ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

เมื่อพี่ติบอกว่าจะพาเด็กๆ ไปเที่ยวสวนสนุกในวันหยุด ฉันก็ไม่ขัดขวางเพราะรู้ดีว่าตัวเองก็ยุ่งมากจนไม่สามารถพาเด็กๆ ทั้งสามคนไปเที่ยวเช่นนี้ได้ ส่วนธารีนั้นไม่ต้องพูดถึง น้องสาวฉันหายออกไปจากบ้านตั้งแต่ก่อนวันหยุดแล้ว ผลสุดท้ายวันนั้นฉันก็อยู่เงียบเหงาคนเดียวในบ้าน

จนย่ำเจียนค่ำ พี่ติโทรศัพท์หยอดเหรียญมาบอกว่าเด็กๆ อยากกินไก่ทอดยี่ห้อหนึ่งที่เปิดในห้างไม่ไกลจากสวนสนุกแห่งนั้น พี่ติจึงขออนุญาตแวะพาเด็กๆ กินไก่ทอดเสียก่อน อาจกลับบ้านค่ำแต่ไม่เกิน 2 ทุ่มแน่นอน ฉันไม่ว่าอะไร พี่ติปิดท้ายการสนทนาสั้นๆ นั้นว่า “กุนกินข้าวเย็นหรือยัง จะเอาอะไรไหมเดี๋ยวพี่ซื้อเข้าไปฝาก”

ท่ามกลางบ้านที่เงียบเหงายามโพล้เพล้ การที่ฉันอยู่บ้านเพียงคนเดียวนั้นทำให้ฉันรู้สึกว้าเหว่ คำถามง่ายๆ ว่า ‘กินข้าวหรือยัง’ ทำให้ฉันรู้สึกเสียบวาบไปในอก ฉันนิ่งเพื่อสลัดความคิดอ่อนไหวออกก่อนตอบเสียงนิ่งๆ ว่า “กินแล้ว ขอบคุณค่ะ” เสียงร่าเริงของยายนันท์ดังแว่วเข้ามาในโทรศัพท์ว่า “พ่อเร็วๆ เถอะค่ะ นันท์หิวแล้ว…” และเสียงของตานะก็แทรกเข้ามาก่อนที่พี่ติจะวางสายว่า “นะขอสั่งกลับบ้านไปฝากแม่ด้วยนะครับ คุณยายไม่อยู่แม่คงกินแต่ไข่เจียวหรือไม่ก็ไข่ต้ม…”

เสียงโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว แต่ฉันยังกุมหูโทรศัพท์ไว้แน่น… ผ่านมาหลายปีฉันเข้าใจตัวเองมาเสมอว่าฉันทำใจได้แล้ว ฉันปรับตัวได้แล้ว แต่วันนี้ความจริงที่เข้ามากระแทกใจของฉันจนอ่อนล้าคือ ฉันยังโหยหาครอบครัวที่สมบูรณ์และอบอุ่นอยู่ไม่คลาย ฉันเดินไปนั่งแปะอยู่ที่เก้าอี้นวมของห้องนั่งเล่น ปล่อยตัวเองให้จมกับความคิดที่อ่อนแอในความมืด จนเสียงกริ่งโทรศัพท์บ้านดังขึ้นอีกครั้ง

ฉันรับโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า ปลายสายเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย ปลายสายถามว่าใช่บ้านของพ่อฉันหรือไม่ ฉันตอบรับ ปลายสายถามกลับมาอีกว่า “ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับท่าน…”

“ดิฉันเป็นลูกสาวค่ะ” ฉันตอบไปโดยไม่ล่วงรู้ว่ากำลังจะเรื่องอะไรขึ้น ปลายสายนิ่งไปครู่เหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะเอ่ยปากต่อว่า “ทำใจดีๆ ก่อนนะครับ ผมมีข่าวไม่สู้ดีนัก คือ ท่าน…ประสบอุบัติเหตุ รถของท่านประสานงากับรถสิบล้อแถวบางปะกงนะครับ ท่านเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนคุณนายท่านอาการโคม่าตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล…ผมจะรบกวนให้ญาติรีบมาได้ไหมครับ…” ปลายสายบอกรายละเอียดที่จำเป็นอีกเล็กน้อยก่อนวางสายไป

ฉันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จึงยืนนิ่งเพื่อลำดับความคิดและความสำคัญว่าควรจะทำอย่างไรก่อนหลัง เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่มีใครพอจะพึ่งพาในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ได้ ธารีก็ติดต่อไม่ได้ ถ้าฉันออกไปตอนนี้เด็กๆ ที่กำลังจะกลับบ้านมาจะอยู่อย่างไร แต่ถ้าฉันชักช้าไม่ออกไป แม่ที่อยู่ในห้อง ICU จะเป็นอย่างไร…

ท่ามกลางความตกใจ หวาดกลัว และสับสน เสียงรถของพี่ติก็แล่นเข้ามาในบ้าน ตานะคงเอากุญแจรั้วสำรองที่ฉันให้ไว้เปิดเข้ามา และฉันคงไร้สติจนไม่ได้ยินเสียงตอนตานะเปิดประตูรั้วบ้าน ฉันรีบวิ่งไปที่หน้าประตูบ้าน กลัวเหลือเกินว่าพี่ติส่งลูกแล้วจะขับรถออกไปทันที ฉันกลัวว่าพี่ติจะรำคาญและเบื่อหน่ายความเจ้าแง่แสนงอนของฉัน จนไม่อยากรั้งรออยู่บ้านนี้แม้แต่นาทีเดียว

ฉันสาวเท้าไปที่หน้าบ้าน เห็นเด็กๆ เดินลงจากรถมาด้วยท่าทางที่อ่อนเพลียตาแววตายังฉายความสนุกตื่นเต้น ยายนันท์เดินเคล้าคลอพ่อของตนเอง ส่วนพี่ติก็หิ้วของพะรุงพะรังมากมาย เขาเดินต้อนเด็กๆ ให้เข้าบ้านพร้อมพูดว่า “เด็กๆ บอกว่าซื้อมากินด้วยกันที่บ้านดีกว่า จะได้กินกันพร้อมหน้าพร้อมตา ตาสืบบอกให้ซื้อมาเผื่อคุณตาคุณยายด้วย เดี๋ยวคงกลับมาทันๆ กัน ถ้าพี่ขอฝากท้องที่บ้านด้วยกุนจะสะดวกไหม…” พูดจบพี่ติก็เดินมาหยุดที่ตรงหน้าฉันพอดี พี่ติเห็นสีหน้าของฉันที่จะเหมือนร้องแหล่ไม่ร้องแหล่ก็สะดุดใจ ก่อนหันไปสั่งเด็กๆ ว่า

“เด็กๆ ไปล้างมือล้างหน้ากันก่อน เดี๋ยวค่อยมากินนะ” ก่อนจะส่งของที่หิ้วมาให้ตานะไปวางไว้ที่โต๊ะอาหารพร้อมสั่ง “ดูแลน้องๆ แทนพ่อกับแม่ด้วยนะลูก” ก่อนหันมาถามฉันด้วยสีหน้าจริงจัง

“เกิดอะไรขึ้นกุน”

น้ำตาที่อั้นไว้ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างยากจะระงับ ฉันเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตามที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลโทร.มาแจ้ง พี่ติหน้าเสียก่อนจะระงับได้อย่างรวดเร็ว พี่ติเห็นฉันว้าวุ่นไม่สามารถจัดการปัญหาได้ ก็เสนอตัวเข้ามาช่วยอย่างรวดเร็ว พี่ติให้ฉันนั่งตั้งสติอยู่ตรงนั้น ก่อนเดินไปที่โต๊ะวางโทรศัพท์กดเบอร์บ้านของนายขวด พร้อมแจ้งเรื่องราวต่างๆ ก่อน พูดเชิงขอร้องว่า “ขวดพี่รบกวนมาอยู่เป็นเพื่อนหลานๆ หน่อยได้ไหม พี่ไม่อยากพาเด็กๆ ไปด้วยเลย เป็นห่วงความรู้สึกพวกแก” นายขวดตอบรับอย่างเต็มใจ พี่ติสั่งความนายขวดอีกเล็กน้อยก่อนวางสาย แล้วเดินไปตกลงกับเด็กๆ ว่า “นะ นันท์ สืบ…” พี่ติเรียกชื่อเด็กๆ ทุกคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “…คุณตาและคุณยายมีปัญหาแถวๆ บางปะกง พ่อกับแม่จำเป็นต้องรีบตามไปดูแลท่านทั้งสองตอนนี้ อีกสักไม่เกินครึ่งชั่วโมงน้าขวดจะมาอยู่เป็นเพื่อนทุกคน ระหว่างที่รอน้าขวดพ่อขอแต่งตั้งให้นะเป็นผู้ดูแลน้องๆ นะจัดการตั้งโต๊ะอาหารให้น้องๆ กินข้าวเย็นให้เรียบร้อยได้ไหมลูก”

“ได้ครับพ่อไม่ต้องเป็นห่วง” ตานะรับปากอย่างดี

“เดี๋ยวถ้าน้าขวดมาเรียก นะไปเปิดประตูให้น้าเขาด้วยนะลูก แต่ถ้าเป็นคนอื่นห้ามเปิดเด็ดขาด ถึงบางปะกงแล้วพอมีตู้โทรศัพท์พ่อจะโทรมาหา แต่ถ้าง่วงทุกคนนอนได้เลยนะลูก…” พี่ติสั่งความนะอย่างครบถ้วน ก่อนชวนฉันขึ้นรถไปที่โรงพยาบาลตามที่ปลายสายแจ้ง

ฉันเหมือนคนลืมเอาสมองและหัวใจมาจากบ้าน อย่าว่าแต่ฉันต้องคิดเรื่องว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดีเลย กระทั่งว่าฉันพาตัวเองขึ้นมานั่งข้างๆ พี่ติในรถได้อย่างไรฉันก็จำไม่ได้ พี่ติทำหน้าที่ขับรถอย่างดี ปล่อยให้ฉันนั่งนิ่งๆ โดยไม่รบกวนแต่อย่างใด จนรถเข้าสู่รั้วโรงพยาบาลพี่ติวนรถไปจอดใกล้ๆ ตึกผู้ป่วยฉุกเฉินแล้ว ฉันจากที่นั่งนิ่งงันมาตลอดทาง เมื่อเห็นป้ายไฟห้องฉุกเฉินสีขาวแดงก็ตัวสั่นอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ พี่ติคงสังเกตเห็นจึงกุมมือฉันไว้ มืออุ่นๆ ของพี่ติทำให้ฉันมีสติมากขึ้น ฉันหันไปมองพี่ติส่งสายตาแทนคำขอบคุณ พี่ติพยักหน้ารับแล้วชวนฉันลงไปติดต่อ

“กุนไหวไหม” พี่ติถาม ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ช่วยดำเนินการให้”

ฉันเดินตามพี่ติไปอย่างว่าง่าย พี่ติให้ฉันนั่งรอที่เก้าอี้ยาวหน้าห้อง ส่วนเขาเดินไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ไม่นานแพทย์เวรท่านหนึ่งก็เดินมาคุยกับเขา ฉันได้ยินคุณหมอท่านั้นถามเขาว่าเป็นอะไรกับผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต “ผมเป็นลูกเขยของท่านทั้งสองครับ ส่วนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือภรรยาของผมเป็นบุตรสาวคนโตของท่าน”

“ดีเลยค่ะ คุณหมอเจ้าของไข้กำลังอยากขอความเห็นของญาติผู้ป่วยที่มีอำนาจตัดสินใจได้ ส่วนทางดิฉันอยากขอให้ช่วยยืนยันว่าผู้เสียชีวิตตรงกับหลักฐานที่พกติดตัวไหม ยังดีหน่อยนะคะที่ในซองในเงินของผู้เสียชีวิตมีนามบัตรอยู่ จึงติดต่อกลับไปหาญาติได้สะดวกขึ้น ไม่เช่นนั้นกว่าจะตามหาญาติกันพบคงต้องรออีกหลายวันทีเดียว”

“ขอบพระคุณคุณหมอมากครับ” พี่ติยกมือไหว้คุณหมอคนนั้น

“คุณและภรรยานั่งรอที่เก้าอี้ยาวนั้นสักครู่นะคะ เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่พาไปยืนยันศพเรียบร้อยแล้วคุณต้องไปพบแพทย์เวรอีกท่านซึ่งเป็นเจ้าของไข้ที่ห้องไอซียู เดี๋ยวดิฉันจะให้เจ้าหน้าที่ไปเรียนให้คุณหมอรอคุณที่ห้องไอซียูก่อน คิดว่าคุณหมอกำลังต้องการพบคุณเช่นกัน” คุณหมออธิบายเสร็จก่อนเดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินนั้น

พี่ติบอกให้ฉันรอหน้าห้องพักศพ ฉันนั่งรอย่างว่าง่าย ฉันไม่ได้กลัวร่างของพ่อ แต่กลัวว่าตนเองจะทนเห็นสภาพร่างที่ยับเยินจากอุบัติเหตุของพ่อไม่ไหว พี่ติเข้าไปสักครู่ก่อนออกมาบอกฉันว่าร่างที่นอนอยู่ในห้องนั้นคือพ่อจริงๆ พรุ่งนี้เช้าเราต้องเตรียมอะไรอีกมากก่อนจะรับร่างพ่อออกไป

พี่ติขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่พามาที่ห้องพักศพ แล้วจูงมือฉันไปยังห้อง ICU ที่หน้าห้องพี่ติแจ้งข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่สองสามคำ เจ้าหน้าที่หายไปสักพัก ก็มีคุณหมอท่านหนึ่งเดินออกมาแจ้งภาวะของแม่อยู่ยืดยาวแต่ฉันจับสาระสำคัญอะไรไม่ได้มาก จนสุดท้ายคุณหมอแจ้งว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ และโอกาสที่แม่จะรอดนั้นไม่มีเลย เมื่อใดที่ปลดเครื่องช่วยหายใจแม่ก็จะจากไปเช่นเดียวกับพ่อ ฉันแทบล้มทั้งยืน พี่ติกล่าวขอบคุณหมอและขอเวลาตัดสินใจ

พี่ติไม่เร่งเร้าให้ฉันตัดสินใจ ฉันขออนุญาตคุณหมอเข้าไปเยี่ยมแม่ เมื่อหมออนุญาตฉันและพี่ติจึงสวมเสื้อคลุมสีเขียวแล้วเข้าไปในห้องที่แม่นอนอยู่

ฉันเห็นอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมายติดตรึงรั้งร่างกายคุณมาระโยงระยางไปหมด ฉันนั่งลงกุมมือแม่ ภาพความทรงจำต่างๆ ของแม่ผุดลอยขึ้นมาในห้วงคำนึง ตั้งแต่เรายังเล็กๆ จนถึงวันที่ฉันเซซังกลับมาอยู่บ้าน แม่นี่เองที่คอยประคับประคองฉันอยู่ตลอดมา ใจหนึ่งฉันคิดว่าหากเครื่องช่วยให้ใจจะยื้อรั้งให้แม่อยู่กับฉันได้นานขึ้นฉันก็ยินดี แต่จู่ๆ ภาพที่ฉันนั่งพูดคุยกับแม่ก็ย้อนกลับมา

‘นี่กุน แม่จะสั่งไว้ แม่กับพ่อมีประกันชีวิตนะ กรมธรรม์และเบอร์ตัวแทนอยู่ในตู้เซฟหัวเตียง ในนั้นมีเงินสดเครื่องประดับของแม่และบัญชีธนาคาร พ่อกับแม่กันส่วนที่ใช้ทำงานศพของเราเอาไว้แล้ว แกดูให้ดี พ่อกับแม่คุยไว้แล้วถ้าใครตายก่อนก็แล้วไป ใครอยู่ต่อค่อยเรียกลูกมาสั่งความไว้ แต่แม่มาฉุกคิดว่าถ้ามันบังเอิญตายพร้อมกันล่ะจะทำไง แม่เลยบอกกุนไว้ก่อนไง…’

‘แม่พูดอะไรไม่เป็นมงคลแบบนั้นคะ’ ฉันท้วง

‘โอ๊ยกุน ใครบ้างที่จะมีชีวิตอยู่ค้ำฟ้า เกิดมาก็ต้องตาย มรณานุสตินะลูก คิดถึงความตายไว้ทุกเมื่อเชื่อวัน เราจะได้ไม่ประมาท…พ่อกับแม่ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้หรอกนะ สมบัติเราไม่ได้มากมายขนาดนั้น ลูกๆ ก็มีแค่สองคน แต่แม่ทำหนังสือแสดงเจตจำนงให้ลูกเป็นผู้จัดการมรดกไว้นะ ใส่ซองสีน้ำตาลอยูในเซฟนั่นละหากวันนั้นมาถึงขอให้ลูกแบ่งกับธารีคนละครึ่งเท่าๆ กันนะ แม่ไว้ใจกุนว่าจะเป็นธรรมกับน้อง ส่วนธารีนั่นน่ะ แม่ไม่อยากจะไว้ใจ มันหยิบโหย่งหลักลอยเสียเหลือเกิน…’ แม่หยิบบัตรเขียนรหัสตู้เซฟและกุญแจเซฟสำรองให้ฉันก่อนพูดต่อว่า ‘…แม่สั่งไว้เลยนะ ถ้าแม่ป่วยหนักไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม อย่าทรมานแม่ด้วยการเอาสายอันโน้นอันนี้มาเสียบมารั้งแม่ไว้นะ ถ้ามันจะตายก็ปล่อยมันไป อยู่มาจนวันนี้แม่ไม่เสียดายอะไรแล้ว เรื่องห่วงก็มีบ้างละตามประสา แต่ก็รู้ว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยตัวมันเอง…เข้าใจที่แม่สั่งใช่ไหม’

แม่บทสนทนานั้นจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ยังคงดังก้องในใจฉัน สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจทำตามความปรารถนาและเจตนารมณ์ของแม่

แม่จากไปในตอนเช้าของอีกวัน ท่ามกลางความสูญเสียและเปลี่ยนแปลงพี่ติยังคงอยู่ข้างๆ ฉันและเป็นหัวแรงช่วยเหลือฉันทุกอย่าง เมื่อฉันโทร.กลับบ้านจึงรู้ว่าธารียังไม่กลับบ้านและเครือแก้วมาช่วยรับหน้าที่ดูแลเด็กๆ แทน ส่วนนายขวดก็ได้นำเครื่องแบบเต็มยศของพ่อ และชุดสวยของแม่มาส่งให้ฉันเพื่อเปลี่ยนให้ท่านทั้งสอง นอกจากนี้ยังได้ติดต่อหาอดีตลูกน้องคนสนิทของพ่อให้กรุณาช่วยจัดการจองศาลาบำเพ็ญกุศล อดีตลูกน้องคนสนิทของพ่อซึ่งขณะยังคงรับราชการอยู่เมื่อทราบข่างก็รีบจัดการจองศาลาบำเพ็ญกุศล และให้ลูกน้องของท่านจัดเตรียมการไว้ให้อย่างเพียบพร้อมทุกอย่าง

ธารีมาถึงวัดเมื่อร่างของพ่อแม่บรรจุลงหีบเรียบร้อยแล้ว ธารีร้องไห้คร่ำครวญจนนายขวดประหลาดใจ “นี่ฉันกลัวจริงเชียวว่าน้องสาวยายกุนจะแบหลาตามพ่อแม่ไป” นายขวดหันไปกระซิบกับเครือแก้ว เครือแก้วแม้จะหลุดขำออกมานิดหนึ่ง แต่ก็ตีมือนายขวดไปหนึ่งทีเบาๆ “เธอนี่ไม่รู้เวลา”

เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นครั้งใด ฉันก็ระลึกเสมอว่า หากไม่ได้พี่ติ นายขวด และเครือแก้วแล้ว ฉันก็ไม่รู้เลยว่าฉันจะจัดการงานของพ่อแม่ให้ออกมาเรียบร้อยและสมเกียรติได้อย่างไร

ฉันเพิ่งรู้ว่าความเปล่าเปลี่ยวและเสียใจจากความสูญเสียที่แท้จริงไม่ได้เริ่มที่งานศพ แต่เริ่มจากงานศพเสร็จแล้วต่างหาก ฉันเผชิญความสูญเสียอย่างแท้จริงเมื่อทุกคนที่เข้ามาช่วยงานศพกลับไปแล้ว พี่ติต้องกลับไปทำงานที่ต่างจังหวัด นายขวดและเครือแก้วต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ฉันที่เคยมีพ่อแม่ค่อยสนับสนุนโดยเฉพาะช่วยจัดการเรื่องส่วนตัวหลายๆ อย่างเมื่อไม่มีท่านฉันต้องรับผิดชอบหน้าที่เหล่านั้นเองทั้งหมด

เมื่อฉันต้องดูแลเด็กๆ ด้วยตนเองทำให้ฉันต้องตื่นแต่ดึก เพื่อมันจัดการเตรียมอาหารเช้า ปลุกเด็กๆ ให้มาอาบน้ำและรับประทานข้าวเช้า แล้วต้องรีบออกจากบ้านเพื่อไปส่งเด็กๆ ที่โรงเรียน ก่อนจะพาตัวเองไปถึงที่ทำงาน แม้ว่าโรงเรียนของเด็กๆ และที่ทำงานของฉันจะอยู่เส้นทางเดียวกัน แต่ก็ต้องฝ่าดงรถติดทุกวัน หนักเข้าฉันจึงขอร้องให้ธารีรับผิดชอบไปรับไปส่งตาสืบซึ่งยังเรียนอยู่ในโรงเรียนละแวกบ้าน เพื่อที่จะช่วยประหยัดเวลาให้ฉันลงบ้าง ธารีก็รับปากอย่างขอไปที ฉันมารู้ภายหลังว่าหากวันไหนธารีไม่ว่างหรือไม่ตื่น ตาสืบต้องเดินไปโรงเรียนซึ่งอยู่ห่างไปอีก 2 ซอยเอง แม้ฉันจะสงสารหลานแต่ก็จนใจ บางครั้งธารีควรรับผิดชอบชีวิตของตนเองบ้าง

ผ่านไปหนึ่งเทอม ผลการเรียนของลูกทั้งสองคนแย่ลง ส่วนฉันประสิทธิภาพในการทำงานก็ลดลงอย่างมาก จนพี่มาลีเรียกฉันไปสอบถามว่าฉันเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือไม่ ฉันจึงตอบพี่มาลีไปตามตรง พี่มาลีแนะนำว่าลองหาบ้านใกล้ๆ ที่ทำงาน เพื่อได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ฉันเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับพี่มาลี ติดแต่ที่ว่าละแวกที่ทำงานและโรงเรียนของเด็กนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อพาร์ตเมนต์ หรืออาคารห้องชุดที่เรียกว่าคอนโดมิเนียมต่างก็มีค่าเช่าที่สูงลิ่ว แม้เงินเดือนของฉันและค่าใช้จ่ายที่พี่ติให้ในแต่ละเดือนจะพอค่าเช่าและค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่นั่นจะทำให้ฉันไม่มีเงินเก็บเหลืออยู่เลย ฉันกังวลว่าเมื่อลูกเรียนสูงขึ้นฉันจะลำบากในการส่งเสียลูกๆ ได้ ฉันจึงล้มเลิกความคิดนั้นเสีย

ฉันยังจำหน้าจ๋อยของเด็กๆ ในวันที่นำผลการเรียนมามอบให้ฉันได้ดี แต่ฉันไม่ตำหนิลูกแม้แต่สักคำ การที่ลูกๆ ต้องตื่นแต่ดึก ออกจากบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น และกลับถึงบ้านก็ดึกดื่นเต็มที การได้ผลการเรียนเช่นนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว

เมื่อฉันไม่ตำหนิ ตานะก็จึงกล้าเอ่ยปากขออนุญาตไปอยู่กับพี่ติที่ต่างจังหวัดในช่วงปิดเทอม ฉันนึกสงสารลูกที่ต้องลำบากลำบนผจญชีวิตในเมืองหลวงมาหลายเดือน อีกทั้งตั้งแต่คุณตาคุณยายเสียไป ลูกๆ ก็แทบจะไม่ได้เปลี่ยนบรรยากาศไปไหนเลย ฉันจึงอนุญาต ตาสืบร้องขอตามไปด้วย พี่ติไม่ติดขัดข้องแต่เป็นธารีที่ไม่อนุญาต ตาสืบจึงอดไปเปลี่ยนบรรยากาศกับพี่ๆ

ช่วงเวลาเปิดเทอมคงเป็นสวรรค์ของเด็กๆ พี่นะจะพาลูกๆ มาโทรศัพท์แบบเสียบบัตรหาฉันทุกวันเสาร์หลังสองทุ่ม ฉันถามว่าทำไมลูกโทรศัพท์มาหาเสียดึก ตานะบอกฉันว่าหลังสองทุ่มค่าโทร.ทางไกลจะถูกลง ดังนั้นบัตรโทรศัพท์หนึ่งร้อยบาทจะคุยกับแม่ได้นานขึ้น ส่วนยายนันท์ก็บอกว่าตู้โทรศัพท์อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของพ่อ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันนึกขอบคุณพี่ติอยู่ไม่น้อยเพราะช่วยให้เด็กๆ ผ่อนคลายจากความเครียดและเหนื่อยล้าช่วงเปิดเทอม และยังช่วยฉันให้ผ่อนแรงกว่าช่วงเปิดเทอมได้มาก ช่วงนี้งานของฉันกลับมาราบรื่นเหมือนเดิม แต่ฉันก็แอบเกรงๆ อยู่เหมือนกันว่าเมื่อถึงเวลาเปิดเทอมปัญหาเดิมๆ จะกลับมาอีก

 



Don`t copy text!