผลไม้ได้”

ยายนันท์ตบหน้าผากตัวเองด้วยความระอาอย่างที่สุด “แม่!… แต่แม่กินทุเรียน”

“แล้วทุเรียนมันไม่ใช่ผลไม้เหรอ” ฉันเถียงข้างๆ คูๆ

“แม่รู้ไหมค่ะว่าทุเรียนมันทั้งหวานทั้งมัน ทุเรียนจะทำให้ทั้งความดันและระดับน้ำตาลแม่สูงขึ้น”

“โอ้ย ไม่ต้องห่วงหรอก แม่สั่งให้นายแจ๊ดซื้อแบบกรอบนอกนุ่มในมา แถมยังเป็นพันธุ์ก้านยาวไม่หวานมากหรอกนันท์สบายใจได้” ฉันรีบอธิบาย

ยายนันท์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก่อนเดินหายเข้าห้องส่วนตัว สักพักฉันก็ได้ยินเสียงล้งเล้งโวยวายดังออกมา ฉันสังหรณ์ใจว่าจากนี้ไปฉันคงเสียแนวร่วมในขบวนการลักลอบกินทุเรียนอย่างนายแจ๊ดไปเสียแล้ว สักพักก็เป็นเสียงเหมือนยายนันท์กำลังปรึกษาใครสักคน ฉันเดาว่ายายนันท์คงโทร.ไปฟ้องตานะตามเคย

ฉันไม่สนใจ เดินขึ้นมาอาบน้ำอย่างเป็นสุข…

คืนนี้ฉันคงนอนหลับอย่างสบายใจ อาจจะแค่รู้สึกไม่สบายท้องบ้างเพราะอัดทุเรียนลงไปโดยไม่กินอะไรเลยทั้งวันเท่านั้นเอง…

 

รุ่งเช้าฉันตื่นมาพร้อมความรู้สึกมึนหัว และตึงๆ บริเวณต้นคอ คงเป็นเพราะเมื่อคืนตื่นกลางดึกหลายครั้งเพราะรู้สึกไม่สบายท้องนั้นเอง

ฉันลงมาจากห้องนอน พบว่ายายนันท์เตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้ว ที่หน้าตู้เย็นมีตารางรายการผลไม้และปริมาณในการกินที่ยายนันท์อนุญาตติดอยู่

“ตื่นแล้วหรือคะแม่ อย่าเพิ่งทานอะไรนะคะ นันท์ขอเจาะดูน้ำตาลในเลือดกับวัดความดันก่อน”

ยายนันท์จับฉันวัดความดันโลหิต และเจาะดูค่าน้ำตาลในเลือด

“น้ำตาลเกินมาจากครั้งก่อนที่วัด ส่วนความดันวันนี้สูงมากค่ะ เดี๋ยวแม่พักอีกสักสิบห้านาที นันท์จะวัดซ้ำ”

ผลการวัดซ้ำก็คือ ความดันยังสูงอยู่ดี

“ทั้งน้ำตาลและความดันน่าจะเพราะจากทุเรียนก้านยาว กรอบนอกนุ่มใน หวานน้อย ที่แม่กินไปคนเดียวทั้งกิโลเมื่อวานนี้ละค่ะ” ยายนันท์พูดหน้านิ่ง ฉันละอยากรู้จริงๆ ว่านิสัยเจ้ากี้เจ้าการและช่างประชดประชันของยายนันท์นี้ได้มาจากใคร

“ทั้งความดันและน้ำตาล สงสัยนันท์ต้องควบคุมอาหารของแม่อย่างเข้มงวดอย่างน้อยๆ ก็เดือนนี้ทั้งเดือน นันท์ทำอาหารคลีนไว้ให้แล้วทั้งสามมื้อ แม่อุ่นกินเองนะคะ ห้ามสั่งอย่างอื่นเข้ามากินระหว่างที่นันท์ไปทำงาน เพราะถ้าแม่ไม่ให้ความร่วมมือเดือนหน้าไปหาหมอแล้วน้ำตาลยังสูงปรี๊ดขนาดนี้ นันท์รับรองเลยคะ คุณหมอต้องเปลี่ยนจากยาลดน้ำตาลแบบกิน เป็นให้ฉีดอินซูลีนทุกวันแน่นอน นันท์ไม่ได้ขู่นะคะ ถ้าแม่อยากตื่นมาแล้วต้องฉีดอินซูลีนทุกวันก็แล้วแต่แม่ค่ะ” ยายนันท์พูดไปเก็บครัวไปเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก่อนจะหันมาถามว่า

“รู้สึกมึนๆ ตึงๆ หัวใช่ไหมคะ…” ฉันพยักหน้ารับ

“…เพราะวันนี้ความดันแม่สูงมากค่ะ นันท์ขอให้วันนี้แม่ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ โดยเฉพาะอย่าปีนขึ้นที่สูง อย่างเก้าอี้ เพราะแม่อาจหน้ามืดตกลงมาได้ ทางที่ดีวันนี้นอนพักเฉยๆ ดีกว่านะคะ” สั่งจบยายนันท์ก็ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วหยิบกระเป๋าทำงานเตรียมออกไปทำงาน

ฉันกินยาลดน้ำตาลและความดันโลหิตสักครู่แล้วจึงลงมือกินข้าวต้มกับไข่ตุ๋นจืดๆ และแอปเปิลเขียวหนึ่งชิ้นที่ยายนันท์เตรียมไว้ให้เป็นอาหารเช้า ฉันเปิดดูในตู้เย็นมีกล่องอาหารที่มีป้ายกำกับว่ามื้อเที่ยงและมื้อเย็นอย่างเบื่อหน่าย

คงจะเพราะถูกบังคับเรื่องอาหารและอาการความดันสูงที่ทำให้ฉันรู้สึกมึนหัว วันนี้ฉันจึงรู้สึกไม่สดใสและมีความสุขอย่างเมื่อวาน หลังจากกินข้าวเสร็จฉันอยากจะเดินย่อยที่สวนหย่อมเล็กๆ หน้าบ้าน แต่ความรู้สึกเวียนหัวทำให้ฉันล้มเลิกความคิด ฉันเลือกมานั่งพักย่อยอาหารหน้าโทรทัศน์ เปิดดูรายการต่างๆ อย่างไม่ค่อยสนใจอะไรนัก สักพักใหญ่พอที่อาหารจะย่อยดีแล้วฉันก็ล้มตัวลงนอนที่เก้าอี้นวมหน้าโทรทัศน์

ความรู้สึกอยากอาหารเที่ยงของฉันมีน้อยมาก จึงไม่กินอาหารจานหลักที่ยายนันท์เตรียมไว้ให้ เลือกดื่มแต่นมธัญพืชปราศจากน้ำตาลที่จัดเป็นอาหารเสริมคู่กับอาหารจานหลักแล้วล้มลงนอนพักผ่อนต่อ

บ่ายแก่ๆ เครือแก้ววิดีโอคอลจากบ้านพักในโครงการฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงวัย เมื่อเห็นสีหน้าฉันไม่สู้ดีก็สอบถาม ฉันตอบตามความจริงทุกอย่าง เครือแก้วดุฉันอีกกระบุงโกย

“ยายกุนเธอนี่มันยังไง วัยกลับหรือ ฉันเห็นเมื่อก่อนตอนเป็นเด็กๆ นะ บรรดาทุกคนในกลุ่มเพื่อนเรา เธอเป็นคนเดียวที่มีวินัยในการใช้ชีวิตมาก แต่นี่อะไรพอแก่ตัวกลับยิ่งทำตัวเลอะเทอะ”

“ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรยายแก้ว ยิ่งลูกห้ามฉันยิ่งรู้สึกต่อต้านอยากท้าทาย ฉันมั่นใจของฉันว่า สิ่งที่ฉันทำมันถูกต้อง และสามารถทำได้ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไร”

“นี่ไงที่ฉันว่าวัยกลับ กุน เรามันแก่แล้วนะ อะไรๆ ก็ไม่ดีเหมือนก่อน แม้จะมีประสบการณ์เพราะเห็นโลกมามาก แต่การตัดสินใจก็ไม่ได้ว่องไวเฉียบคมเหมือนตอนหนุ่มๆ สาวๆ แล้ว ดังนั้นอะไรที่ลูกมันห้ามก็ฟังมันบ้าง โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพนี่”

“แต่เครือ ฉันรำคาญยายนันท์เหลือทน บงการชีวิตฉันทุกอย่าง ทำอย่างกับฉันเป็นเด็กๆ ไปได้” ฉันตัดพ้อ

“เธอโชคดีกว่าคนอื่นๆ มากนะกุนที่มีลูกดูแลเอาใจใส่ ดูฉันสิ อยากมีคนดูแลอย่างยายนันท์ ก็ไม่มี ต้องมาจ้างคนอื่นดูแลแบบนี้ คนที่จ้างเขาก็ดูแลดีอยู่หรอกเธอ แต่เขาทำตามหน้าที่ หมดหน้าที่หมดเวลางานเขาก็ไป แต่ยายนันท์มันทำเพราะเป็นลูก ทำด้วยใจที่รักและเป็นห่วงแม่แก่ๆ ดื้อๆ ของมัน เธอมองเห็นในความโชคดีข้อนี้บ้างไหมกุน…” เครือแก้วพยายามอธิบายให้ฉันเข้าใจในอีกมุมมองหนึ่ง“… พอฉันไม่พูดละ บ่นมากจนสีหน้าเธอไม่สู้ดีแล้ว นอนพักอีกนิดเถอะ แล้วฉันจะโทรมาหาใหม่” เครือแก้วจบการสนทนาแค่นั้น

สิ่งที่เครือแก้วพูดฉันเข้าใจดี แต่ก็รู้สึกไม่ได้ว่าการที่ถูกลูกควบคุมเช่นนี้ ช่างดูเหมือนตัวเองจะเป็นคนไร้คุณค่า ไร้ความสามารถจนต้องมีคนคอยกำกับดูแลไปทุกอย่าง ฉันที่เคยดูแลทุกอย่างของบ้าน เป็นคนที่รับผิดชอบทุกเรื่องของครอบครัว เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องตัดสินใจชี้ขาดเรื่องต่างๆ ทุกอย่างในบ้านล้วนอยู่ในมือฉัน มาบัดนี้ฉันเหมือนคนที่ไร้ความสามารถ มันทำให้ฉันรู้สึกลดทอนคุณค่าในตัวเอง ซึ่งแน่นอนฉันไม่อาจยอมรับ ดังนั้นจึงพยายามไม่ทำตามสิ่งที่ลูกขอร้องแกมสั่ง เพราะอย่างน้อยฉันก็ยังพอพิสูจน์ได้ว่าฉันยังมีความสามารถในการจัดการสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ฉันยังมีคุณค่าทั้งต่อตัวเองและครอบครัวของฉัน

ฉันคิดทบทวนเรื่องที่เครือแก้วพูด และทบทวนความรู้สึกของตนเองจนหลับไปบนเก้าอี้นวมตัวเดิม

ฉันตื่นมาอีกครั้งก็เย็นย่ำใกล้จะหมดแสงเต็มที อาการมึนหัวดีขึ้นมาก ฉันลุกขึ้นไปเพื่อจะเปิดไฟส่องแสงสว่างในบ้าน แต่เจ้ากรรมหลอดไฟกลางห้องนั่งเล่นพร้อมใจกันขาดเสียทั้งสองดวง ฉันเดินไปหยิบหลอดไฟในตู้เก็บของ แล้วยกเก้าอี้มาเพื่อจะปีนเปลี่ยนหลอดไฟที่ขาด เพราะกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้หมดแสงจะยิ่งลำบาก ด้วยแสงธรรมชาติที่กำลังลดน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนแสงจากหลอดไฟดวงอื่นก็ไม่สว่างมากพอมาถึงจุดนี้

ฉันปีนเก้าอี้ก้มๆ เงยๆ สาละวนเพื่อถอดหลอดไฟเก่าและเปลี่ยนหลอดใหม่ การเปลี่ยนหลอดไฟดวงแรกผ่านไปด้วยดี แต่เมื่อมาถึงดวงที่สองการก้มๆ เงยๆ ซึ่งฉันพยายามทำอย่างรวดเร็วเพื่อแข่งกับแสงอาทิตย์ที่กำลังจะหมดนั้น ทำให้ฉันรู้สึกหน้ามืดอย่างฉับพลัน

จากนั้นสติของฉันก็วูบดับไปกับแสงสุดท้ายของวัน

 



Don`t copy text!