ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (1)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (1)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

พี่ติจะโทรศัพท์ทางไกลมาหาฉันสัปดาห์ละครั้งและคุยกันได้ไม่นาน เพราะค่าโทรศัพท์ในตอนนั้นมันแพงเหลือใจ ทุกครั้งพี่ติจะต้องถามฉันว่า “กุนและลูกๆ สบายดีใช่ไหม” ส่วนฉันหลังจากถามทุกข์สุขของพี่ติแล้วก็จะถามแต่ประโยคเดิมว่า “มีโอกาสจะย้ายเข้ามาใกล้ๆ กันได้บ้างไหมคะ” ซึ่งพี่ติก็ได้ให้คำตอบแต่ว่า “กำลังพยายาม”

ย้อนคิดกลับไปในช่วงนั้น ฉันรู้สึกว่าตัวเองเงียบเหงา เพราะหลังจากส่งลูกๆ ไปโรงเรียนแล้ว ก็แทบจะอยู่ว่างทั้งวัน เพื่อนๆ ในกลุ่ม ถ้าไม่มีครอบครัวก็ต่างต้องมีหน้าที่การงานของตนเอง ฉันมีเพียงธารีน้องสาวเท่านั้นที่พอเป็นเพื่อนคลายเหงาเหมือนเมื่อตอนเรายังเป็นเด็กๆ

ธารีเป็นคนคุยสนุก ไม่ค่อยขัดใจใคร แม่บอกว่าข้อดีของธารีเพียงอย่างเดียวคือการรู้จักพูดจาอ่อนหวานและโลมเล้าเอาใจคนอื่น แต่อย่างอื่นแทบจะไม่มีอะไรเลย

น้องสาวของฉันคนนี้ต่างกับฉันแทบจะทุกอย่าง ธารีเป็นคนรูปร่างสันทัดแต่พอเวลาผ่านไปธารีมีลูก ก็ทำให้เธอเป็นผู้หญิงเจ้าเนื้อ ด้านการเรียนธารีเรียนไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร แต่แรกแม่ไม่หวังให้ธารีเข้ามหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ แม่เคยบอกกับธารีว่า “ธารีน่าจะสอบจบมอศอห้าได้ยาก แม่ว่าธารีไปเรียนปอกอศอและต่อปอกอสองสูง แล้วค่อยมาสอบบรรจุน่าจะดีกว่า” แม่หมายมั่นให้ธารีเข้าเรียนในวิทยาลัยครูแห่งหนึ่งใกล้บ้าน แต่ธารีไม่อยากเป็นครู ฉันมารู้ภายหลังว่าธารีอยากมีชีวิตที่หรูหราในวงสังคมมากกว่าเป็นครูที่อาจต้องเริ่มบรรจุในต่างจังหวัดไม่ใช่กรุงเทพฯ เหมือนอย่างที่แม่เคยเป็น

ธารีบอกแม่ว่าอยากเรียนวิชาเลขานุการ ธารีเคยเห็นเลขานุการในภาพยนตร์ฝรั่ง ภาพจำของน้องเลขานุการคือผู้หญิงที่แต่งตัวสวยๆ ได้แต่งหน้า ทาเล็บ นั่งพิมพ์ดีดบนเก้าอี้หมุน ดูเก๋ไม่น้อย

แต่แรกแม่ไม่ยอม แม่อยากให้ธารีรับราชการเพราะอย่างน้อยเมื่อยามแก่จะได้มีบำเหน็จบำนาญไว้เลี้ยงตัว แต่เป็นพ่อที่เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ธารีเลือก “ให้ธารีมันเรียนเลขานุการก็ได้ ถ้าวันไหนมันอยากรับราชการอย่างน้อยก็น่าจะพอสอบตำแหน่งเสมียนได้”

ฉันไม่รู้เลยว่าธารีคิดว่าสิ่งที่พ่อพูดนั้นคือคำดูถูก ทำให้ธารีทะเยอทะยานอยากพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเธอก็มีความสามารถเป็นได้มากกว่าเสมียน จนพลาดท่าเลือกคนที่มีแต่เปลือกอย่างนายสืบพงศ์มาเป็นคู่ครอง

เมื่อธารีเรียนจบในโรงเรียนที่สอนการเป็นเลขานุการก็พยายามหางานแต่ก็ไม่ได้เสียที จนวันหนึ่งเพื่อนร่วมเรียนเลขานุการของธารีก็ชวนเธอไปร่วมงานเลี้ยง ที่นั่นธารีก็ได้พบกับสืบพงศ์ เมื่อสืบพงศ์รู้ว่าธารีเป็นใครก็พยายามเข้ามาทำความรู้จัก ธารีตกลงปลงใจแต่งงานกับสืบพงศ์อย่างรวดเร็ว พ่อเคยพูดว่า “มันเห่อเหิมสมบัติของนายนั่น ธารีช่างไม่เฉลียวเลยว่าคนอย่างนั้นจะหาเงินมาด้วยวิธีไหนได้มากขนาดนี้… มันอยากได้ผัวคนนี้มากจนกล้าไปมีอะไรกันจนท้องโย้ มันเอาเด็กมาบีบบังคับพ่อแม่ให้ยอม ในเมื่อมันเลือกทางชีวิตเอง พ่อคงหมดปัญญาจะช่วยรั้ง สุดแล้วแต่เวรแต่กรรม กรรมใครกรรมมัน แต่แกคอยดูเถิดกุน ไม่เกินห้าปีนี้หรอก วิมานของธารีจะต้องพังทลาย”

 

สุดท้ายพ่อก็ต้องรับลูกสาวสองคนแถมหลานๆ อีกสามคนมาดูแลที่บ้านของท่าน

พ่อได้ที่ดินจากบำเหน็จทหารแปลงหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมืองออกมา พ่อและแม่ใช้เงินเก็บสร้างบ้านหลังพอเหมาะไว้หลังหนึ่ง เพื่อเตรียมย้ายออกจากบ้านพักในกรมทหารมาอยู่บ้านหลังนี้ยามที่เกษียณอายุราชการแล้ว บ้านหลังนี้ไม่ไกลจากชุมชนมาก ทุกเช้าฉันจะต้อนเด็กๆ ทั้งสามคือ นกุล ศาตนันท์ และสืบธาร ไปโรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน ซึ่งนกุลเข้าเรียนในชั้นอนุบาล ส่วนศาตนันท์และสืบธารได้เข้าเรียนในชั้นเตรียมอนุบาล แต่แรกคุณยายไม่เห็นด้วยที่จะส่งศาตนันท์และสืบธารไปโรงเรียนในวัยที่ยังเป็นเด็กเล็กขนาดนั้น แต่ธารีอ้างว่าอยากให้ลูกคุ้นเคยกับโรงเรียนเร็วๆ จึงส่งไปตั้งแต่เตรียมอนุบาล แม่จึงได้แต่บ่นว่า “ธารีมันขี้เกียจเลี้ยงลูก”

ทุกเช้าฉันและแม่จะช่วยกันจับเด็กๆ ทั้งสามคนอาบน้ำแต่งตัว ป้อนอาหารเช้า แล้วก็จูงพาเด็กๆ ทั้งสามคนเดินไปโรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ไกลบ้านมากนัก หลังจากนั้นฉันก็ว่างจนถึงเวลาไปรับเด็กๆ ทั้งสาม ฉันพยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้อยู่ว่าง แต่ในบ้านที่มีผู้หญิงถึงสามคนและคนงานช่วยทำความสะอาดอยู่แล้วจึงไม่มีอะไรให้ทำมากนัก ส่วนธารีก็ตื่นขึ้นในเวลาที่เด็กๆ ไปโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว น้องจึงมีหน้าที่แค่อาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกพบปะผู้คน

“ให้ธารีมานั่งแกร่วอยู่บ้าน ธารีทำไม่ได้หรอกค่ะเดี๋ยวเป็นบ้าไปเสียก่อน วันนี้ธารีจะไปพบเพื่อนเก่าที่โรงเรียนเลขา เขาบอกธารีว่าจะให้ธารีช่วยเป็นนายหน้าค้าที่ดิน ถ้าขายได้จะให้ส่วนแบ่งธารีตั้งร้อยละสิบแหน่ะค่ะ…” ธารีหยุดนิ่งเหมือนจะฉุกคิดอะไรได้ “…แต่ที่ดินแปลงนั้นก็ไม่แพงมากนักหรอกคะ พอได้เป็นค่าขนมนายสืบธาร จะได้ไม่ต้องรบกวนแม่มากนัก”

เป็นอันว่าธารีตั้งใจจะทำอาชีพนายหน้าค้าของต่างๆ แม่แม้จะไม่ค่อยชอบที่ธารีตะลอนๆ ออกนอกบ้านทุกวัน แต่ก็ไม่พูดอะไรมากนัก เพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว นอกจากคำเตือนที่แสดงความห่วงใยว่า “จะค้าจะขายอะไรก็ระวังตัวให้ดี อย่าไปยุ่งกับของผิดกฎหมายอย่างนายพงศ์เข้าล่ะ สงสารตาสืบธารมัน” ส่วนฉันก็อยู่ดูแลบ้าน ช่วงเช้าช่วยแม่ดูแลเด็กๆ กลับมาดูแลงานบ้านงานครัว และความเป็นอยู่ของพ่อแม่ เป็นเช่นนี้ไปทุกเมื่อเชื่อวัน

ทุกเย็นธารีมักจะเอาเรื่องราวจำพวกข่าวซุบซิบในวงสังคมมาเล่าให้ฉันและแม่ฟังเสมอ แม่ก็รับฟังไปแกนๆ เพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องอะไรของตนเอง แต่ธารีก็รู้สึกชอบนักหนาที่ได้เล่าเรื่องราวของคนอื่น แม่เคยเปรยว่า “ธารีมันชอบเป็นพวกศูนย์กลางข่าวสารข้อมูล ใครอยากรู้อะไรเรื่องชาวบ้านถามธารีเถอะมันรู้หมด…นี่ถ้าแม่รู้ว่าธารีชอบอะไรแบบนี้นะ แม่จะขอให้พ่อฝากมันไปทำงานในหน่วยข่าวกรอง เผื่อมันจะได้เป็นนายพลหญิงตั้งแต่ยังสาว”

เย็นวันหนึ่งในวงรับประทานอาหารเย็น หลังจากเด็กๆ อิ่มหมดแล้ว และก็วิ่งกรูไปนั่งเล่นที่มุมของเล่น ส่วนพ่อซึ่งอิ่มจากการรับประทานอาหารแล้วก็ขอตัวลุกขึ้นไปนั่งเล่นกับหลานๆ ปล่อยให้พวกเราผู้ใหญ่ที่เหลือนั่งคุยกัน จู่ๆ ธารีก็เอ่ยปากถามฉันว่า “พี่ติไม่คิดจะย้ายกลับมาใกล้ๆ พี่กุนกับหลานๆ บางหรือคะ”

“เห็นว่าทำเรื่องอยู่นะ แต่ไม่รู้ว่าช่วงขอย้ายรอบนี้จะได้อนุมัติไหมนะ ถามทำไมหรือธารี” ฉันตอบ

ธารีไม่ตอบคำถามฉัน แต่กลับย้อนถามฉันอีกว่า “แล้วพี่ติอยู่ไกลขนาดนั้นคงไม่ได้กลับมากรุงเทพบ่อยๆ สินะคะ”

“ถ้ามีราชการหรือหยุดยาวพี่ติก็จะกลับมาที เธอก็เห็นนี่ธารี”

“เปล่า ก็ช่วงนี้น้องเห็นว่าพี่ติหายไปเลย โทรศัพท์ก็ไม่เห็นโทรมาหาพี่กุนกับหลานๆ” ธารีพูดยิ้มๆ อย่างมีเลศนัย

“พ่อติงานคงยุ่งมากละมั้งช่วงนี้ เลยไม่โทรมา” แม่พูดขึ้น

“ก็ขอให้เป็นอย่างแม่พูดนะคะ… ” ธารีพูดก่อนละลุกขึ้นจากโต๊ะรับประทานอาหาร “…ธารีขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ อยากอาบน้ำแล้ว” เธอลุกเดินขึ้นห้องของตัวเองไป ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าธารีตั้งใจหยอดเมล็ดพันธุ์ความหวาดระแวงให้ฉันไว้หรือไม่

หลังจากวันนั้นหลังอาหารเย็น ธารีก็มักจะพูดเรื่องทำนองนี้แทบทุกวัน บางวันก็เล่าเรื่องเพื่อนร่วมรุ่นที่มีสามีรับราชการแล้วจำเป็นต้องแยกกันอยู่ เมื่อตัวภรรยาเผลอไผลสามีก็มอบฐานะเมียหลวงให้โดยไม่ทันตั้งตัวบ้าง บางคราวก็ถามถึงศานติเอาเสียดื้อๆ ว่าสบายดีไหม หรือทำอะไรอยู่ การกระทำของธารีทำให้ทั้งฉันแม่สงสัยอยู่ไม่ใช่น้อย จนแม่รู้สึกอัดอัดรำคาญจึงออกปากถามเสียดื้อๆ ว่า “แกไปรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพ่อติมาหรือธารี แม่เห็นแกอ้อมค้อมมาเสียหลายวันแล้ว แต่แม่เตือนแกก่อนนะว่า เรื่องที่แกจะเล่าต้องเป็นเรื่องจริงนะ ไม่ใช่แค่ฟังๆ เขาเล่ามา แต่แม่บอกแกตรงนี้เลยนะว่าแม่ไม่เชื่อว่าพ่อติจะมีพฤติกรรมอย่างที่แกเล่าๆ มา”

ฉันเห็นธารีไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะปรับให้สีหน้าเป็นปกติ แล้วพูดว่า “งั้นธารีไม่พูดดีกว่าค่ะ ไว้มีโอกาส ธารีค่อยพาพี่กุนไปดูกับตาเองดีกว่า… ธารีขอตัวนะคะ ร้อนเหลือเกิน ขอไปอาบน้ำให้สบายก่อน คืนนี้ธารีฝากตาสืบธารนอนกับพี่กุนเลยนะคะ” ธารีพูดแล้วก็ลุกฮัมเพลงเดินขึ้นชั้นบนของบ้านไป

“ยายธารีนี่ชักจะเอาใหญ่ กุนเราก็อย่าไปสนใจเลย เหลวไหลทั้งเพ” แม่พูดพลางเก็บสำรับอาหารไปพลาง ฉันลุกขึ้นช่วยแม่เหมือนไม่ได้นำพากับสิ่งธารีพูด แต่ความจริงแล้วในใจก็หวั่นไหวไม่น้อย ล่าสุดพี่ติก็บอกว่ามีเรื่องยุ่งๆ ที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยภายในเดือนนี้ อาจไม่ได้ติดต่อมาหาเหมือนเคยไม่ต้องเป็นห่วง

ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในขณะนั้นเพราะความว่าง ความเหงา ความว้าเหว่ หรือความรักและหวงแหนในตัวพี่ติมีอยู่มากมายจนเกินไป ทำให้ฉันรู้สึกหวั่นไหวและคิดเพ้อเจ้อไปมากมายว่าแท้จริงแล้วปัญหาที่พี่ติว่าต้องจัดการนั้นคือเรื่องของผู้หญิงคนใดคนหนึ่งที่พี่ติกำลังไปติดพันอยู่หรือไม่ ฉันคิดฟุ้งซ่านไปไกลจนนอนไม่หลับ พลิกตัวกลับไปกลับมาหลายหน ในหัวก็เกิดคำถามว่า ‘หากพี่ติทำเช่นนั้นจริง ฉันจะทำอย่างไรดี’ ฉันผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียก่อนรุ่งสางไม่นาน ฉันหลับไปพร้อมกับคำตอบว่า ‘หากพี่ติทำอย่างนั้นฉันจะไม่มีทางให้อภัย ไม่ให้อภัยเด็ดขาด’

 

ผ่านไปอีกสัปดาห์อย่างสับสน พี่ติโทรศัพท์มาเยี่ยมฉันกับลูก คราวนี้คุยนานกว่าปกติ ก่อนวางสายพี่ติบอกฉันว่าช่วงนี้มีเรื่องยุ่งวุ่นวาย

“เรื่องเกี่ยวกับลุงใหญ่นั่นละกุน วุ่นวายพอควรทีเดียว ไว้เสร็จเรื่องแล้วพี่จะเล่าให้กุนฟังทีเดียวแล้วกัน”

พี่ติให้คำสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าเมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วจะมาเยี่ยมฉันและลูก ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นมาก แต่คำตอบที่ยังคลุมเครือของสามีทำให้ฉันไม่สามารถปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาหลายวันได้เสียที

หลังวางสายฉันเห็นธารียื่นกอดอกพิงเสาอยู่ข้างๆ โต๊ะวางโทรศัพท์ “วันนี้พี่ติคุยเสียนานเลยนะคะ” ธารีเอ่ยขึ้นยิ้มๆ

“คงชดเชยที่ไม่ค่อยได้โทรมาช่วงก่อนนั้นละมั้งธารี” ฉันพยายามหาเหตุผลมาตอบน้องสาว

“โทรมานานขนาดนี้ เหมือนไม่ได้โทรทางไกลเลยนะคะ อย่างกับโทรศัพท์อยู่ในเขตเดียวกัน ยกหูหนึ่งหนเสียสามบาท จะคุยนานแค่ไหนก็ได้” ธารีพูดสะกิดฉัน

“พี่ติมาประชุมละแวกกรุงเทพนี่ละ แต่ติดว่าบ้านเราอยู่ไกลจากที่ประชุม จึงไม่ได้มาค้างที่นี่ เสร็จงานคงมาเยี่ยมก่อนกลับใต้” ฉันตอบ

ขณะที่ฉันจมในความคิดธารีก็ถามฉันขึ้นว่า “อ้อ พี่กุนคะ บ้านพี่ติที่สุขุมวิทตอนนี้ใครดูแลอยู่คะ”

“ไม่มีใครอยู่หรอกจ้ะธารี แต่พี่ติจะให้แม่บ้านและคนสวนที่จ้างไว้ไปทำความสะอาดบ้านและสวนหย่อมเดือนละครั้ง” ฉันตอบ

“หรือคะ…พรุ่งนี้น้องต้องไปทำธุระในซอยบ้านพี่ติพอดีเลยค่ะ พี่กุนอยู่ว่างๆ ตามน้องไปดูบ้านพี่ติหน่อยดีไหมคะ เผื่อมีอะไรเสียหายจะได้สั่งซ่อมแซม ปล่อยไว้จะพานพาส่วนอื่นๆ ของบ้านเสียไปด้วย ไว้ใจพวกคนงานไม่ได้หรอกค่ะ พวกนี้เขาทำแค่ตามที่สั่ง ก็ไม่ใช่บ้านเข้านี่คะ” ธารีเอ่ยขึ้น

ฉันออกจะประหลาดใจที่อยู่ๆ ธารีก็ชวนฉันไปดูบ้านพี่ติ แต่คิดไปคิดมาก็ดีเหมือนกัน อยู่ว่างๆ จะได้ช่วยพี่ติไปดูบ้านนั้นด้วย

“ไปสิ ดีเหมือนกันไม่ได้ไปบ้านนั้นมานานแล้ว ป่านนี้ไม่รู้โทรมไปมากน้อยเท่าไรแล้ว”

 



Don`t copy text!