ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (3)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (3)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

พี่ติพาเด็กๆ กลับมาส่งไวกว่ากำหนดหนึ่งสัปดาห์ เมื่อถึงบ้านตานะรีบรายงานฉันว่า “พ่อลาพักร้อนได้ตั้งสิบวันครับแม่ พ่อเลยรีบพาพวกเรากลับมาก่อน บอกว่าป่านนี้แม่คงคิดถึงเราสองคนแล้ว”

วันนั้นธารีอยูบ้านพอดี เมื่อเห็นพี่ติเข้าบ้านมาธารีก็รีบขึ้นชั้นบนของบ้านไป เหมือนไม่อยากพบหน้าพี่ติ พักหลังๆ มางานและภาระส่วนตัวฉันมากจนไม่มีเวลาสนใจธารีมากนัก ธารีเคยพูดอ้อมๆ เรื่องมรดกของพ่อแม่ แต่ฉันก็ยุ่งมากจนบอกปัดไปทุกครั้ง แต่อย่างไรฉันก็ไม่เคยคิดจะโกงน้องอย่างแน่นอน ฉันคิดว่ารอเวลาให้พร้อมกันจริงๆ เราจึงจะได้นั่งจัดสรรกันอย่างจริงจัง

ตานะ ยายนันท์ เมื่อพบตาสืบก็ดีใจที่ไม่ได้พบกันเสียหลายเดือน รีบชวนทั้งสองขึ้นชั้นบนเพื่อรื้อกระเป๋าเอาของฝากมากมายมาให้ตาสืบ

เมื่อในบ้านไม่มีใครแล้วพี่ติก็เอ่ยบอกว่า “กุนพอมีเวลาไหม พี่จะขอปรึกษาเรื่องลูกๆ”

“พี่ติมีอะไรคะ” ฉันถาม

“ผลการเรียนเทอมนี้ลูกไม่ค่อยดีนะ ทั้งสองคนเลย” พี่ติเกริ่นขึ้น

ฉันพยักหน้าตอบรับ “กุนเห็นใจเด็กๆ มากนะคะพี่ติ ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ออกจากบ้านตีห้า กว่าจะถึงบ้านอีกทีก็สี่ส้าห้าทุ่มไปแล้ว ลำพังแค่ไปเรียนได้ไม่ขาดทำงานส่งครูได้ครบ เท่านี้กุนก็ว่าลูกๆ อดทนได้มากแล้ว”

“แล้วเทอมหน้าล่ะกุน ทั้งลูกและกุนจะทนไหวอย่างเทอมนี้ไหม”

ฉันส่ายหน้า “กุนก็ไม่แน่ใจค่ะ หวั่นๆ อยู่เหมือนกัน”

“เอาอย่างนี้ไหม กุนย้ายไปอยู่ที่บ้านเก่าของพี่ จากที่นั่นไม่ไกลจากโรงเรียนของลูกๆ และไม่ไกลจากที่ทำงานของกุน ทุกคนจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางมาก ไม่ต้องรีบตื่นแต่ยังไม่สว่างกลับถึงบ้านดึก เอาเวลาเดินทางไปพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่า” พี่ติเสนอขึ้น

ฉันได้ฟังแม้จะเป็นทางออกที่ดีมากสำหรับฉันและลูก แต่ก็เกรงใจจะให้ฉันก้าวล่วงทรัพย์สินส่วนตัวของพี่ติมากเกินไปก็ไม่สู้จะงามนัก ฉันขอบคุณและปฏิเสธไป พี่ติหว่านล้อมฉันอีกสองสามประโยคก่อนที่เสียงของธารีจะดังมาจากชั้นบน

“ก็หย่ากันไปแล้ว ใครจะกล้าเข้าไปอยู่คะ วันดีคืนดีพี่ติไม่พอใจออกปากไล่พี่กุนออกจากบ้าน แล้วพี่กุนจะเอาหน้าไปไว้ไหน” ธารีเดินพูดเสียงดังลงมาจากชั้นบนแล้วมาหยุดที่เก้าอี้นวมรับแขก ฉันหน้าเสียไปเล็กน้อย เพราะละอายว่าน้องสาวของฉันแอบฟังเราคุยกันอยู่ หากบังเอิญลงมาจากชั้นบนก็คงไม่สามารถรับรู้เรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ ซึ่งพี่ติเองก็น่าจะทราบเหมือนอย่างฉัน แต่พี่ติเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก

พี่ตินิ่งไปสักพักก่อนพูดขึ้นว่า “บ้านหลังนั้นพี่ก็ไม่ค่อยได้อยู่ แต่แรกตั้งใจจะยกให้ลูกๆ เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่เมื่อเป็นแบบนี้พี่คิดว่าพี่จะโอนให้กุนก่อนแล้วกัน เมื่อลูกโตขึ้นก็แล้วแต่กุนจะจัดการ กุนจะได้สบายใจว่าพี่จะไม่ไล่กุนออกจากบ้าน”

“อู้ย ดีมากเลยค่ะพี่ติ ธารียินดีกับพี่กุนด้วยนะคะ” ธารีลอยหน้าลอยตาพูด

ฉันอายเหลือจะกล่าว จึงพูดตัดความไปว่า “ขอเวลากุนคิดสักวันสองวันนะคะ”

 

ธารีจู่โจมฉันในคืนนั้นเลย ฉันเพิ่งเห็นความสามารถของน้องสาวในการทำหน้าที่นายหน้าขายของก็คราวนี้ ยายธารีหว่านล้อมฉันต่างๆ นานาให้รับบ้านของพี่ติไว้ โดยอ้างว่าขอให้ฉันคิดถึงสุขภาพและผลการเรียนของเด็กๆ ฉันเริ่มคล้อยตามแต่ไม่ทั้งหมด ฉันไม่คิดอยากได้บ้านของพี่ติมาเป็นสมบัติของฉันแม้แต่น้อย จึงถามเพื่อขอความมั่นใจว่าหากฉันถูกไล่ที่ขึ้นมา บ้านเดิมของพ่อแม่จะยังคงเป็นสถานที่ที่ฉันและลูกๆ ยังคงกลับมาพักพิงได้

“ถ้าพี่ถูกไล่ที่ขึ้นมา พี่จะกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ได้ไหม”

“พี่กุนคะ เรามาพูดกันให้จบเลยดีกว่า เพราะน้องก็อยากให้พี่กุนจัดการแบ่งมรดกของพ่อแม่ให้เรียบร้อยเสียที เอาเรื่องบ้านก่อน ไหนๆ พี่กุนก็จะได้บ้านของพี่ติแล้ว บ้านหลังนี้ยกให้น้องเถอะค่ะ ถ้าไม่เห็นแก่น้องก็ขอให้เห็นแก่ตาสืบที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม้แต่บ้านของตัวเองจะซุกหัวนอน…”

ฉันรู้สึกผิดหวังที่ได้ฟัง การที่ธารีหว่านล้อมให้ฉันยอมรับบ้านของพี่ติไว้ ความจริงไม่ใช่เพื่อฉันเลย แต่เพื่อประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น

 

สุดท้ายฉันต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ คือนายขวดและเครือแก้ว โดยนัดกันไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกันในวันถัดมา

นายขวดคือคนที่ชี้ทางออกให้ฉันได้อย่างดีเช่นเคย “วุ้ย! มันจะยากอะไรกันกุน แกก็ทำสัญญาเช่าบ้านสิ ทำระยะยาวเลยเอาสักสิบปียี่สิบปีก็ว่าไป แล้วก็ให้ค่าเช่าถูกๆ มีสัญญาในมือเธอจะกลัวเจ้าของบ้านเขาไล่ไปทำไม ถ้าไล่ก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายให้พอปลูกบ้านใหม่มันเลย”

ส่วนเครือแก้วไม่พูดอะไรมาก โทรศัพท์นัดคนงานรับจ้างขนย้ายของตั้งแต่ฉันยังไม่ตกลงใจ

 

บ้านพี่ติสะดวกยิ่งกว่าเดิมอย่างมาก ด้วยเพราะอยู่ใกล้ทั้งที่ทำงานของฉันและโรงเรียนของลูกๆ นอกจากนี้บ้านของพี่ติอยู่ในบริเวณที่รถของโรงเรียนลูกๆ ให้บริการรับส่งนักเรียน ดังนั้นลูกที่ต้องตื่นไปโรงเรียนตั้งแต่ตีสี่ ก็สามารถตื่นได้สายขึ้น โดยรถโรงเรียนจะมารับเวลา 7 โมงเช้า และมาส่งถึงบ้านก่อน 6 โมงเย็นเสมอ ทำให้เด็กๆ มีเวลาพักผ่อน ทำการบ้าน และทำงานที่ได้รับมอบหมายมากขึ้น ปลายเทอมนั้นการย้ายบ้านก็เห็นผล เด็กได้ผลการเรียนที่ดีขึ้นกว่าเทอมก่อนมาก แต่ที่ฉันดีใจกว่านั้นคือดูลูกๆ มีความสุขและแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก

ส่วนฉันไม่ต้องพูดถึง ฉันสามารถตื่นได้สายขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องรีบเร่งออกจากบ้าน ทุกเช้าฉันสามารถรอส่งลูกๆ ขึ้นรถรับส่งนักเรียนแล้ว จึงค่อยปิดบ้านแล้วค่อยขับรถออกมาทำงาน เวลากลับบ้านก็ใช้เวลาไม่นานนัก ฉันมักจะถึงบ้านหลังลูกๆ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ความเหนื่อยและอ่อนล้าจากการเดินทางหมดไป ฉันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม

สุดท้ายฉันก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า พี่ติเป็นคนที่ช่วยปัดเป่าปัญหาเดือดร้อนของฉันไปได้ทุกครั้ง

 

ความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ติมันก็ดูพิลึกไม่ใช่น้อย นอกจากคนที่สนิทกันเท่านั้น ที่จะรู้ว่าฉันกินแหนงกับพี่ติ แต่ก็ยังกอดทะเบียนสมรสไว้อยู่ มีแต่เพียงธารีคนเดียวที่คิดว่าเราหย่าขาดกันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งฉันก็ไม่เห็นความจำที่ต้องอธิบายให้ธารีฟังว่าทำไมเราจึงยังไม่ได้หย่าขาด

ส่วนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นทำงานของฉัน หรือบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาหรือเจ้านายของพี่ติ ต่างก็เข้าใจว่าเรายังเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ดี เหตุที่ต้องแยกกันอยู่เพราะหน้าที่การงาน และความต้องการให้ลูกได้เรียนในกรุงเทพฯ

จะไม่ให้คิดอย่างนั้นได้อย่างไรกันเล่า เพราะไม่ว่าจะมีงานสังคมอะไรพี่ติก็มักควงฉันในฐานะภรรยาไปด้วยเสมอ และเมื่อออกงานฉันก็จะแสดงความเรียบร้อยไม่เจ้าแง่แสนงอน เหมือนเมื่ออยู่กันลำพัง

‘ทำยังไงได้ อย่างน้อยก็ถือว่าตอบแทนค่าบ้าน ค่าใช้จ่ายรายเดือนที่พี่ติส่งเสียมาตลอดแล้วกัน’ ฉันให้เหตุผลตัวเองเช่นนั้น ทั้งๆ ที่หากถามใจลึกๆ แล้ว หัวใจฉันคงอยากตะโกนดังๆ ว่า ‘เธอยังรักเขาอยู่มากนะกุนตี…เมื่อไรจะเลิกประสาทกับเรื่องที่มีเหตุผลไม่หนักแน่นเสียที’

แล้วคุณล่ะ ระหว่างความรักกับความหวั่นระแวง สิ่งไหนมีอิทธิพลต่อหัวใจคุณมากกว่ากัน

 



Don`t copy text!