ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 5 : วันเคลื่อนเดือนผ่าน (1)
โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ
ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co
เมื่อฉันตัดสินใจว่าจะย้ายมาอยู่บ้านเดิมของพี่ติ ฉันก็จัดการแบ่งมรดกของพ่อแม่ให้น้อง ซึ่งของชิ้นใหญ่เพียงอย่างเดียวคือบ้านหลังนั้น ฉันตัดใจยกให้น้องเป็นสิทธิ์ขาด แม้ฉันจะรู้สึกเสียดายเพราะบ้านหลังนั้นมีความทรงจำที่ดีอยู่มากมายก็ตาม นอกจากบ้านยังมีที่ดินที่ต่างจังหวัดอีกไม่กี่แปลงซึ่งไม่มีราคาค่างวดมากนัก ธารีบอกว่าที่ดินที่ต่างจังหวัดไกลๆ นั้นยกให้ฉัน ตอบแทนที่ฉันยกบ้านให้ธารี ส่วนที่เหลือเป็นเงินเก็บบางส่วน เมื่อรวมกับเงินสินไหมทดแทนจากบริษัทประกัน และเงินบำเหน็จตกทอดจากทางราชการแล้ว เราสามารถรวบรวมเป็นเงินสดเกือบสามล้านบาท ซึ่งถือว่ามากในสมัยนั้น ฉันไม่แปลกใจเลยเพราะทั้งพ่อและแม่ใช้จ่ายอย่างประหยัดมากตลอดชีวิตของท่าน เราตกลงแบ่งเงินกันคนละครึ่ง ส่วนเครื่องประดับของแม่อีกเล็กน้อย ฉันให้น้องเลือกก่อนแล้วชิ้นที่เหลือจึงตกเป็นของฉัน เป็นอันว่าเรื่องมรดกของพ่อแม่เป็นอันยุติไป
จากนั้นมาชีวิตของฉันและธารีก็เหมือนห่างกันออกไป ด้วยหน้าที่การงานและวิถีชีวิตที่ไม่ค่อยจะเข้ามาเกี่ยวข้องกัน
หลังจากที่ฉันและลูกๆ ย้ายเข้ามาอาศัยในบ้านเดิมของพี่ติ และปรับตัวกับสภาพแวดล้อมตลอดจนการดำเนินชีวิตได้โดยใช้ระยะเวลาที่ไม่นาน
เมื่อทุกอย่างเข้าที่ก็เหมือนรถสปอร์ตที่ได้วิ่งบนถนนออโต้บาร์น ทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวก็ก้าวหน้าแล่นฉิ่วไปพร้อมกัน ลูกๆ ทั้งสองช่วยฉันได้มาก โดยเฉพาะเรื่องการเรียนทั้งคู่ตั้งใจเรียนอย่างดีโดยที่ฉันไม่ต้องจำจี้จำไช ฉันเคยได้ยินตานะเตือนยายนันท์ที่ช่วงนั้นกำลังเริ่มจะเฮ้วๆ ตามเพื่อนว่า ‘นันท์ก็เพลาๆ เรื่องดื้อกับแม่บ้าง นันท์ก็น่าจะรู้ว่าแม่เหนื่อยแค่ไหน ทั้งเรื่องงานทั้งเรื่องในบ้าน’
ความจริงความดื้อของยายนันท์ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงอะไร ก็แค่ใช้ชีวิตไม่เป็นระเบียบบ้างในบางคราว เช่น แอบคุยโทรศัพท์กับเพื่อนในกลุ่มจนดึก ซึ่งเรื่องนี้ฉันก็ไม่กังวลเพราะคนที่ยายนันท์คุยกันจนดึกก็คือเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มเดียวกัน ฉันขอสารภาพตรงนี้ว่าเคยแอบฟังลูกว่าเขาคุยกับเพื่อนเรื่องอะไร เมื่อรู้ว่าเขาคุยกันเรื่องดารานักร้องในดวงใจ แอบเมาท์เรื่องเพื่อนร่วมชั้น หรือเพื่อนต่างโรงเรียนที่พบในที่เรียนพิเศษ ซึ่งตามที่ว่ามาก็ไม่น่าใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงนัก แต่ที่ฉันรู้สึกแปลกใจและขันในการคุยโทรศัพท์ของยายนันท์คือ ยายนันท์และเพื่อนต่างเปิดวิทยุคลื่นหนึ่งฟังไปด้วยคุยกันไปด้วย บางทีก็กรี๊ดกราดให้กันผ่านโทรศัพท์เมื่อดีเจเปิดเพลงที่ถูกใจ
ความเฮี้ยวและเฮ้วของยายนันท์หนักข้อขึ้น จนตานะต้องออกโรงเตือนน้องคือ คืนวันหนึ่งในวันหยุด ยายนันท์ลงมาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนกลางดึกพร้อมเปิดวิทยุไปพร้อมกัน ขณะนั้นฉันรู้สึกกระหายน้ำจะลงมาหาน้ำดื่ม จึงทราบว่ายายนันท์ฟังรายการวิทยุที่ดีเจเปิดสายให้คนโทร.มาเล่าเรื่องผี หูหนึ่งของยายนันท์แนบโทรศัพท์คุยกับเพื่อน อีกหูหนึ่งก็ตั้งใจฟังวิทยุจึงไม่รู้ว่าฉันออกมาจากห้องและยืนฟังอยู่ เพื่อนของยายนันท์ที่ปลายสายคงจะนึกคะนอง จึงพูดอะไรบางอย่างกับยายนันท์ ฉันได้แต่เดาเอาจากคำตอบของยายนันท์ได้ว่าเด็กๆ กำลังจะทำอะไร
“แกจะไปจริงๆ หรอ บ้า น่ากลัว”
“ฉันไม่ได้ปอดลอย แกอย่ามาท้าทายฉันนะ”
“โอเคเลยฉันรับคำท้า แกขับไปรับจอยกับแนนก่อนเลย แล้วค่อยวนมารับฉัน ฉันขอไปสังเกตการณ์ก่อนว่าแม่หลับยัง”
“โอเคตามนี้… ”
ลูกวางสายโทรศัพท์ไปแล้วแต่รายการวิทยุยังไม่จบ ฉันเดาได้ทันทีว่าขณะที่เด็กๆ ฟังรายการผีอยู่นั้น ก็เกิดอุตริอยากไปทัวร์บ้านผีที่มีคนมาเล่าในรายการ ฉันรีบเดินโหย่งเท้าเข้าห้องปิดไฟ แสร้งทำเป็นนอนหลับแล้ว และไม่รู้ไม่เห็นว่าลูกจะทำอะไร
ฉันลากเก้าอี้มานั่งสังเกตว่าเมื่อไหร่รถของเพื่อนยายนันท์จะมาจอดที่หน้าบ้าน
สักครึ่งชั่วโมงก็มีรถซีดานคันหนึ่งขับมาจอดที่หน้าบ้าน ฉันมั่นใจเต็มที่ว่าต้องเป็นรถเพื่อนของยายนันท์ เพราะรถคันนั้นดับไฟหน้าก่อนจะขับมาจอดที่หน้าประตูรั้วบ้านฉัน ฉันเงี่ยหูฟังได้ยินเสียงแกร็กของลูกบิดประตูบ้าน จึงรีบเดินตามลงมาทั้งชุดนอน ยายนันท์คงใจจดใจจ่อกับการจะหนีออกไปกับเพื่อนจนไม่ระแวงว่าฉันเดินตามมาข้างหลังอย่างเงียบๆ
ที่หน้าประตูรั้ว มีเพียงแสงไฟบางๆ จากโคมไฟที่หัวเสา และแสงไฟจากเสาไฟข้างทางที่ไม่สู้สว่างนัก ประกอบกับบ้านฉันมีต้นไม้สูงหลายต้นให้ร่มเงาในกลางวัน แต่เมื่อถึงกลางคืนความร่มรื่นก็ทำให้ดูน่าวังเวงได้เช่นกัน ยายนันท์ลุกลี้ลุกลนเปิดประตูรั้ว ส่วนเพื่อนยายนันท์ก็ส่งมือส่งไม้เป็นท่าทางบอกให้ยายนันท์รีบๆ เปิด โดยไม่ได้สนใจว่าฉันเดินตามมา กว่าเพื่อนกลุ่มแสบของยายนันท์จะหันมาเห็นฉัน ฉันก็ยืนอยู่หลังยายนันท์เสียแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศร่มครึ้มมีเพียงแสงจันทร์ส่องผ่านพุ่มไม้ลงมาเพียงรำไร หรือเพราะชุดนอนผ้าซาตินสีขาวที่บางพลิ้ว หรือเพราะลักษณะทางกายภาพของฉันที่เตรียมพร้อมจะนอนที่ทำให้กลุ่มเพื่อนแสบของยายนันท์ที่นั่งรอในรถหวีดขึ้น
“กรี๊ด…ผี บ้านนันท์มีผี…” ก่อนจะบึ่งรถออกไปอย่างเร็ว ส่วนยายนันท์ก็ทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกจริงๆ นั่นแหละ ฉันเห็นแกหน้าซีดก่อนจะล้มแปะลงไปนั่งกับพื้น แล้วครางออกมาอย่างรู้ชะตากรรมว่า “แม่…”
ฉันให้ยายนันท์โทร.ไปที่บ้านของกลุ่มเพื่อนแสบเพื่อให้สบายใจว่าไม่ตกใจจนเตลิดแล้วเกิดอุบัติเหตุ ปรากฏว่าเพื่อนๆ ทุกคนปลอดภัยดี ฉันถืออำนาจสั่งให้ยายนันท์กดปุ่มเปิดลำโพงโทรศัพท์เพื่อคุยกับเพื่อนๆ เพราะอยากรู้ว่าเด็กๆ ปรกติดีไม่ได้ขวัญหนีดีฝ่อจนป่วยไข้ไป จากปลายสายทำให้ฉันทราบว่าเจ้าแก๊งนี้ไม่ได้คลายความแสบลงไปเลย เพราะฉันได้ยินเสียงแว่วจากปลายสายว่า “เฮี้ยนกว่าบ้านผี ดุกว่าบ้านผี ก็แม่นันท์นี่ละ” อีกคนก็ว่า “คราวนี้แป้งได้มีเรื่องไปเล่าให้พี่แป๋งฟังในรายการแล้ว”
ฉันโกรธยายนันท์ยกใหญ่ที่คิดแผลงๆ ถึงขั้นกล้าออกไปในที่รกร้างกลางดึก แกจะรู้ไหมว่าที่น่ากลัวกว่าผีคือภัยที่แอบซ่อนอยู่ในที่รกร้างเช่นนั้น ตั้งแต่สัตว์มีพิษจนไปถึงคนร้ายที่ซุ่มอยู่
ตานะคงได้ยินเสียงหวีดจากเพื่อนยายนันท์จึงตื่นลงมาดู พี่น้องคงคุยกันเอง ตานะจึงปรามน้องไปเช่นนั้น
ฉันเดินเข้าห้องนอนแล้วเดินไปหยุดที่หน้ากระจกบานใหญ่ ฉันส่องสำรวจทั่วทั้งร่างว่ามีส่วนที่ไหนที่ผิดประหลาดน่าสยดสยองทำให้เพื่อนยายนันท์ตกใจกลัวจนเตลิดหรือไม่ ฉันใช้เวลาอยู่หน้ากระจกถึง 10 นาที จึงได้ข้อสรุปให้แก่ตัวเองว่า เพื่อนยายนันท์น่าจะตกใจบรรยากาศที่ร่มครึ้ม…
หลังจากเหตุการณ์นั้นยายนันท์ ก็ลดการคุยโทรศัพท์ลงและอยู่ในร่องในรอยมากขึ้น ฉันรู้ดีว่าเด็กๆ ย่อมต้องมีมุมเฮี้ยวมุมแสบที่ตัวเองแอบซ่อนไม่ให้พ่อแม่รู้ ฉันก็ทำได้แค่สอดส่องสังเกต หากเรื่องไหนไม่ร้ายแรงก็แค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่หากเรื่องไหนจะนำไปสู่ปัญหาใหญ่ ฉันก็จะรีบกำราบทันที อาจจะเป็นเพราะกรรมดีที่ฉันไม่เคยสร้างปัญหาให้พ่อแม่ปวดหัว ลูกๆ ทั้งสองแม้จะดื้อบ้าง แสบบ้างตามประสาเด็ก แต่ก็ไม่เคยสร้างปัญหาใหญ่อะไรให้ฉันเลยจนเรียนจบปริญญาตรีกันไปทั้งคู่
ตานะเอาดีไปทางพ่อคือสอบบรรจุเข้ารับราชการ เขาได้ตำแหน่งบรรจุที่จังหวัดแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ดังนั้นตานะจึงสามารถกลับมาเยี่ยมบ้านได้สัปดาห์เว้นสัปดาห์ ส่วนยายนันท์ก็เรียนในสาขาที่เด็กในสมัยนั้นนิยมเรียนกันมาก คือ คณะนิเทศศาสตร์ ยายนันท์เลือกเรียนสาขาประชาสัมพันธ์ เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานในฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ของหน่วยงานระหว่างประเทศแห่งหนึ่ง ทำให้ฉันหมดห่วงไปอีกเปลาะที่สามารถดูแลส่งเสียลูกๆ จนเรียนจบและเลี้ยงตัวเองได้
เมื่อหมดภาระหนักเรื่องลูกๆ ฉันก็สามารถทุ่มเทกับงานที่ฉันรักได้อย่างเต็มที่ เมื่อผลงานของฉันเข้าตาผู้บริหารบวกกับประสบการณ์ในอาชีพทำให้ฉันมองขาดในเรื่องสำคัญๆ มาโดยตลอด ฉันจึงได้รับความไว้วางใจ
สุดท้าย 5 ปีก่อนที่ฉันจะเกษียณ ฉันจึงได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาระดับสูงของบริษัท โดยมีหน้าที่ควบคุมดูแลกลุ่มงานบัญชีของบริษัทและให้คำปรึกษาแก่คณะผู้บริหารชุดใหญ่ตามแต่เรื่องที่ได้รับการร้องขอความคิดเห็น เกือบจะ 30 ปีเต็มทีที่ฉันทำงานในบริษัทนี้ จากบริษัทเล็กๆ จนวันนี้ได้กลายเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งฉันก็ได้เจียดเงินเดือนลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทไว้บ้างเล็กน้อยตามกำลัง
ส่วนทางด้านพี่ติก็ก้าวหน้าในหน้าที่การงานจนถึงขั้นเป็นปลัดจังหวัด ทุกคนคาดว่าพี่ติน่าจะเกษียณอายุราชการในตำแหน่งนี้ พี่ติเองก็ดูที่จะไม่เดือดร้อนนัก ถึงแม้เพื่อนร่วมรุ่นบางท่านจะก้าวหน้าถึงขั้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดไปแล้วก็มี แต่ไม่ว่าพี่ติจะเป็นปลัดอำเภอหนุ่ม หรือปลัดจังหวัดใกล้เกษียณอายุราชการก็ดี พี่ติก็ไม่เคยละเลยเรื่องการดูแลฉันและลูก ทุกเดือนพี่ติจะส่งค่าใช้จ่ายมาไม่ได้ขาด ฉันเดาว่าพี่ติน่าจะเจียดเงินเดือนครึ่งหนึ่งส่งให้ฉันเพื่อดูแลลูกๆ เพราะเงินที่ได้นั้นจะเพิ่มขึ้นทุกปีตามขั้นเงินเดือนของเขา ฉันไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเงินที่พี่ติส่งมานั้นช่วยให้ฉันดูแลลูกได้ดีขึ้น ทั้งตานะและยายนันท์ต่างก็ได้มีโอกาสเรียนกวดวิชา มีโอกาสได้ท่องเที่ยวยามปิดเทอม ก็เพราะมีเงินรายเดือนก้อนนี้มาช่วยให้ฉันไม่ตึงมือ
เมื่อยายนันท์เรียนจบและมีงานทำดูแลตัวเองได้ พี่ติก็เหลืออายุราชการไม่ถึงสิบปีแล้ว ฉันหวนนึกถึงว่าหากวันหน้าพี่ติเกษียณไป ลำพังเงินบำนาญก็คงไม่อาจทำให้พี่ติมีเงินพอใช้สอยได้สะดวกยามเกษียณ จึงตัดสินใจบอกให้พี่ติงดส่งเงินมาให้ฉันเพื่อใช้ดูแลลูกๆ เพราะอย่างน้อยอายุราชการที่เหลือเงินที่พี่ติส่งมานี้ก็น่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่พอให้พี่ติใช้ได้ยามเกษียณนอกเหนือจากเงินบำนาญ ส่วนลูกๆ ก็เห็นด้วยตามที่ฉันคิด พี่ติรับฟังข้อเสนอของฉัน แต่เมื่อสิ้นเดือนพี่ติก็ยังคงโอนเงินมาเข้าบัญชีฉัน แต่ลดส่วนลงครึ่งหนึ่งจากที่เคยส่งมา
‘ถึงลูกจะเรียนจบแล้ว แต่พี่ก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอย่างอื่นอยู่…’ พี่ติส่งข้อความสั้นผ่านทางโทรศัพท์มาเช่นนั้น ฉันรู้ดีกว่าถึงจะพูดอย่างไรพี่ติก็ไม่มีทางล้มเลิกความคิดของตนเอง จึงตั้งใจว่าจะไม่ใช้เงินส่วนที่พี่ติส่งมานี้ ฉันจะเก็บไว้คืนพี่ติยามที่พี่ติลำบากและต้องการใช้มัน
ปีสุดท้ายของการทำงาน ฉันเร่งส่งมอบงานให้กับดุษฎีรุ่นน้องในแผนกที่เป็นผู้ช่วยของฉัน ปลายปีนี้แล้วที่ฉันต้องยุติบทบาทการทำงานที่นี้ แล้วพักผ่อนจากที่ตรากตรำทำงานมานานหลายปี
เมื่อต้นปีที่ผ่านมาประธานบอร์ดบริหารเรียกฉันเข้าไปพบเพื่อขอความเห็นว่าหลังจากที่ฉันเกษียณแล้ว ฉันยังยินดีที่จะต่ออายุงานหรือไม่ ฉันตอบปฏิเสธอย่างไม่ลังเล แต่ยังรักษาน้ำใจของประธานบอร์ดบริหารว่ายินดีเป็นที่ปรึกษาเป็นคราวๆ ไป หากมีเรื่องที่เร่งด่วนหรือจำเป็น เมื่อเป็นเช่นนี้ประธานและบอร์ดบริหารจึงถามฉันว่า มีใครที่ฉันเห็นควรว่าสามารถรับหน้าที่แทนฉันได้ ฉันจึงเสนอชื่อดุษฎีไป และรับปากว่าจะช่วยตระเตรียมให้ดุษฎีมีความสามารถมากพอที่จะรับหน้าที่แทนฉันต่อไป
ดุษฎีค่อนข้างกังวลกับตำแหน่งและภาระงานใหม่ที่กำลังจะต้องรับผิดชอบในอนาคต ดังนั้นจึงพยายามเรียนรู้งานอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังไม่วายมีความกังวลอยู่
“พี่กุนขา เรื่องระบบงานต่างๆ ดุษไม่กลัวหรอกค่ะ ทำงานกับพี่กุนมานาน ดุษพอจะเข้าใจบ้างแล้ว แต่พี่กุนก็รู้ว่า บางเรื่องต้องอาศัยประสบการณ์ในการตัดสินใจ ดุษกลัวจะทำได้ไม่ดีเท่าที่พี่กุนทำ”
“พี่ว่าดุษต้องทำได้ดีแน่นอน” ฉันให้กำลังใจ
“ขอบคุณพี่กุนนะคะ แต่ดุษอยากขอร้องพี่กุนว่า หากวันหน้าดุษมีเรื่องไม่แน่ใจหรือต้องการคำปรึกษาเรื่องงาน ดุษจะขอความกรุณาจากพี่กุนนะคะ”
ฉันตอบรับด้วยความยินดี
ผู้ใหญ่เคยกล่าวว่าสองสิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่ย้อนกลับ คือเวลาและวารี บัดนี้ฉันเห็นด้วยกับความจริงในข้อนั้น งานเลี้ยงแสดงมุทิตาจิตเกษียณอายุงานปลายปีของบริษัทเป็นไปด้วยความอบอุ่นซาบซึ้ง น้องๆ ในแผนกต่างก็ไปค้นหาภาพของฉันในขณะทำงานหรือทำกิจกรรมของบริษัทเท่าที่จะสามารถหาได้ มาร้อยเรียงตามลำดับ ตั้งแต่พนักงานบัญชีเล็กๆ นั่งทำงานอย่างคร่ำเคร่งบนโต๊ะไม้อัดแบบเก่า จนถึงภาพการเป็นผู้บริหารระดับหัวหน้าแผนกของฉัน ฉันและเพื่อนๆ ร่วมงานต่างก็ดื่มด่ำความประทับใจในอดีต ใครที่มีภาพร่วมเฟรมที่ปรากฏในสไลด์ก็ฮือฮา หรือขบขันกันกุ๊กกิ๊กด้วยระลึกถึงเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ข้างหลังภาพนั้น ภาพที่เลื่อนไหลไปแต่ละภาพล้วนเล่าเรื่องความทรงจำในการทำงานของฉันได้เป็นอย่างดี ทั้งทุกข์สุข เหนื่อยยากและราบรื่น เมื่อภาพสุดท้ายจบลง ก็เหมือนเป็นการย้ำให้ฉันรู้ว่าเวลานั้นผ่านไปเร็วนัก…
ตัวแทนลูกน้องในแผนก ไปจนตัวแทนผู้บริหารกล่าวขอบคุณในความทุ่มเทของฉัน และปิดท้ายว่าพวกเขาจะจดจำฉันในฐานะพนักงานรุ่นบุกเบิกของบริษัท ฉันคือส่วนหนึ่งที่ช่วยให้บริษัทแห่งนี้เติบโตและมั่นคง สุดท้ายบริษัทก็มอบรางวัลเป็นทริปทัวร์ยุโรปนานถึง 15 วัน แถมยังเป็นทริปส่วนตัวที่ฉันสามารถเลือกประเทศ ที่พัก และรายการท่องเที่ยวได้เองตามที่ตนเองต้องการอีกด้วย…มันช่างเป็นการเริ่มต้นวัยเกษียณที่ดีสุดๆ ไปเลยจริงๆ
ฉันปรึกษานายขวดและเครือแก้วว่าฉันควรจะไปเที่ยวที่ใดในยุโรปดี ทั้งสองคนซึ่งเกษียณอายุราชการก่อนหน้าฉันไปประมาณ 3 เดือนและสะสางส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว จึงเสนอความคิดว่าพวกเราควรจัดทริปรวมตัวกลุ่มเพื่อนสนิทสมัยเรียนกันอีกครั้ง โดยพวกเราทั้งสามคนจะไปเยี่ยมศศิซึ่งยังอาศัยอยู่กับลูกสาวที่มีครอบครัวอยู่สวิสเซอร์แลนด์ ส่วนยายศศิเมื่อรู้ว่าพวกเราจะไปเยี่ยมก็ดีใจอย่างมาก ปวารณาตัวเป็นเจ้าภาพที่ดี
ตานะและยายนันท์เมื่อรู้ว่าฉันจะไปทัวร์ยุโรปกว่าครึ่งเดือน ต่างก็ร่วมกันมอบของขวัญให้ฉันเป็นพ็อกเกตมันนี่ท่องเที่ยวจำนวนหนึ่ง
‘นานๆ นางสิงห์เฝ้าถ้ำจะเยี่ยมกรายไปดูโลกกว้างเสียที จะไปอย่างกระเบียดกระเสียรได้ยังไงกัน…’ นายขวดแซวฉันเมื่อรู้ว่าลูกๆ ต่างก็สนับสนุนให้ฉันออกไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตา
- READ ก่อนย่ำสนธยา : บทส่งท้าย
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 14 : กว่าจะสำนึกได้ก็สายเสียแล้วล่ะพวกแก (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 14 : กว่าจะสำนึกได้ก็สายเสียแล้วล่ะพวกแก (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 13 : เมื่อเสียหายเพราะฉัน ก็ต้องเป็นฉันที่กอบกู้ (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 13 : เมื่อเสียหายเพราะฉัน ก็ต้องเป็นฉันที่กอบกู้ (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 12 : ผู้หญิงคนนั้นกับปมในใจของฉัน (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 12 : ผู้หญิงคนนั้นกับปมในใจของฉัน (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 11 : จะกอบกู้มันได้อย่างไร (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 11 : จะกอบกู้มันได้อย่างไร (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 10 : พังทลายในพริบตา (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 10 : พังทลายในพริบตา (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 9 : พลาดพลั้ง (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 9 : พลาดพลั้ง (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 8 : ก้าวไม่เท่าทัน (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 8 : ก้าวไม่เท่าทัน (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 7 : แห้งเฉา (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 7 : แห้งเฉา (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 6 : บ้างร่วงโรยรา (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 6 : บ้างร่วงโรยรา (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 5 : วันเคลื่อนเดือนผ่าน (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 5 : วันเคลื่อนเดือนผ่าน (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (3)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (3)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 2 : พี่ศานติ (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 2 : พี่ศานติ (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (3)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (1)