ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 5 : วันเคลื่อนเดือนผ่าน (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 5 : วันเคลื่อนเดือนผ่าน (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

15 วันในภาคพื้นยุโรปผ่านไปอย่างแช่มชื่น นอกจากสวิสเซอร์แลนด์แล้ว พวกเรายังวางเส้นทางการท่องเที่ยวตามรอยนวนิยายเรื่องหนึ่งที่พวกเราชื่นชอบกันตั้งแต่สมัยเรียน

“นายขวด เธอว่าคนขับรถคนนั้นจะชื่อนายเล็กไหม” เครือแก้วถามขึ้น

“นายเล็กที่สุดท้ายจะพูดว่า ‘ความจริงแล้วผมคือท่านทูตและเป็นหม่อมเจ้าชายครับ’ ส่วนเธอก็คือหม่อมเจ้าหญิงที่เพิ่งเรียนจบแล้วท่านพี่และหม่อมพี่สะใภ้ให้รางวัลด้วยการมาเที่ยวยุโรป..”

เครือแก้วทำตาปริบๆ กระพือขนตาที่มีอยู่น้อยนิดอย่างใส่จริตสาวน้อยแรกรุ่น เป็นทำนองว่า ‘บิงโก เธอเข้าใจถูกแล้ว’

“โถยายเครือ วัยเกษียณอย่างเธอก็เป็นได้แค่ยายนมขี้บ่นที่ตามมาดูแลท่านหญิงได้เท่านั้นละ” นายขวดดับความฝันเครือแก้ว

ยายเครือค้อนวงใหญ่ให้นายขวด แล้วก็หัวเราะอย่างแช่มชื่น วันวานวัยเรียนเหมือนกลับมาอีกครั้ง พวกเราพูดคุยและต่อล้อต่อเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เสียแต่อย่างเดียวว่า มันย้อนได้เพียงความรู้สึก แต่สังขารที่ร่วงโรยของพวกเราหาได้ย้อนกลับมาด้วยไม่…

ศศิเดินทางร่วมด้วยตลอดทริป ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ไม่เอาละ ถ้าฉันไม่มาด้วยเดี๋ยวต้องตกเป็นขี้ปากของนายขวดและยายเครือแน่นอน มากันทางไว้อย่างนี้ละ จะได้นินทาฉันได้ไม่สะดวกปาก’

ศศิมาส่งพวกเราที่สนามบินลอนดอนฮีทโธรว์ ก่อนจะแยกกลับสวิสเซอร์แลนด์เพียงลำพัง เรากอดร่ำลากันอย่างอาลัย “อีก 2 ปี หลานๆ เข้าโรงเรียนประถมแล้วฉันคิดว่าจะกลับไปอยู่เมืองไทยเสียที” ศศิเปรยบอกพวกเรา

“ดีสิ จะได้เจอกันให้ฉ่ำไปเลย เกษียณกันทุกคนแล้วนี่ มีเวลาว่างบานเบอะเลยทีนี้” เครือแก้วตอบ

“รีบกลับมานะ เพราะพวกเราตกลงกันแล้วว่า ต้องมีปาร์ตี้สังสรรค์กันอย่างน้อยเดือนละครั้ง” นายขวดบอก ศศิพยักหน้าตอบรับ

ส่วนฉันกอดศศิอีกครั้งด้วยความรักและคิดถึง “ฉันจะคิดถึงเธอนะศศิ” ศศิยิ้มรับพร้อมกรีดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมา ก่อนจะร่ำลากันจริงๆ แล้วส่งพวกฉันทั้งสามคนเข้าประตูผู้โดยสารชั้นใน

ระหว่างทางที่เราสามคนเดินไปรอยังหน้าประตูขึ้นเครื่องบิน นายขวดก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “ทั้งเธอทั้งยายศศินี่ก็แปลกคน ร่ำลากันอย่างจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว!” คำพูดของนายติทำให้ใจฉันรู้สึกหวับหวำอย่างบอกไม่ถูก

 

เรากลับมาถึงกรุงเทพฯ ในเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ เราจบทริปด้วยการแยกย้ายกันที่สนามบินต่างคนต่างกลับบ้านของตนเอง เมื่อฉันมาถึงบ้านก็เห็นผักผลไม้สิ่งละอันพันละน้อยหนึ่งตะกร้าขนาดใหญ่วางอยู่ในห้องครัว โดยมียายนันท์กำลังเลือกและคัดแยกของออกจากตะกร้า ยายนันท์เงยหน้ามาเห็นฉันก็ทักทายว่า “อ้าว กลับมายังไงคะ ทำไมไม่โทรให้หนูไปรับล่ะคะ”

ฉันวางสัมภาระแล้วตอบว่า “กลับแท็กซี่สะดวกกว่า แม่เห็นว่าวันนี้วันหยุด เกรงใจคิดว่าลูกจะเหนื่อยอยากตื่นสายๆ…แล้วผักผลไม้ตั้งมากมายมาจากไหนกัน”

“เมื่อวานพ่อเข้ามาเยี่ยมค่ะ ของพวกนี้ก็มาจากสวนของพ่อ” ยายนันท์ตอบฉันพยักหน้ารับรู้ ก่อนขึ้นไปล้างหน้าล้างตาพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการเดินทาง ตั้งใจว่าถ้าคลายความเหนื่อยล้าแล้วจะลงมาช่วยยายนันท์เก็บกวาดบ้าน  แต่ที่ไหนได้กว่าจะตื่นอีกทีก็เย็นย่ำเสียแล้ว ฉันเริ่มสังเกตว่าร่างกายตนเองเริ่มโรยรามากเสียแล้ว จากเดิมที่หากเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ฉันเอนหลังพักผ่อนเพียงชั่วโมงสองชั่วโมงก็สดชื่นมีแรงทำงานต่อได้แล้ว แต่คราวนี้ฉันนอนหลับยาวไปทั้งวันทีเดียว แต่ฉันก็ปลอบตัวเองว่าอาจเป็นเพราะการเดินทางไกล อีกทั้งยังต้องข้ามเส้นเวลาทำให้ร่างกายฉันอ่อนเพลียได้มากกว่าปกตินั่นเอง

เมื่อฉันลงมาก็เห็นยายนันท์กำลังเคี่ยวซุปใสอยู่ในครัว “หนูใช้ผักที่พ่อเอามาให้เคี่ยวซุปใสค่ะ พ่อบอกว่าปลูกแบบไร้สารพิษ คัดมาสดๆ น่ากินเชียวค่ะ” ยายนันท์แจกแจง ฉันชิมซุปฝีมือยายนันท์ มันช่างหวานกลมกล่อมดีจริงๆ

“แม่ไปนั่งเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูตักไปเสิร์ฟที่โต๊ะ แม่อยากได้ซุปอย่างเดียว หรืออยากใส่มะกะโรนีด้วยก็ได้นะคะ”

“ขอเพิ่มมะกะโรนีด้วยก็ดีจ้ะ” ฉันตอบแล้วเดินมานั่งรอที่โต๊ะ

ฉันขอสารภาพตามตรงเลยว่า ด้วยภาระหน้าที่ของฉัน ทำให้ฉันละเลยงานบ้านงานครัวไปเสียนาน แม้จะเคยทำได้เพราะแม่ของฉันเคยฝึกหัดไว้ แต่เมื่อร้างราไปนานก็ทำให้ฉันไม่สู้คล่องนัก ผิดกับยายนันท์ที่แม้จะแก่นแก้ว แต่ก็สามารถทำงานบ้านงานครัวได้คล่องแคล่ว ตานะเคยบอกฉันว่าช่วงที่ลูกๆ ปิดเทอมแล้วไปพักอยู่กับพี่ติที่ต่างจังหวัดนั้น พี่ติจะฝึกหัดลูกๆ ให้ทำงานพวกนี้จนคล่อง

‘จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระแม่บ้าง’ พี่ติบอกลูกอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ทั้งตานะและยายนันท์จึงคล่องแคล่วเรื่องงานบ้านงานครัว เมื่อบ้านเรียบร้อยฉันจึงไม่ต้องรับภาระจัดการ นานเข้าก็ชินจนเป็นนิสัยว่าไม่ต้องรับผิดชอบ จนถึงวันนี้เมื่อฉันเกษียณแล้วได้ย้อนคิดก็ระลึกได้ว่าฉันละเลยเรื่องนี้มานานเสียแล้ว แต่จะให้เริ่มทำก็รู้สึกงกเงิ่นจะหยิบจับอย่างไรก็ไม่ถูกไปเสียหมด

ยายนันท์เอาซุปใสใส่มะกะโรนีมาเสิร์ฟพร้อมถามฉันว่า “วันหยุดหน้าแม่จะไปไหนไหมคะ”

“น่าจะอยู่บ้านทั้งสัปดาห์นะ แต่เห็นน้าดุษบอกว่าวันพุธค่ำๆ จะแวะมาหาแม่ นันท์มีอะไรหรือเปล่าลูก”

“นันท์ไม่มีค่ะ แต่พี่นะน่าจะมี พี่นะโทรมาบอกนันท์ให้เรียนแม่ว่า วันเสาร์หน้าพี่นะจะกลับบ้านมาเยี่ยมแม่และขอพาพี่ฤดีมากราบแม่ด้วยค่ะ”

ฉันนิ่งคิด ‘อ้อ หนูคนนั้นนั่นเอง’ ฉันระลึกขึ้นได้ หนูฤดีคือเพื่อนเรียนสมัยมหาวิทยาลัยของตานะ ความโชคดีคือตานะได้ไปบรรจุที่จังหวัดบ้านเกิดของหนูฤดี แล้วก็ได้บ้านหนูฤดีนี่ละคอยดูแล นี่ไม่แคล้วว่าตานะกำลังจะคิดเรื่องแต่งงานกับหนูฤดีกระมัง ซึ่งหากว่าจริงฉันก็ไม่รังเกียจยินดีไปสู่ขอตบแต่งกันเสียจะได้เบาใจ

เมื่อคิดเรื่องตานะแม้ฉันจะหมดห่วงไปก็จริง แต่พอย้อนมาคิดถึงเรื่องยายนันท์กับนายกฤตย์ ฉันกลับไม่สู้เห็นด้วย แม้ยายนันท์กับนายกฤตย์จะเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม นายกฤตย์เองก็มีความประพฤติดี เกิดในครอบครัวที่ดี แต่ก็เสียที่ต้องออกไปรับราชการต่างจังหวัด หากแต่งไปผัวอยู่ทางเมียอยู่ทางมันจะเป็นอย่างไร ยิ่งโบราณว่า ‘รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ’ ไปอยู่ไหนก็มีเมียทิ้งไปจนเกลื่อน ฉันจึงไม่อยากให้ยายนันท์มาซ้ำรอยคุณยาย หรือซ้ำรอยของฉัน!

วันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ ฉันตื่นมารื้อกระเป๋าเดินทาง โชคดีที่ไปเที่ยวเมืองหนาวเสื้อผ้าจึงไม่เต็มไปด้วยเหงื่อ ทำให้ไม่ส่งกลิ่นจากการหมักหมมไว้หลายวัน ฉันแยกผ้าเพื่อเตรียมนำลงไปใส่เครื่องซักผ้า และหากเป็นผ้าที่ต้องดูแลยุ่งยากก็จะส่งไปที่ร้านซักแห้งแล้วค่อยรับภายหลัง จากนั้นจึงเริ่มจัดของฝากที่ตั้งใจจะไปฝากคนรู้จัก ฉันรื้อไปจัดไปจนไปหยิบเอากล่องใส่เน็กไทเส้นหนึ่งที่ซื้อมาจากห้างดังในประเทศอังกฤษ ฉันกับเครือแก้วตั้งใจเดินเล่นฆ่าเวลาก่อนเวลาทานอาหารเย็น แต่เมื่อเห็นเน็กไทสีเขียวหัวเป็ดลายขีดสีแดงเลือดหมูก็ถูกใจ

‘เหมาะกับพี่ติมาก พี่ติน่าจะชอบ’ กว่าจะรู้ตัวอีกทีฉันก็ซื้อมาเรียบร้อยแล้ว ฉันเพ่งพิศเน็กไทเส้นนั้นสักพักใหญ่ก่อนบอกตัวเองว่า ‘มีโอกาสค่อยให้พี่ติตามที่ตั้งใจไว้แล้วกัน’

ฉันเลือกครีมบำรุงผิวที่ซื้อมาหนึ่งกระปุก ตั้งใจว่าจะให้เป็นของฝากแก่ดุษฎี แล้วจึงลงมาอุ่นซุปที่ยายนันท์ทำไว้เมื่อวานทานเป็นอาหารเช้า

นันท์ไปทำงานแต่เช้า แต่ทิ้งโน้ตแปะไว้ที่ตู้เย็นว่า แม่คะ…นันท์เตรียมซุปมะกะโรนีเอาไว้ให้อยู่ในตู้เย็น  อย่าลืมเอาออกมาอุ่นกินนะคะ ส่วนผลไม้ก็ปอกเอาไว้ให้แล้วอยู่ในตู้เย็นเหมือนกันคะ กินผลไม้สดตอนเช้าสดชื่นดีนะคะ เลิกทานกาแฟแก้วเดียวเป็นมื้อเช้าได้แล้วค่ะ ไม่ดีต่อสุขภาพ นันท์ไปทำงานแล้วค่ะ สลับหน้าที่กันยังไงก็ไม่รู้ เหมือนตอนนี้ฉันเป็นลูกของยายนันท์ แต่ก็เอาเถอะ ลึกๆ ฉันก็มีความสุขไม่น้อยที่มีลูกค่อยเอาใจใส่ดูแล

เสียงกริ่งเตือนการทำงานเสร็จของเตาอบ ฉันเดินไปยกซุปมะกะโรนีออกมาตั้งที่โต๊ะ ก่อนจะไปหยิบจานผลไม้ที่ยายนันท์อุตส่าห์ปอกไว้ให้ แล้วก็ตบท้ายด้วยกาแฟดำหนึ่งแก้วตามความเคยชิน

ควันกรุ่นลอยมาพร้อมกลิ่นหอมหวนมาจากชามซุปมะกะโรนีเรียกน้ำย่อยให้ฉันอย่างดี ฉันคนซุปในถ้วย นอกจากมะกะโรนีข้อกลวงแล้วก็มีผักนานาชนิด ทั้งหอมใหญ่ แคร์รอต ขึ้นฉ่ายฝรั่ง มันฝรั่ง หั่นเป็นชิ้นพอคำสุกเปื่อยดีน่ากิน พลันภาพความทรงจำเก่าๆ ก็ผุดพราย

เมื่อสมัยที่ฉันแต่งงานกับพี่ติใหม่ๆ พี่ติกำลังต้องเดินทางไปรับตำแหน่งที่อำเภอหนึ่งในภาคใต้ สมัยนั้นถนนหนทางยังไม่สู้ดีนัก เราต้องเดินทางไปหยุดพักค้างคืนไปตามรายทาง คืนแรกเราเลือกหยุดพักนอนกันที่บ้านพักของเพื่อนรุ่นน้องของพ่อ ซึ่งเป็นบ้านพักในค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก่อนที่รุ่งเช้าเราจะออกเดินทางแต่เช้า ครั้นสายใกล้จะเพลเต็มทีเราก็ถึงอำเภอบางสะพานซึ่งเป็นรอยต่อเข้าสู่ภาคใต้ พี่ติถามฉันว่า “น้องกุนเคยเห็นแตงโม หรือฟักทองขนาดเท่าเด็กนั่งไหม”

“เคยแต่ได้ยินพ่อเล่าคะ ว่าสมัยท่านเป็นวัยรุ่นเคยเห็นแตงโมจากฟาร์มหม่อมเจ้าองค์หนึ่งใหญ่เท่าเด็กนั่ง เหมือนจะเรียกว่าแตงโมบางเบิด” ฉันตอบ

“เราแวะไปดูกันไหม ไร่บางเบิดเลี้ยวไปทางนี้อีกหน่อยก็ถึงแล้ว”

พี่ติขับรถแวะพาฉันเข้าเยี่ยมชม ขณะที่ฉันเข้าไปเยี่ยมชมนั้นท่านเจ้าของฟาร์มได้ขายที่ให้แก่รัฐบาลมานานหลายปีแล้ว แต่ที่ตรงนั้นก็ยังทำหน้าที่เหมือนฟาร์มสาธิตสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านเจ้าของฟาร์มที่ทรงเชื่อว่า การเกษตรและกสิกรรมจะช่วยให้ทุกคนมีชีวิตอยู่รอดได้ด้วยตนเอง

“เงินทองของมายา ข้าวปลาคือของจริง” พี่ติเอ่ยถึงคติพจน์ของหม่อมเจ้าท่านผู้เป็นเจ้าของฟาร์ม “…ไว้รอเราเกษียณแล้วพี่จะมาทำฟาร์มแบบนี้ ส่วนกุนก็ช่วยพี่ทำบัญชีของฟาร์มดีไหม”

“ยังไม่ทันเริ่มงานเลยนะคะ พี่ติพูดถึงวันเกษียณแล้วหรือนี่” ฉันเย้า

“วางแผนไว้ก่อนไง พี่อยากให้กุนอยู่ในทุกช่วงชีวิตของพี่จนถึงปลายทางชีวิตของเรา”

“ค่ะ วันที่พี่ติเกษียณเราจะมาทำฟาร์มเล็กๆ พอเลี้ยงตัว พี่ติดูแลฟาร์ม ส่วนกุนจะทำบัญชีของฟาร์ม”

วันนั้นเราจับจูงมือกันกลับขึ้นรถเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตแต่งงานของเรายังอำเภอที่ห่างไกล แม้จะลำบากบ้างแต่ก็เปี่ยมสุข…แต่สุดท้ายความฝันก็ไม่เป็นจริง ในวันที่พี่ติเกษียณแล้ว พี่ติคงเลือกที่จะทำฟาร์มตามความฝันเดิม แต่มันเปลี่ยนไปตรงที่ว่าไม่มีฉันช่วยทำบัญชีฟาร์มให้อีกแล้ว

ฉันสลัดความรู้สึกที่จมอยู่ในความหลัง นี่คงเพราะฉันว่างงานมากจนมีเวลาเหลือที่จะคิดเพ้อเจ้อถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และไม่มีวันหวนกลับมาอีก ฉันควรหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ว่าง ฉันบอกตัวเองเช่นนั้น

ซุปในชามเย็นชืด ฉันหมดความอยากอาหารขึ้นมาเสียดื้อๆ จึงยกถ้วยกาแฟขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด แล้วล้างปากด้วยผลไม้อีกสองสามชิ้น ก่อนยกภาชนะทั้งหมดไปล้างทำความสะอาด แล้วขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออกไปทำธุระข้างนอก กะว่าบ่ายสักหน่อยก่อนคนเลิกงานค่อยกลับบ้านเพื่อเลี่ยงรถติด

 

 สัปดาห์นั้นชีวิตฉันที่คิดว่าจะว่างเพราะไม่มีอะไรทำกลับไม่เป็นอย่างนั้น วันพุธดุษฎีได้มาเยี่ยมฉัน พร้อมของฝากมากมาย ส่วนฉันก็ได้มอบครีมบำรุงผิวที่ซื้อมาจากยุโรปเป็นของฝากให้ดุษฎี

แม้เหมือนจะเป็นการเยี่ยมเยียนกันตามปกติ แต่ดุษฎีก็ได้นำข่าวสารของทางบริษัทมาเล่าให้ฉันฟัง พร้อมทั้งขอคำแนะนำในการทำงาน มีบางอย่างที่ดุษฎียังลังเลไม่กล้าตัดสินใจ ฉันแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานของฉันให้ดุษฎีฟัง ฉันไม่อยากบอกว่าควรทำอย่างไรเพราะจะทำให้ดุษฎีไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่คิดว่าจากประสบการณ์การทำงานของฉันที่แลกเปลี่ยนให้ดุษฎีฟังน่าจะทำให้เธอมีแนวทางในการตัดสินใจมากขึ้น

“ดุษคิดออกแล้วคะว่าจะจัดการอย่างไรดี ดุษขอบคุณพี่กุนมากเลยนะคะ” ดุษฎียิ้มออกมา สีหน้าดูมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ฉันรู้สึกดีใจที่ฉันยังสามารถช่วยเหลือน้องๆ ในที่ทำงานเดิมของฉันได้ “พี่ยินดีจ้ะ มีอะไรติดขัดก็มาคุยกับพี่ได้นะ พี่สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือให้คำปรึกษาได้ แต่สุดท้ายดุษก็ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง”

หลังจากวันที่ดุษฎีมาเยี่ยมเพียงสองสามวันก็เป็นวันเสาร์ วันที่ตานะจะกลับมาเยี่ยมบ้าน

เป็นจริงตามที่ฉันคาดการณ์ไว้ ตานะพาหนูฤดีมากราบฉัน แล้วก็พูดกับฉันอย่างตรงไปตรงมาและหนักแน่นตามนิสัยของเขาว่า ลูกรักใคร่ชอบพอกับหนูฤดี อยากที่จะร่วมชีวิตกัน หากฉันไม่รังเกียจหนูฤดีก็อยากขอความกรุณาให้ฉันไปสู่ขอหนูฤดีอย่างเป็นทางการ

ฉันไม่ได้นึกรังเกียจอะไรหนูฤดีเลย เคยเห็นมาตั้งแต่สมัยเป็นเพื่อนเรียนร่วมมหาวิทยาลัยกับตานะ การเรียนก็ดี มารยาทก็งาม ซ้ำทางบ้านหนูฤดีก็เอ็นดูและเมตตาปรานีตานะมาด้วยดีเสมอมา แต่ก็ต้องถามหนูฤดีเสียก่อนว่าทางบ้านหนูฤดีมีความเห็นว่าอย่างไร

“นะเขาเข้าไปคุยกับพ่อแม่ของฤดีมาแล้วค่ะ ท่านทั้งสองไม่ขัดข้อง แต่ขอให้มีผู้ใหญ่มาสู่ขอให้ถูกต้องตามประเพณีเท่านั้นค่ะ” ฤดีตอบ

“ดีจริง…” ฉันเอ่ยขึ้น ก่อนเอี้ยวตัวไปหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมา “…นี่เป็นแหวนแต่งงานของคุณยายของตานะ แม่ตั้งใจเก็บไว้ให้ตานะหมั้นเจ้าสาว…”

ตานะและหนูฤดีกราบฉัน ก่อนที่ตานะจะรับแหวนไปสวมให้หนูฤดี เพชรลูกหนักเพียงกะรัตเดียวบนตัวเรือนทองคำขาว เมื่อสวมบนนิ้วนางซ้ายของหนูฤดีดูงามรับสมกัน

 

หลังจากวันนั้นมาอีกหลายเดือนฉันก็สาละวนอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานของตานะกับหนูฤดี กว่าจะเรียบร้อยก็เหนื่อยแรงไปมากโข แม้จะมีพี่ติ นายขวดและเครือแก้วเขามาช่วยตระเตรียมและเป็นแรงแต่ฉันยังเหนื่อยมากอยู่ดี เมื่อเสร็จงานฉันจึงนัดนายขวดและเครือแก้ว ไปเที่ยวทะเลเพื่อพักผ่อนหย่อนใจจากความเหน็ดเหนื่อยในการจัดการงานครั้งนี้

 



Don`t copy text!