ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อฉันและแม่พาเด็กๆ ไปส่งโรงเรียนแล้วกลับมาถึงบ้าน ก็พบธารีนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหาร วันนี้ฉันสังเกตเห็นธารีมีความสุขเป็นพิเศษ “ทำไมวันนี้ดูธารีแจ่มใสเป็นพิเศษ” ฉันเอ่ยปากทัก

“อ้อ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ แค่เมื่อเช้าลูกค้าเขาตกลงซื้อที่ดินที่น้องเป็นนายหน้าขายแล้วละค่ะ น้องเลยดีใจที่เทอมหน้าน้องมีค่าเทอมให้ลูกแล้ว”

“พูดอย่างกับว่าค่าเทอมตาสืบมันสูงเป็นหมื่นเป็นแสน ถึงแกไม่มีจ่าย เงินบำนาญแม่ก็พอจ่ายให้หลานได้หรอก” แม่พูดขึ้นอย่างรู้สึกขวางๆ

“นี่พี่กุนพร้อมจะออกไปกับน้องหรือยังคะ” ธารีเปลี่ยนเรื่อง

“ขอพี่ไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อสักครู่นะ เมื่อเช้าปล้ำกับเด็กๆ จนเหงื่อแตกหน้ามันไปหมดแล้ว รอพี่ไม่เกินสิบนาที” ฉันตอบแล้วรีบขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัว

 

ธารีพาฉันลัดเลาะไปตามถนนและซอกซอยทางลัด บ้านฉันกับบ้านพี่ตินั้นความจริงไม่ไกลมากนัก แต่ไม่กี่ปีมานี้สภาพบ้านเมืองเจริญขึ้นมาก สุขุมวิทในยามนี้มีบ้านและตึกปลูกกันอยู่หนาแน่น ทำให้รถเริ่มติดขัดมากขึ้น กว่าจะถึงบ้านพี่ติก็เกือบสองชั่วโมง ธารีเลือกจอดที่รั้วหน้าบ้านพี่ติ รั้วบ้านของพี่ติเป็นแบบครึ่งปูนครึ่งเหล็กดัดสีขาวตามสมัยนิยมในเวลานั้น ทำให้ฉันสามารถมองผ่านรั้วเข้าไปเห็นสนามหน้าบ้านได้อย่างชัดเจน และจากมุมที่ฉันนั่งในรถทำให้มองเห็นภาพในสนามหญ้าหน้าบ้านได้อย่างชัดเจน

ภาพนั้นยังรบกวนฉันมานานหลายสิบปี เป็นหนามไหน่ที่ทิ่มแทงและค้างคาใจฉันมาตลอด

ฉันเห็นพี่ติอยู่ที่กลางสนามหญ้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง ข้างๆ ผู้หญิงคนนั้นมีกระเป๋าเดินทางแบบล้อลากใบใหญ่ ความเป็นผู้หญิงด้วยกันทำให้ฉันเห็นแววตาอัดอั้นอาลัยอาวรณ์ของผู้หญิงคนนั้นส่งผ่านมาถึงพี่ติ และพี่ติสามีของฉันของบรรจงกับมือผู้หญิงคนนั้นอย่างทะนุถนอม ทั้งสองพูดจากันเรื่องอะไร ฉันไม่ได้ยิน แต่สังเกตจากท่าทางแล้วฉันคิดว่าพี่ติกำลังปลอบโยนผู้หญิงคนนั้นอยู่ ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะเข้ากอดหมับอย่างแน่นแฟ้น ฉันอธิษฐานให้พี่ติผลักผู้หญิงคนนั้นออกจากตัว เพราะอย่างน้องฉันจะพอมีข้อแก้ตัวได้บ้างว่า พี่ติอาจไม่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกับผู้หญิงคนนั้นอย่างที่ฉันกำลังเข้าใจ แต่เปล่าเลย พี่ติโอบกอดและลูบหัวผู้หญิงคนนั้นตอบ

ระหว่างที่ฉันกำลังหูอื้อตามัวด้วยความโกรธ ธารีก็กระซิบข้างๆ หูฉันว่า “นี่คือธุระยุ่งของพี่ติละมั้งคะพี่กุน คงไกล่เกลี่ยให้เมียน้อยหลบไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง รอพี่กุนเผลอๆ ค่อยตามไปนัวเนียกันใหม่ น้องว่าพี่ติคงหลงนังนี่เอามากนะคะ ขนาดกล้าเอามาพักที่บ้านพ่อแม่ตัว ไม่กลัวพวกคนงานเห็นแล้วจะเอามาฟ้องพี่กุน…” ยายธารีพูดอะไรอีกยืดยาว แต่ฉันหูดับเสียแล้ว คำเดียวที่ก้องในหูคือ “พี่ติมีเมียน้อย พี่ติมีเมียน้อย…”

‘เราเป็นเมียจะอยู่ห่างผัวไปนานก็ไม่ดีนะคุณ ฉวยคนอื่นมันมาทำหน้าที่เมียแทนเราจะลำบาก’ เสียงยายทองสุกดังแว่วเข้ามา สลับกับภาพของแม่ที่แอบนั่งร้องไห้เงียบๆ เมื่อพ่อแอบมีนางบัวสี

‘นี่ฉันต้องมีชะตากรรมเดียวกับแม่หรือนี่…แม่อาจจะยอม แต่คนอย่างกุนตีไม่มีทางยอม!’

 

ฉันลงจากรถแล้วปิดประตูรถเสียงดังโครมใหญ่ด้วยความโกรธ ฉันเดินลงเท้าหนักๆ ไปที่ประตูรั้วก่อนกระหน่ำกริ่งที่หน้าประตูอย่างไม่ยั้ง ทั้งพี่ติและผู้หญิงคนนั้นหันมาเห็นฉันที่ประตูรั้ว ผู้หญิงคนนั้นถามพี่ติสองสามประโยค ก่อนแสดงที่หน้าเหมือนตกใจแล้วรีบเดินมาหาฉันที่ประตูรั้ว ส่วนพี่ติยังยืนงงอยู่ที่เดิม…ใจฉันเริ่มสั่น ต้องเป็นพี่ติสิที่เดินมาเพื่อจะอธิบายเรื่องราวกับฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น ความโกรธที่แล่นลิ่วอยู่ในใจกลายเป็นความน้อยใจเพราะพี่ติไม่เห็นความสำคัญของฉันแม้แต่น้อย ขนาดเขาทำผิดต่อฉันแท้ๆ ยังละเลยที่จะสนใจความรู้สึกของฉัน

หากความรักคือน้ำ ความโกรธคือไฟ บัดนี้ไฟแห่งความโกรธทำให้น้ำนั้นเดือดพล่านจนกลั่นเป็นไอน้ำที่หยาดลงมาจากดวงตาของฉัน

‘ฉันต้องไม่ให้ผู้หญิงคนนี้เห็นน้ำตา เพราะน้ำตาคือเครื่องหมายความความอ่อนแอและพ่ายแพ้ หากฉันแพ้ต่อเมียน้อยของพี่ติ จากนี้ไปมันคงเอาเรื่องนี้มาเยาะเย้ยฉันไม่รู้จบรู้สิ้น’ คิดได้อย่างนั้น ฉันก็ตัดสินใจถอยไปตั้งหลักที่บ้านก่อนดีกว่า อย่างน้องก็มีแม่ช่วยหนุนหลังให้ฉันไม่เพลี่ยงพล้ำ

“ธารีกลับบ้าน…” ฉันหันหลังเดินมาบอกน้อง

“กลับทำไมคะ ลุยกันให้รู้ดำรู้แดงก่อนสิพี่กุน เรามันเมียหลวงเมียแต่ง” ธารีตอบ

“ธารี พี่ไม่ไหวแล้ว พาพี่กลับ” ฉันย้ำความต้องการให้ธารีฟังอีกหน แต่เปล่าดาย ธารียังยืนนิ่งเหมือนต้องการให้ฉันเผชิญกับสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา

เหมือนฟ้าคงสงสารฉัน จู่ๆ ก็มีแท็กซี่ว่างงานคันหนึ่งขับผ่านมา ฉันโบกเรียก เมื่อแท็กซี่จอดฉันก็รีบขึ้นรถแล้วสั่งให้แท็กซี่ออกไปทันทีโดยไม่สนในอะไรทั้งสิ้น

รถถึงบ้านฉันถึงรู้ตัวว่าไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท ฉันพยายามทำเสียงให้เป็นปกติเพื่อขอให้แท็กซี่รอสักครู่ ก่อนจะเดินขึ้นไปหยิบเงินในห้องนอนมาจ่ายพร้อมเพิ่มค่าเสียเวลาอีกเล็กน้อย ก่อนจะใช้พลังที่เหลืออีกน้อยนิดพาร่างที่เหมือนผ่านสมรภูมิสงครามที่หนักหน่วง กลับขึ้นไปบนห้องนอนของฉัน โชคดีเหลือเกินที่เด็กๆ ยังอยู่ที่โรงเรียน ฉันล็อกประตูห้อง ก่อนทิ้งตัวลงบนที่นอนร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต

แม่ซึ่งนั่งทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่ เห็นฉันกลับมาโดยรถแท็กซี่ก็รู้สึกแปลกใจ ยิ่งเห็นฉันหายไปอยู่บนห้องเสียนานก็ตามขึ้นมาดู ฉันเปิดประตูให้แม่เข้ามาในห้อง แล้วตอบคำถามตามแต่อารมณ์จะพาไป กว่าแม่จะจับเนื้อความได้ก็นานโข แต่แม่ก็อดทนนิ่งฟังอยู่โดยไม่ได้ขัดฉันแม้แต่คำเดียว

“มั่นใจแล้วหรือลูกว่าพ่อติมีเมียน้อย” แม่ถาม

“กุนเห็นกอดกันกลมขนาดนั้นจะให้กุนคิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไงคะแม่ แล้วอีกอย่างพี่ติพาเมียน้อยไปกกถึงบ้านพ่อแม่ตัวเอง แม่คิดว่าทำแบบนี้หยามกุนเกินไปไหมคะ”

“ใจเย็นกุน ค่อยพูดค่อยจา ถามกันเสียให้ดีก่อน”

“แม่ลองคิดสิคะ ถ้าเขาไม่ได้มีเมียน้อย ไม่สิคะ ถ้าเขารักกุนมากกว่านี้สักนิด เขาต้องตามมาอธิบายเรื่องราวให้กุนฟังแล้ว แต่นี่ยังไม่เห็นเขาตามมาหากุนเลย แล้วแม่จะให้กุนคิดว่าอย่างไรได้ นอกจากเขารักและแคร์เมียน้อยของเขามาก มากกว่ากุน มากกว่าลูก…”น้ำตาที่ฉันคิดว่าหยุดแล้วกลับไหลพรากออกมาอีกครั้ง

เสียงรถของธารีแล่นเข้ามาในบ้าน ทั้งฉันและแม่เงี่ยหูฟังว่าจะมีเสียงรถอีกคันขับตามมาหรือไม่

ปรากฏว่ามีเสียงรถธารีขับเข้ามาเพียงคันเดียว

เสียงฝีเท้าธารีดังขึ้นมาตามคั่นบันได ก่อนที่จะมาหยุดที่หน้าประตูห้องฉัน…มีธารีเพียงคนเดียวจริงๆ ด้วย สีหน้าของธารีดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ตอนนั้นฉันเดาว่าเพราะธารีโกรธและโมโหแทนฉัน

“พ่อติล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรือ” แม่ถามตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม

“พี่ติไปส่งผู้หญิงคนนั้นค่ะ” ธารีตอบนิ่งๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “ธารีห่วงว่าพี่กุนนั่งแท็กซี่มาคนเดียว เลยตามกลับบ้านมาดู เห็นพี่กุนปลอดภัยดีก็ดีแล้วค่ะ เดี๋ยวธารีจะออกไปพบลูกค้าอีกรายก่อน…อ้อ ตอนเย็นเดี๋ยวธารีแวะรับเด็กๆ กลับบ้านด้วยเลย แม่กับพี่กุนจะได้ไม่ต้องฝ่าแดดออกไป” ธารีหันหลังลงไปบันได และสตาร์ตรถขับออกจากบ้านไป เสียงรถลับหายให้โผเข้ากอดแม่ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

“ผิดจากกุนว่าที่ไหนกันคะแม่ เขาแคร์ผู้หญิงคนนั้นมากกว่ากุน ขนาดเห็นอยู่คาหนังคาเขาแทนที่พี่ติจะกลับมาแก้ตัว หรืออธิบายให้ธารีฟัง พี่ติกลับเลือกไปส่งผู้หญิงคนนั้น…”

แม่ลูบหัวปลอบโยนฉัน “ใจเย็นๆ นะกุน เรื่องอาจไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้”

“จะให้กุนคิดอะไรได้อีกคะแม่ เหตุการณ์มันก็บอกอยู่ชัดๆ อยู่แล้ว”

“ถ้าพ่อติมา…แม่คิดว่าพ่อติต้องมา…ลูกจะให้แม่ทำยังไง” แม่ถาม

“ให้เขากลับไปคะ… กุนไม่พร้อมจะเจอหน้าเขา” ฉันตอบทั้งที่อารมณ์ยังพลุ่งพล่าน

แม่นิ่งคิด ก่อนจะตอบฉันว่า “อืม…ถ้าพ่อติเขามา แม่จะคุยกับเขาก่อน”

 

พี่ติมาหาฉันจริงๆ ในเย็นวันนั้น นี่คงส่งผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วถึงมาหาฉันได้ ฉันทั้งโกรธทั้งน้อยใจอย่างที่สุดจึงไม่ลงไปพบ แม่เดินขึ้นมาหาฉันที่ห้องนอน บอกให้ฉันลงไปคุยให้เรียบร้อย ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรก็ค่อยว่ากัน “กุนลงไปคุยกับพ่อติสักหน่อยเถิด เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจ”

“กุนไม่ลงไปหรอกค่ะแม่” ฉันตอบ

“แม่คุยกับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแท้ๆ ตั้งสติแล้วลงไปคุยกันให้เข้าใจ พ่อติบอกว่ากลับลงไปคราวนี้อีกนานเลยกว่าจะได้ขึ้นมาอีก” แม่ใจเย็นอธิบาย

ประโยคที่แม่บอกว่า ‘พ่อติบอกว่ากลับลงไปคราวนี้อีกนานเลยกว่าจะได้ขึ้นมาอีก’ ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกทั้งโกรธและน้อยใจ ฉันคิดในใจว่าที่ว่าอีกนานถึงจะขึ้นมาได้เพราะต้องกกกอดปลอบโยนนังผู้หญิงคนนั้นละสิ ฉันเริ่มรู้สึกพาลในใจจึงบอกแม่ไปว่า “วันนี้ให้ตายกุนก็จะไม่ลงไป” แม่ได้ฟังก็ส่ายหน้า แล้วเดินลงไป

ทั้งที่ปากบอกว่าไม่สนใจแต่หูของฉันก็พยายามเงี่ยเพื่อสดับตรับฟังว่าข้างล่างเขาพูดคุยอะไรกัน มีเรื่องของฉันบ้างหรือไม่…ไม่มี ไม่ได้ยินเรื่องของฉันสักน้อย ได้ยินแต่เสียงกรี๊ดกราดสนุกสนานของลูกๆ ทั้งสองคนและตาสืบที่เล่นสนุกอยู่กับพ่อและลุงของเขา พี่ติมักเป็นแบบนี้เมื่อได้พบลูกๆ ก็จะเล่นสนุกกันโดนไม่ห้ามปรามอย่างใด สักพักฉันก็ได้ยินเสียงเด็กๆ วิ่งตุบตับขึ้นบันไดมาแล้วเข้าห้องของคุณยายไปอย่างว่าง่าย จากนั้นอีกกว่าครึ่งชั่วโมงฉันถึงได้ยินเสียงรถของพี่ติขับออกจากบ้านไป ฉันยังไม่นอนกะเกณฑ์ว่าอีกสักพักแม่คงจะเข้ามาคุยด้วย แต่เปล่าเลยแม่เดินขึ้นชั้นสองมาแล้วก็เลยเข้าห้องนอนของตนเองไป ส่วนธารีวันนั้นไม่กลับเข้าบ้าน เพียงโทร.มาบอกแม่ว่าจะไปดูที่ดินแปลงใหม่แถวพัทยาอีกสองสามวันถึงจะกลับ ฝากแม่ดูแลตามสืบธารด้วย

คืนนั้นทั้งคืนดวงตาฉันเบิกโพลงสว่างโร่อยู่ท่ามกลางความมืด ฉันเกิดคำถามว่าจากนี้ไปชีวิตของฉันกับความมืดในห้องนี้ สิ่งใดจะดำมิดไปกว่ากัน

 

“กุน พ่อติเขาบอกแม่ว่านั่นคือน้องสาว ลูกของลุงใหญ่” แม่พูดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เกิดเรื่องไปแล้วสองสามวัน

“แล้วแม่มั่นใจได้ยังไงคะว่าพี่ติพูดจริง”

“ทำไมเขาต้องโกหก…และที่ผ่านมาพ่อติเขาก็ไม่ใช่คนพูดปดเชื่อถือไม่ได้” แม่สวนความฉันกลับ

ฉันหงุดหงิดไม่น้อยที่แม่ช่วยแก้ตัวแทนพี่ติ จึงเผลอหลุดปากพูดไปว่า “พ่อก็ไม่เคยพูดโกหก ยกเว้นเรื่องบัวสี”

แม่หน้าถอดสีทันทีเมื่อได้ยินชื่อบัวสี ฉันรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เรื่องนี้เป็นบาดแผลใหญ่ในใจของแม่

แม่พยักหน้าแกนๆ แล้วยุติการสนทนาเรื่องนี้เพียงเท่านั้น

 



Don`t copy text!