บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 49 : สัญชาตญาณแม่

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 49 : สัญชาตญาณแม่

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

พระบุญลือเอาไม้กากะเยีย คือขาตั้งสำหรับโต๊ะเล็กสวมผ้าใช้วางรองสมุดไทยเมื่อเปิดสมุดออกอ่าน มีสี่ขาประสานกับข้อต่อร้อยหมุดให้กางออก หุบเข้าได้ ตัวไม้สีดำสนิท หัวไม้เป็นตุ้มงางดงาม มากองวางไว้รอซ่อมในยามว่าง

แม่จำปาวางม้วนเชือกฝ้ายเกลียวสีขาวลงข้างๆ

“เชือกฝ้ายฟั่นเกลียวนี้ปั่นผสมใยป่านแขกจนเหนียวแลขึ้นมัน ลุงหนุ่ยที่ทำฉากละครเขาให้มา บอกว่าใช้ซ่อมร้อยกากะเยียของพระ จะงามดี แลแข็งแรงด้วย”

“ฝากอนุโมทนาแก่โยมลุงหนุ่ยด้วยนะขอรับ โยมแม่”

แม่จำปามองดูหนังสือที่วางเปิดค้างอยู่ เห็นเป็นเรื่องทศชาติ พลันก็จุกในอก ลำคอตีบตัน พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อปริ่ม เธอรีบปาดด้วยปลายนิ้ว เงยหน้าหงายขึ้นสูงให้น้ำตาไหลคืนกลับ

พระบุญลือแลดูปราดเดียวก็เข้าใจ หยิบหนังสือมาพับเก็บ เอ่ยปลอบเบาๆ

“โยมแม่…เป็นอันหยังอีกนอ คิดเสียเถิดว่าป่านนี้นางลำจวนมันไปเกิดใหม่ สบายแล้ว”

จำปาพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
“นั่นสิพระ…ป่านนี้ นางลำจวนได้ไปเกิดใหม่ เป็นผู้ชาย…สมใจมันแล้ว…”

พอดีมีอาคันตุกะมาเยือนถึงกุฏิโดยไม่ได้นัดหมาย คือครูหมอลำจากราชสำนักทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าน้อยพระราชวังเดิม กับเมียสาวช่างฟ้อน ช่วยกันหอบหิ้วปิ่นโตและตะกร้าเดินขึ้นบันได ส่งเสียงเว้าลาวดังมาก่อนตัว

“หลวงพี่ขอรับ นมัสการขอรับ จะมาถวายเพลเด๊อ…หลวงพี่เด๊อ…”

จำปาหันไป ยิ้มละไมรอท่า

“อ้าว อาจำปา”

ครูหมอลำวางข้าวของ ยกมือไหว้

“กำลังคิดฮอดอยู่พอดี นี่ที่มาถวายเพลพระบุญลือ เพราะมีเหตุอยากเล่า”

“อะไรกัน…อยากเหล้าแล้วมาหาอาตมา อาตมาไม่มีเหล้าให้ถองกันดอกเน้อ”

พระบุญลือหยอกๆ

“อยากเหล้าอันใด สุราบางยี่ขันบ่อ”

แม่จำปาพลอยเล่นมุกกับเขาด้วย ลุกมาช่วยรับของไปจัดวาง

“อยากเล่า…คืออยากบอกกล่าวเล่าแจ้งแถลงความขอรับ บ่อแม่นอยากกินเหล้าดอก”

ทุกคนหัวเราะกัน

“อาจำปา…ข้าน่อยอยากเล่า…ว่าไปผ่อผู้บ่าวหนุ่มน่อยผู้นึงมา หน้าตาคือนางลำจวนลูกหล่าอาจำปายังกับฝาแฝด…ซางมาเกิดใหม่เร็วทันใจ เป็นเพศชายฮูปงามแท้ๆ น้อ…”

ตะกร้าที่จำปาช่วยยกไปแทบหลุดมือ เธอเข่าอ่อนจนต้องทรุดนั่งลงพิงฝาเรือน มีอาการเหมือนเป็นลม จนพระบุญลือเกือบผวาไปประคองรับด้วยลืมตัว

“ข้าน่อยยังได้ฟ้อนนำเพิ่นเลย เพิ่นฮูปงามคือนางบุษบาที่เทวดาเสกให้เป็นอุณากรรณ น่าเสน่หาล้าย หลาย…บ่อแมนแมญิงดอก เป็นผู้ซายนี่แหล แต่เป็นซายงามอย่างพระเอกละครหลวง”

สาวฟ้อนผู้เป็นคู่ชีวิตครูหมอลำเล่าบ้าง น้ำเสียงปลาบปลื้ม

“คือกันกับแม่ลำจวนหลายอย่าง รูปร่างหน้าตา แล้วยังว่ากลอนเก่งคือกันอีก”

ครูย้ำ

แม่จำปาหายใจเร็ว แรง ตื่นเต้น หยิบผ้ามาซับน้ำตาอย่างสุดกลั้น

พระบุญลือจึงได้แต่ถอนใจด้วยความห่วงกังวล

“คนคือกันหน้าตาคล้ายกันโดยความบังเอิญมีอยู่บ่อยๆ โยมแม่อย่างเพิ่งอุปาทานไป…”

“อาอยากเบิ่งเขา…จั๊กบ่อฮู้ว่าสิไปหาได้ที่ใด”

“เพิ่นเป็นหมู่ของลูกซายท่านอาลักษณ์ภู่ มานำท่านอาลักษณ์นั่นแหล”

“เห็นไหม ก็สมควรแล้ว ที่จะว่ากลอนเก่ง”

พระบุญลือโล่งใจไปได้บ้าง

“แล้วไปพบกันที่ใด”

สาวฟ้อนตอบทันที

“ที่บ้านคุณหลวงเสนีย์บริรักษ์คงแป๊ะช่างเขียนใหญ่จ้ะ อา”

“ช่างเขียนคงแป๊ะรือ…”

จำปายกมือทาบอก ตาเบิกกว้าง หันมามองหน้าพระบุญลือ แววหวังวาบระรัวในดวงตาผู้เป็นแม่

 

คลองบางกอกน้อย น้ำทรงนิ่งในตอนบ่าย      

ในห้องแม่จำปา ทางปีกซ้ายบนเรือนนายสุ่น แม่จำปาเปิดหีบผ้าของลำจวนออก เสื้อผ้าในนั้น พับเก็บไว้อย่างมีระเบียบเรียบกริบ

แม่จำปามอง นิ่งงัน แล้วหยิบสไบผืนโปรดของลำจวนขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ลูบคลำเต็มมือ ก่อนจะยกขึ้นมาสูดดม

พลันน้ำตาแม่จำปาก็ไหลออกมาซ้ำซาก

นางทิมยกพาข้าวใส่สำรับอาหาร ได้แก่ข้าวเหนียว น้ำพริก ผัก แกงต้มปลา เดินขึ้นมาวางตั้งที่นอกชานด้านหน้าห้อง เมื่อมองเข้าไปเห็นนายหญิง ก็ชะงัก

“คุณนายคะ…”

ทิมรีบเข้ามาคุกเข่าข้างๆ หยิบผ้าออกจากมือนาย หันไปเก็บลงหีบ จัดแจงปิดลงรวดเร็ว

“บ่าวว่าเอาผ้านุ่งผ้าห่มของคุณลำจวนไปทำทานคนยากคนจนเสียดีกว่า หากทำให้คุณต้องโศกเศร้าอยู่เช่นนี้”

“คนตาย…จักต้องทิ้งกลิ่น แต่นี่กลิ่นของลูกยังอยู่ ก็หมายว่าลูกยังไม่ตาย”

แม่จำปา ตัดสินใจเล่าออกมา

“มีคนเขาบอกว่า…”

เธอลดเสียงกระซิบเบา ราวกับกลัวใครจะมาแอบฟัง

“เขาได้เห็นคนเหมือนลูก…แต่เป็นผู้ชาย ที่เรือนครูคงแป๊ะ”

นางทิมตบอกผาง

“หา!…”

หน้านางพี่เลี้ยงของลำจวนซีดเซียวถอดสี ใจรอนๆ ราวจะหยุดเต้น

“รือว่า…จักเป็นคุณหนูจริงๆ…ไปอยู่กับ…”

แล้วทิมก็พลันส่ายหน้าไปมา

“ไม่ค่ะ เป็นไปไม่ได้ดอก…ได้ยินว่าครูคงแป๊ะแลพวกศิษย์ทั้งหลายก็ยังไปเขียนผนังโบสถ์ที่

วัดเจ้าคุณอินทราอยู่ทุกวัน พบกับท่านเจ้าคุณอยู่เนืองๆ”

“แล้วอย่างไร”

แม่จำปาเสียงแข็ง

“ก็หาก…คุณหนูอยู่กับเขา เขาย่อมมีพิรุธ ไม่กล้าไปสู้หน้าต่อตาท่านเจ้าคุณเช่นนั้น”

จำปาเปิดหีบ คว้าผ้าออกมาดมอีก สูดกลิ่นลึกลงไปในทรวงอก

“ขอให้ข้าได้พบ แม้จะแต่งเป็นชาย ขอเพียงข้าได้กลิ่น…กลิ่นของลำจวน…แม่ย่อมจำกลิ่นของลูกได้ เหมือนหมา…แม่หมาแลลูกหมา…ย่อมจำกลิ่นกันได้”

แม่จำปาแน่วแน่ ขณะนั้น มีเสียงเครื่องดนตรีดังมาจากอีกฟากชานเรือน

ลุงแดงกำลังฝึกนายละครหนุ่มคนใหม่ซ้อมรำอยู่ด้านนึงพร้อมวงดนตรี ชาวคณะอื่นๆ ที่ว่าง นั่งซ่อมแซมเย็บปักเสื้อผ้าชุดละครกันอยู่

นายโรงสุ่นนั่งพิงเสาเรือน ซดสุราจากจอกเล็กๆ พลางอ่านบทละครไปด้วย

ลุงแดงที่แม้คร่ำเคร่งต่อท่ารำใหม่ให้นักแสดงบทพระเอกฝึกหัด แต่ไม่วายหันมองยังพระเอกคนเก่าแก่อย่างวิตก

“พ่อสุ่นๆ…”

นายโรงสุ่นหันไปเลิกคิ้ว ตาปรือ

“พ่อสุ่นมาบอกเพลงหน่อย ฉันจำไม่ได้”

ลุงแดงไม่ได้พูดความจริง แต่ต้องการให้นายโรงลุกขึ้นมาจากเหล้า

“อันใดจำไม่ได้ นางจันทรสารภาพผิดกับเจ้าพราหมณ์หนุ่มอาริยะ…ที่ความจริงคือนางยอพระกลิ่นแปลงเป็นชาย เนื้อร้องง่ายยิ่งกว่าสิ่งใด เพิ่งเล่นกันไปวานซืน”

นายโรงบ่น แต่ก็ลุกขึ้น ร่างที่เคยสันทัดสมส่วนดูเหมือนจะผอมบางลง สองขาอ่อนแรงเดินเซเกือบล้ม

ลุงแดงรีบวิ่งเข้าไปประคองไว้

“เอ้า จะร้องแลรำให้ดู ถ้าจำไม่ได้อีก ก็ไปโดดน้ำตายกันเสียให้หมด”

นายโรงสุ่นโบกมือกวัดไกวหงุดหงิด หันไปพยักหน้าบอกคนดนตรี

ระนาดและฉิ่งเล่นขึ้นมาพอคลอๆ

นายโรงสุ่นร้องและรำไปด้วย ทว่าเสียงของพระเอกละครเก่าผู้เข้มงวดเสมอมา กลับเป็นเสียงของชายวัยกลางคนช่วงปลาย ที่เมาแอ๋ ลิ้นไก่สั้น แก้วเสียงแตกพร่า แรงที่จะดันให้ถึงระดับเสียงที่ถูกต้องไม่มี

 เดิมเอยเดิมที

พระมณีลูกยาไปป่าใหญ่

ได้นางคนหนึ่งในปล้องไม้

หลงใหลพิศวาศเทวี

ลุงแดง และพระเอกหนุ่ม หันสบตากันอย่างไม่สบายใจ

เนื่องจากนายสุ่นยังร้องไม่ตรงตามจังหวะฉิ่งที่ตีกำกับอยู่อีกด้วย

กรุงจีนให้มีราชสาร

ไปแต่งการกับลูกสาวศรี

พระมณีพิไชยไม่ไยดี

รักเมียข้างนี้อยู่มิไป

แม่กลัวกรุงจีนจะโกรธา

ยกมารบพุ่งเอากรุงใหญ่

นางนอบถึงกับต้องรีบวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจ

เช่นเดียวกับแม่จำปาและนางทิม

นายสุ่นรำพลางเซแซ่ดๆ เข้าไปเบียดชนลุงแดงและเด็กฝึก ทว่าตนเองกลับไม่รู้สึกรู้สา แถมยังแหกปากร้องปาวๆ ไปเรื่อย

จึงแกล้งทำแยบยนต์กลใน

พาโลลูกสใภ้ด้วยมารยา

เอาเลือดวิฬาร์ทาปากนาง

ตัดหางแซมใส่ในเกษา

แล้วขับไล่ไปเสียจากภารา

พาลผิดฤษยานางทรามไวย

นายโรงเอกเสียหลักถอยๆๆ แล้วล้มลง ก้นจ้ำเบ้ากระแทกตึง

บรรดาบริวารพากันเอะอะ กรูจะเข้ามาดูแล

ทว่าเจ้าตัวกลับโบกไม้โบกมือ หัวเราะ

“อย่าได้ตกใจ อย่าได้ตกใจ ข้าไม่เจ็บตรงไหนดอก ฮ่ะๆๆๆ”

แต่ภรรยาหลวงมาหยุดยั้งยืนค้ำหัวตรงหน้า เท้าสะเอวด่าอย่างฉุนจัด

“นายโรงสุ่น! ยังจะมาหัวเราะอีก หัวหน้ามาเป็นเสียเช่นนี้แล้วลูกน้องจะทำเช่นไรเล่า โธ่เอ๋ย…เหตุใดจึงกลายมาเป็นเช่นนี้ เมาเช้าเมาเย็น เสียผู้เสียคนเสียงานเสียการไปหมด”

จำปานั่งลงประคอง

“นายสุ่นพักก่อนเถิดค่ะ”

ภรรยาน้อย คือคนอาทรอ่อนหวาน

“พี่แดง พักก่อน…นายสุ่นยืนไม่อยู่แล้ว”

เธอหันไปบอกผู้ดูแลจัดการคณะคู่ใจของนายโรง
“อีจำปา อย่าสอด!”

นายโรงสุ่นกลับหันมาผลักแม่จำปา พาลพาโล ด้วยรู้สึกว่าโดนหยาม

“กูยืนอยู่โว้ย เหตุใดจักยืนไม่อยู่ หาว่ากูแก่เฒ่าเหลาเหย่แล้วรือ มา พี่แดง…ซ้อมๆๆ”

คนปากเก่งพยายามลุกแต่ลุกไม่ขึ้น ในที่สุดหมดแรง ทิ้งตัวลงนอนกลิ้ง หลับตาลงยอมแพ้

ลุงแดงสมเพชจนสุดทน

“ห้ามกินเหล้าเมายาเวลาทำงานเป็นกฎเข้มแข็งนักหนา หากลูกน้องมันทำต้องไล่ออกไปนานแล้ว แต่นายโรงเป็นเสียเอง จักให้ไล่อย่างไรเล่า”

นางนอบทรุดลง ยกมือกุมหน้าผากอย่างหมดปัญญา

“เสียดายเนตรกับนพมันไม่เอาดีทางนี้ ไม่เช่นนั้นป่านนี้มันจักได้เป็นนายโรงแทน จักได้ไล่นายสุ่นให้ไปเมาหัวราน้ำตามใจ ไม่ง้อดอก”

ลุงแดงพลั้งปากหลุดความในใจออกมาจนได้

“โธ่เอ๋ย หากไอ้ลำจวนมันเกิดมาเป็นผู้ชาย มันคงเป็นนายโรงไปเสียนานแล้ว…”

พูดแล้วนึกได้ มือขวาคู่ใจนายโรงรีบหุบปาก แต่ไม่ทันเสียแล้ว

นายโรงสุ่นลืมตาพึ่บขึ้นมาทันที

“ยังอีก! ยังมีคนในเรือนนี้พูดชื่อนี้อีกรือ อย่าพูดชื่อนางลำจวนอีก อีคนเห็นแก่ตัว ไม่คิดถึงพ่อแม่ มันตายใช่ตายคนเดียว เห็นหรือไม่ ว่ากู…ถึงอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น”

นางทิมแอบหันไปร้องไห้ออกมาด้วยความสะเทือนใจ

คุณนายนอบเบ้ปากสมเพช สิ้นหวัง

มีเพียงจำปาที่นิ่งงันไป ทว่าดวงตาฉายแววความหวังบางอย่างรางเลือน

 

บ่ายนั้น นางจำปาเดินลิ่วๆ มาที่พระอุโบสถวัดประจำตระกูลเจ้าคุณอินทรา มีนางทิมวิ่งตามด้วยใจระทึก

“คุณนายจำปาเจ้าขา…คุณนายจักไปถามครูคงแป๊ะท่านว่ากระไร”

ผู้เป็นบ่าวกระซิบ

จำปาหันมาตอบหอบๆ

“หากลำจวนยังมีชีวิตอยู่… ขอให้กลับมาหาพ่อแม่…พ่อแม่จักให้อภัยทุกอย่าง”

“แล้วหากมิใช่ล่ะเจ้าคะ เขาจะหาว่าฟั่นเฟือนเอาได้”

คงแป๊ะกับครูพุดเดินออกมาจากในโบสถ์พอดี ปะหน้ากับแม่จำปาทำให้เธอสะดุ้งด้วยตั้งตัวไม่ทัน รีบไหว้คงแป๊ะและครูพุด ร้อนใจไหวหวั่น

ทิมพนมมือตามนาย ภาวนาให้ได้ความตามที่หวัง

“ท่านครูคงแป๊ะคะ อิฉัน…อยากจะถามอันใดสักหน่อย”

คงแป๊ะคลับคล้ายคลับคลาสตรีที่ท่าทางแปลกชอบกล ครูพุดก้มศีรษะลงเล็กน้อย แสดงความนับถือ

“ฉันเป็นเมียน้อยนายโรงสุ่น…ชื่อจำปาค่ะ เป็นแม่ของพระบุญลือวัดทอง…สุวรรณาราม กับ…แม่ลำจวน ที่เคยมี…ไมตรีกับเด็กจีนช่างเขียนผู้นั้น”

“อ้อ…”

คงแป๊ะกับครูพุดสบตา ส่งสัญญาณระวังตัว

“ว่ากระไรเล่า คุณนายจำปา”

บังเอิญครูทองอยู่กับเนตรและท่านเจ้าคุณนครบาลกับนพ เดินคุยกับพระภิกษุรูปนึง เลี้ยวมาจากทางสังฆาวาส

“เรื่องทองคำเปลวทั้งหมด ฉันเบิกนายสุกช่างทองมาให้คุณหลวงใหม่แล้ว แลจ่ายค่าชดเชยที่ถูกขี้ยาขโมยไปให้ทั้งหมด”

เจ้าคุณบอก คุณหลวงวิจิตรเจษฎาส่ายหน้า

“บ่าวบ้านกระผมเอง คนเก่าคนแก่แท้ๆ มันเอาขวานจามหน้าต่าง เพื่อลวงตาว่าเป็นคนนอก…คิดดู คนดีๆ กลายเป็นพวกเจ้าเล่ห์แสนกลเพราะฝิ่น นี่จับมันผูกหลักแช่น้ำตากแดดสามวันสามคืน หวังว่ามันจะเลิกฝิ่นได้”

กลุ่มคนเหล่านี้มองไป เห็นนางจำปากำลังเจรจาอยู่กับคงแป๊ะอย่างไม่คาดคิด

“เอ๊ะ…!”

เจ้าคุณนครบาลไม่แน่ใจ

“แม่จำปา!”

นพกระซิบ

“รู้จักมักคุ้นกับคุณหลวงเสนีย์บริรักษ์ตั้งแต่เมื่อใด”

เนตรข้องใจ

ครูทองอยู่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ก็สัมผัสได้ถึงอาการระแวงระวังของท่านเจ้าคุณ

“มีอันใดกันรือ…”

ท่านถามสองพี่น้องลูกชายนายโรงละคร และมองมายังเจ้าคุณ หากไม่มีใครบอกอันใด

ฝ่ายนางทิมหันไปเห็นเนตรกับนพและเจ้าคุณมาแต่ไกล รีบจับแขนจำปาบีบแรง

แต่นพเดินอาดๆ เข้ามาแล้ว

“สงสัยสิ่งใด คุณนายจำปา ถามมาเถิด”

คงแป๊ะหาได้ใส่ใจคนกลุ่มนั้น ทว่าแม่จำปากลายเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก่อนจะพยายามกระซิบออกมา

“เอ้อ…คือ…ไม่…ไม่มีอะไรค่ะ ขออภัย…ที่รบกวน”

ทว่าครูพุดกลับอธิบายออกมากลายๆ

“นั่น…ลูกเลี้ยงแม่จำปามากันพร้อมหน้าพร้อมตา แหม่…มากันเป็นขบวน ตามด้วย…อดีตว่าที่ลูกเขยด้วย”

“อะไรของเอ็ง อดีตว่าที่ลูกเขย…”

คุณหลวงเสนีย์บริรักษ์ทำตาปริบๆ

“เจ้าคุณ…เกือบได้เป็นลูกเขยแม่จำปาอย่างไรขอรับ แต่ไม่ได้เป็นด้วยแม่ลำจวนโดดน้ำตายหนีไปก่อนอย่างไรเล่าขอรับ”

นางทิมมองครูพุด ตระหนักทันทีว่าชายนี้น่าจะเป็นคนที่รู้และคิดสอดคล้องกัน

นพมาถึงตัวพอดี ไหว้ครูคงแป๊ะกับครูพุด และมองกราดมาสายตาจับผิด

“แม่จำปา แล่นมาหาครูคงแป๊ะถึงนี่เจียว”

เนตรก็ไม่แพ้กัน

“แม่จำปามีกิจอันใดกับคุณหลวงเสนีย์บริรักษ์”

คงแป๊ะ ครูพุด นางจำปา รีบไหว้หลวงพ่อ ที่เดินมาถึงพร้อมเจ้าคุณนครบาล

“เจริญพรๆ”

เจ้าคุณเป็นฝ่ายไหว้แม่จำปา เธอรับไหว้และรีบยิ้มอย่างแจ่มใสไร้ท่าทีผิดปกติ

“คุณแม่มาเยี่ยมชมวัดกระผมได้…แต่นี่ก็บ่ายแก่จวนเย็นแล้ว มีอันใดปัจจุบันทันด่วนหรือไม่ขอรับ”

เจ้าคุณยิ้มแย้มให้ ‘อดีตว่าที่แม่ยาย’

แม่จำปาหาได้ระย่อ

“ฉันมา…ตามหาเจ้าคุณนั่นแหล”

“ตามหากระผม มีอันใดให้กระผมรับใช้เช่นนั้นรือ”

นพทำหน้าขัดข้อง

“แม่จำปามีอันใดก็บอกผ่านฉันได้นี่นา”

แต่เวลานี้ แม่จำปาหันไปตื่นเต้นปลาบปลื้มสนใจครูช่างเขียนเอกอย่างยิ่งเสียแล้ว

“คุณหลวงวิจิตรฯ ดีจริง…ได้พบคุณหลวงเสนีย์ฯ กับคุณหลวงวิจิตรฯ พร้อมกัน ไม่ใช่ง่าย…อิฉันตั้งใจจะมาขออนุญาต…”

เธอหันมา มองสบตาผู้ยิ่งใหญ่ในนครบาล

“ร่วมทำบุญกับเจ้าคุณ จะขอเอาเสบียงอาหารขนมนมเนยมาเลี้ยงช่างเขียนภาพผนังโบสถ์นี้กับเขาด้วยน่ะเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่า…”

คราวนี้เธอหันไปยิ้มกับหลวงพ่ออย่างเคารพยิ่ง

“ต้องตกลงบอกกล่าวกับใครดีคะ หลวงพ่อ”

ท่านสมภารยิ้มยินดี

“กับอาตมานี่แหล ดีๆ อนุโมทนาสาธุ ช่วยๆ กัน พวกโยมบ้านรอบๆ นี่ เขาก็สลับสับเปลี่ยนกันมาร่วมบุญสนับสนุนพวกช่างทั้งหลายทุกวันละจ้ะ คุณนายมาถึงเมื่อใดก็เชิญเอาข้าวของไปรวมไว้ที่ศาลาการเปรียญก่อนเลย”

ครูทองอยู่พลอยชื่นชมไปด้วย

“เป็นความกรุณาแก่พวกช่างมากขอรับ คุณนาย”

“อนุโมทนาสาธุ…”

เจ้าคุณอินทราเอออวย แต่ไม่วายคลางแคลง

“แต่เรื่องเช่นนี้…ไม่เห็นต้องขออนุญาตกันเลยนี่”

“นั่นซี มีอะไรก็ฝากฉันหอบหิ้วมาก็ได้ ออกจากบ้านมาทุกเช้าๆ”

เนตรจ้องเหมือนจะค้นหาเลศนัยที่อาจแฝงอยู่

แม่จำปาจ้องตอบ หน้าซื่อ

“ไม่ได้ดอก ต้องบอกกล่าวกัน ฉันอยากให้เจ้าคุณทราบ…ว่าฉันตั้งใจร่วมบุญกับเจ้าคุณ เพื่อจะได้อุทิศส่วนกุศลแลขออโหสิแก่ลำจวนอย่างไรเล่า”

เธอเน้นนามที่สะเทือนใจทุกฝ่ายพลางเค้นน้ำตาออกมาคลออย่างง่ายดายและก็ได้ผล เพราะเจ้าคุณ และเนตร นพ พากันสงบคำไปได้

 

ในแสงตะเกียงคืนนั้นที่เรือน แม่จำปากับนางทิมต่างสบตากัน อกสั่นขวัญแขวน

“จวนเจียนไปแล้วสิ เกือบนำไฟไปใส่เรือนของท่านครูคงแป๊ะเสียแล้ว”

“นั่นสิคะ…”

“เป็นอันว่า…ข้าต้องอดทน อัดอั้นเอาไว้ในอกเท่านั้นรือ หากลูกมิได้ตายจริง…อย่างน้อย หากบิดาเขารู้…ก็อาจจะได้เลิกกินเหล้าเมามายเพื่อดับความทุกข์”

จำปาห้ามความหวังไม่ได้จริงๆ แม้จะเป็นหวังลมๆ แล้งๆ

“เรื่องจักมิใช่ง่ายเช่นนั้นสิคะ คุณนาย…หาก…สมมติว่า…คุณหนูยังอยู่จริงๆ แลแอบซุ่มซ่อนอยู่ที่ใด หากนายสุ่นทราบเข้า อิฉันไม่คิดว่าท่านจะนิ่งเฉย น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ คงบุกไปลากเอาตัวกลับมาให้จงได้ แลไหนจะท่านเจ้าคุณอินทราอีกเล่า”

แม่จำปาสยองใจแทนลูก

“มิอาจเดาได้เลย ว่าท่านเจ้าคุณ…จะทำประการใด…ทั้งกับลำจวน แลผู้อื่นที่สมรู้ร่วมคิด”

ช่างเป็นความหวังที่ชวนให้หวั่นใจไปในเวลาเดียวกัน

 



Don`t copy text!