เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 3 : การเผชิญหน้าครั้งแรก
โดย : จันทร์จร
เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co
ในขณะที่เรไรยังเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง เธอมีอายุเพียงแค่สิบสองปีเท่านั้น เด็กน้อยไร้เดียงสากำลังงุนงงอยู่ในบ้านเช่าหลังเล็ก ตั้งอยู่ตรงกลางของห้องแถวเรียงราย ในหมู่บ้านที่คนอาศัยส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีรายได้น้อย
มือของเด็กหญิงถือตุ๊กตาที่หมดสภาพเอาไว้แน่น พร้อมกับพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับการหายตัวไปหลายวันของแม่ แววตาไร้เดียงสานั่นสะท้อนให้เห็นถึงความสับสน และความวิตกหวาดกลัวที่เกาะกุมหัวใจดวงน้อยของเธอ
ช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดในชีวิต เด็กหญิงเรไรนึกถึงบทสนทนาระหว่างแม่ของเธอกับเพื่อนชายที่ชื่อทวิชที่แอบได้ยิน เด็กหญิงเข้าใจว่าแม่กำลังตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ ที่มีนางทับทิมเป็นเจ้าของ การลงทุนนั้นได้ทำให้เงินออมของครอบครัวที่มีเพียงสองคนหมดไป เพราะแม่ของเธอเอาไปทุ่มให้ธุรกิจจอมปลอมนั่นหมด
“วิช ช่วยคุยกับพี่คุณหน่อยไม่ได้เหรอ” เสียงของแม่เรไรอ่อนลงจนแทบจะเป็นการขอร้อง ด้วยตอนนี้ภาระทางการเงินอันหนักหน่วงได้ถาโถมลงมา และเธอก็ไม่มีญาติที่ไหนให้พึ่งพาได้อีก
“รอหน่อยนะ ผมรู้ว่าพี่สาวของผมต้องจ่ายทุกคนแน่ แต่ตอนนี้บัญชีมีปัญหาเพราะมีคนแกล้งไปแจ้งความ พี่ผมก็เลยเอาเงินปันผลให้คุณไม่ได้”
“ฉันไม่อยากได้เงินปันผล ฉันอยากได้เงินที่ลงทุนไปคืน ไหนคุณบอกว่าเราเบิกเงินคืนได้ตลอดไง” หญิงสาวร้องไห้อย่างหมดหนทาง
เรไรเห็นทวิชมีสีหน้าลำบากใจ เธอรู้ว่าเขาสนใจในตัวแม่ของเธอ และก็พอรู้ว่าเป็นเขาที่ช่วยเหลือครอบครัวเธอไว้หลายครั้ง
“ผมเข้าใจความต้องการของคุณนะ ถ้าคุณเดือดร้อนจริงๆ ผมพอจะช่วยเหลือคุณได้” ทวิชถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
“คุณก็รู้ว่าคุณช่วยฉันกับลูกไปไม่ได้ตลอดหรอก ตอนนี้ครูสุธีร์ก็ไม่คุยกับฉันแล้ว แถมยังไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมา ขอแค่พี่คุณคืนเงินให้ฉันเท่านั้น แล้วฉันจะไม่ขออะไรคุณอีกเลย” แม่ของเด็กหญิงทรุดตัวลงกับพื้น ด้วยหนี้สินที่มีมันมากเกินกว่าที่ความช่วยเหลือจากทวิชจะทำให้ได้ แถมคนที่ชักชวนเธอให้ร่วมลงทุนในครั้งนี้ ก็ได้ทำการตัดช่องทางการติดต่อเอาตัวรอดไปคนเดียวแล้ว
“ผมลำบากใจนะถ้าคุณทำแบบนี้”
“งั้นขอแค่ช่วยฉันเจอกับพี่สาวคุณก็พอ”
ในช่วงเวลาของความสิ้นหวัง เรไรเห็นความหนักใจของทวิช เขารับรองว่าจะพาแม่ของเธอไปหานางทับทิม และมันทำให้แม่ของเธอคลายความกังวลไปได้บ้าง เพียงแต่ในตอนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่า คำพูดของทวิชได้เจือไว้ด้วยความเท็จและแรงจูงใจบางอย่างซ่อนอยู่
จากวันกลายเป็นสัปดาห์ แม่ของเรไรก็ไม่เคยกลับมา เด็กหญิงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนข้างบ้านให้ตัวเองอยู่รอด จนเกิดความอ้างว้างและรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเริ่มแสวงหาการปลอบโยนจากใครสักคน โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าคนเดียวที่ปรากฏตัวขึ้นมา และเสนอความช่วยเหลือเธอทุกอย่างก็คือทวิชนั่นเอง
“คุณอา แม่ของหนูไปไหนคะ”
ทวิชทรุดตัวลงตรงหน้าของเด็กหญิง เขามองดวงตาที่เศร้าหมองและริมฝีปากที่สั่นเทาเพราะความกลัวด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะพูดบางอย่างออกมาเพื่อปกปิดความลับที่เขานั้นซ่อนไว้
“แม่ของหนูไปทำงานที่ต่างประเทศ เขากำลังไปหาเงินเพื่อมาใช้หนี้อยู่น่ะ”
เรไรมองรูปถ่ายตั๋วเครื่องบินจากหน้าจอมือถือของทวิช แม่ของเธอไปแล้ว ทิ้งให้เธอต้องต่อสู้กับความหวาดกลัวและอารมณ์อันซับซ้อนที่ถาโถมเข้ามา ในตอนนั้นเรไรไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการต้องเชื่อคำพูดของทวิช
“ไปอยู่กับอานะเรย์ อาจะดูแลหนูแทนแม่เอง”
คำเชิญชวนของทวิช เปรียบเหมือนสิ่งเดียวที่เด็กหญิงพอจะยึดเหนี่ยวเอาไว้ได้ เพราะหากเธอยังคงรออยู่ที่บ้าน อย่างเดียวที่จะต้องเจอก็คือบรรดาเจ้าหนี้ของแม่ที่พากันมาทวงเงินไม่เว้นแต่ละวัน และตั้งแต่วันนั้นเธอก็ผูกชะตากรรมของตัวเองเอาไว้กับทวิชอย่างไม่อาจเพิกถอนได้
เรไรต้องมาอยู่กับคนที่เธอแทบไม่รู้จัก และไม่รู้เลยว่าทวิชมีเบื้องหลังอันลึกลับกว่าที่เห็น ซึ่งกลายเป็นการกำหนดแนวทางชีวิตของเธอไปด้วย แต่เธอต้องพึ่งพาเขาแล้วยอมรับความห่วงใยที่แสนจอมปลอม ความเสแสร้งตลอดหลายปีที่ผ่านไป โดยไม่รู้ความจริงเลยว่าเขากำลังหลอกลวง รวมถึงปกปิดความจริงกับเธออยู่
ในขณะนี้ เรไรได้ยืนอยู่ในงานศพของทวิชในฐานะของเจ้าภาพ งานที่เธอได้กลายมาเป็นแม่งานและคนสำคัญหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา เมื่อความจริงกำลังปรากฏขึ้นตรงหน้า ความคับข้องใจและความโกรธก็ได้พลุ่งพล่านอยู่ภายในจนยากจะควบคุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับรู้แล้วว่า ที่ผ่านมาเธอได้ถูกปกปิดเรื่องชะตากรรมของแม่และตัวตนที่แท้จริงของทวิช ผู้ที่คอยชักใยเธอมาตลอดสิบห้าปี
ระหว่างที่ผู้ที่มาร่วมงานเพื่อแสดงความไว้อาลัยเริ่มทยอยกลับ เรไรก็เริ่มเห็นมธุกรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หญิงสูงวัยยังคงแววตาแห่งความโศกเศร้า ใบหน้าที่ผ่านการผ่าตัดเปลี่ยนโครงหน้าจนแทบมองไม่เห็นเค้าเดิมนั้น แต่งแต้มไว้ด้วยเครื่องสำอางอย่างดี ปกปิดร่องรอยความไม่สมบูรณ์และความลึกลับของอดีตที่ยังไม่มีใครรู้
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นปูนสะดุดลง เมื่อหญิงสาวเดินเข้าใกล้มธุกรมากขึ้น หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความประหม่าและความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า หญิงสูงวัยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นดูแตกต่างไปจากภาพที่เคยเห็น บางส่วนก็ถูกผ่าตัดแก้ไขด้วยฝีมือของศัลยแพทย์ผู้ชำนาญ ทว่าสำหรับเรไรแล้ว เธอกลับมองผ่านเปลือกนอกและแลเห็นได้ถึงตัวตนอันแท้จริง ของบุคคลที่เธอเคยรู้จักในชื่อมธุกร
“สวัสดีค่ะ นึกว่าคุณจะไม่มาซะแล้ว” เรไรเอ่ยทักทายมธุกรอย่างเป็นมิตร ในขณะที่อีกฝ่ายมองเธออย่างไม่แน่ใจนัก จนหญิงสาวต้องแนะนำตัวเองต่อ
“เรไรนะคะ เรียกว่าเรย์ก็ได้ เป็นคนดูแลอาทวิชค่ะ”
สายตาของมธุกรสบเข้ากับเรไร เมื่อหญิงสาวอธิบายถึงบทบาทของเธอในวาระสุดท้ายของทวิช และสิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจก็คือมธุกรรู้ว่าเรไรคือใคร แต่ด้วยความเศร้าโศกเสียใจเธอจึงไม่อาจซ่อนสายตาที่สั่นไหวได้ แม้ว่าจะยังคงไว้ซึ่งสีหน้าสงบนิ่งก็ตาม
“วิชน่ะ…” มธุกรเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังเก็บกลืนความสะเทือนใจเอาไว้ภายใน “ก่อนจะไปเขาเป็นยังไงบ้าง”
“คุณอาเจ็บปวดมากค่ะ บ่อยครั้งที่เวลาทนเจ็บไม่ไหว อาวิชก็ร้องโอดโอยออกมา บางทีก็เรียกร้องความตายให้ตัวเอง คนเฝ้าอย่างเรย์เห็นแต่ความทุกข์ทรมานตลอด ไม่เคยเห็นอาวิชหลับอย่างเป็นสุขเลยสักคืนค่ะ”
คำพูดของเรไรทำเอามธุกรต้องหันมามองใบหน้าอันสวยงามของเธอ ก่อนที่น้ำตาของตัวเองจะไหลรินด้วยความสะเทือนใจกับสิ่งที่หญิงสาวเล่าให้ฟัง
“โธ่…วิช”
“แต่ไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหน อาวิชก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาลค่ะ บอกแต่ว่าจะตายที่บ้าน”
“พอเถอะ…ไม่ต้องเล่าแล้ว” ยิ่งรับรู้ถึงความทรมานของทวิชในระหว่างที่ต้องต่อสู้กับอาการป่วยระยะสุดท้าย ผ่านปากคนดูแลอย่างเรไร ความรู้สึกผิดอันหนักอึ้งก็กระแทกเข้ามาในใจ ที่เธอไม่สามารถมาเฝ้าดูอาการของเขาได้ แม้แต่ตอนเขาตายไปแล้วก็มาได้แค่วันเผา เพียงเพื่อจะรักษาระยะห่างและความลับที่ซ่อนไว้เท่านั้น
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ ที่เผลอเล่าเรื่องไม่ดีออกไป แต่ยังไงอาวิชก็ไปดีแล้วนะคะ” เรไรแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อความโศกเศร้าของมธุกร ใบหน้าสวยยิ้มอย่างอ่อนโยนและแววตาที่แสดงความเข้าใจ
“ยังไงฉันก็ขอบคุณเธอนะที่อยู่ดูแลเขาในช่วงเวลาแบบนี้”
“เป็นหน้าที่ของเรย์อยู่แล้วค่ะ พอเห็นคุณห่วงใยอาวิชแบบนี้ เรย์ก็คิดว่าคุณอาคงดีใจมากแน่ๆ ที่คุณมธุกรเอาใจใส่อย่างแท้จริง ถึงไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดก็ตาม เรย์เชื่อว่าความดีของอาวิชจะต้องส่งผลถึงคนรอบข้าง ทำให้มีคนรักอาเหมือนคนในครอบครัวอย่างคุณค่ะ”
มธุกรจ้องมองหญิงสาวอย่างจริงจัง เพื่อค้นหาคำตอบจากสิ่งที่เธอพูดออกมา แววตาของเรไรไร้ซึ่งความสอดรู้สอดเห็นหรืออวดดี รอยยิ้มในใบหน้าสวยยังคงความอบอุ่นและเห็นอกเห็นใจ แม้ว่าคำพูดของเรไรนั้นจะพิลึกคนอยู่ก็ตาม
“ต่อไปถ้าคุณมธุกรมีอะไรให้ช่วย ก็บอกเรย์ได้นะคะ ที่ผ่านมาเรย์ทำงานแทนอาวิชมาตลอด เรย์คิดว่าคงไม่มีอะไรที่เรย์จะแทนอาวิชไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มและแสดงความเข้าใจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินจากไปอย่างสง่างาม
และทันทีที่เรไรหันหลังให้กับมธุกร ประกายแห่งชัยชนะและความมุ่งมั่นก็ปรากฏในดวงตาของเธอ
“เรายังต้องเจอกันอีกแน่…ทับทิม” เธอเรียกตัวตนที่แท้จริงของมธุกรอย่างมาดหมาย เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะมีความลับที่ใกล้จะปิดไม่มิด เธอเองก็มีความลับบางอย่างที่กุมชะตาผู้หญิงคนนั้นไว้เช่นกัน
ขณะที่เรไรเดินจากไป หัวใจของหญิงสาวก็เปี่ยมไปด้วยจุดมุ่งหมายอย่างแรงกล้า ขณะนี้การร่ายรำบทเพลงเปิดม่านแห่งความจริงได้เริ่มขึ้นแล้ว ต่อจากนี้ทุกวินาทีจะเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมทุกทางที่เธอจะทำได้เพื่อเปิดโปงความจริง
และการเผชิญหน้าครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ด้วยความจริงที่ค้นพบ จะทำให้เธอเป็นคนนำพวกที่ทำกับแม่เธอสู่การลงโทษ พันธนาการแห่งการหลอกลวงและคำโกหกจะค่อยๆ คลายออก และความจริงเท่านั้นที่จะแสดงออกมาให้สังคมได้ประจักษ์ ว่าท้ายสุดแล้วไม่ว่าจะมีอำนาจมากแค่ไหน ก็ไม่อาจหนีผลของการกระทำตัวเองได้
หากจะให้เห็นภาพที่ชัดเจน คงต้องย้อนกลับไปในช่วงสุดท้ายของชีวิตคนที่ปกครองเรไรมากว่าสิบห้าปี ทวิชที่ร่างกายอ่อนแอลงทุกวันนั้นกำลังเจ็บปวด และบอบช้ำจากความทุกข์ทรมานของโรคร้ายที่ลามไปในทุกส่วนของร่างกาย ในทันทีที่เขาได้รับข่าวร้ายว่าไร้ซึ่งหนทางการรักษาแล้ว ก็ดูเหมือนร่างกายจะพร้อมที่จะปิดตัวเองลงทุกเมื่อ
ในความไม่แน่นอนของชีวิตที่อาจดับสูญไปในวันใดวันหนึ่ง ก็ยังมีหญิงสาวอย่างเรไรคอยอยู่เคียงข้างเขาไม่ห่าง ทวิชมองดูหญิงสาวที่เขาดูแลมากว่าสิบห้าปีด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง กับความลับที่เหมือนเป็นนรกอยู่ในใจ ทั้งปวดร้อนทรมาน ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงต่อเธอได้
กระทั่งวันหนึ่ง ที่เรไรสามารถรวบรวมความกล้า แล้วมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยตัวเอง เพื่อหาคำตอบที่อยู่ในใจเป็นครั้งสุดท้าย เกี่ยวกับความจริงของแม่เธอที่หายตัวไป
“คุณอาเล่าความจริงเรื่องแม่ให้เรย์ฟังได้ไหมคะ”
เธอเอ่ยออกมาขณะที่กำลังปรนนิบัติดูแลเขาตามปกติ และดูเหมือนช่วงนี้เรไรจะหายไปเป็นช่วงๆ และเขาเดาว่ามันต้องเกี่ยวกับคำถามของเธออย่างแน่นอน
“ทำไม…” น้ำเสียงของทวิชแหบโหยจนแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิตเช่นนี้
เรไรโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหน้าซูบซีดของทวิช ด้วยความตั้งใจอันมั่นคงที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ ดวงตาของเธอสั่นไหวด้วยความปวดร้าว และความมุ่งมั่นที่อยากจะรู้ความจริงปนเปกัน
“เรย์รู้ว่าแม่ตายไปแล้วค่ะ…แล้วเรย์ก็มีหลักฐาน คุณอาอาจไม่รู้ หรือไม่ก็คงทำพลาด เพราะแหวนที่อยู่กับศพทับทิม พี่สาวของคุณอา คนที่โกงทุกอย่างในชีวิตของเรย์ ก็คือแหวนของแม่” อันที่จริงเธอก็อยากอ้อนวอนเขาให้เปิดเผยความจริง แต่ความลับที่เขาเก็บไว้มันหลอกหลอนเธอมานานเหลือเกิน ที่แน่ๆ คือในตอนนี้เรไรรู้ความจริงอันเจ็บปวดแล้ว แม่ของเธอไม่ได้มีชีวิตอย่างที่เขากล่าวอ้างอีกต่อไป
แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ต้องการคำยืนยัน เพื่อให้เขายอมรับคำลวงที่สร้างขึ้น และนำพาไปหาความจริง รวมถึงตัวตนของคนที่ใช้ศพแม่เธอสวมรอยว่าตายไปแล้วนั้น จะใช่คนที่คิดไว้หรือไม่
“เรย์…อาขอโทษ” ทวิชเม้มปากแน่น ความลับของเขามันสำคัญเกินกว่าจะเอ่ยออกมา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ตัวดีว่าในวาระที่ใกล้จะดับสูญนี้ เขาเองก็ต้องการให้เธออโหสิกรรม เพื่อยุติบ่วงกรรมและนำเขาไปสู่สัมปรายภพที่สงบสุข
“เรย์จะยกโทษให้ ก็ต่อเมื่อคุณอาเล่าความจริงทั้งหมดค่ะ”
พอคำพูดออกจากริมฝีปากอิ่มของเรไร บรรยากาศในห้องปกคลุมไปด้วยความคาดหวัง ดวงตาที่อ่อนล้าของทวิชสบกับแววตาที่มุ่งมั่นจะเสาะหาความจริงของหญิงสาว ช่างขัดกันอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าอ่อนแรงแฝงไว้ด้วยความสำนึกผิดต่อการกระทำของตัวเอง หากนี่คือการไถ่โทษให้กับแม่ของเธอ ก็ถึงเวลาแล้วที่เรไรควรจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ใช่…” คนป่วยพยักหน้าช้าๆ แล้วพยายามหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย “แม่ของหนูตายไปแล้ว ศพในรถที่เป็นพี่ของอาคือแม่ของเรย์”
“ใครฆ่าแม่ของหนูคะ…” ความเดือดดาลพลุ่งพล่านในตัวของเรไร ความโกรธจากการถูกหักหลังกำลังคุกคามเธอช้าๆ
“อาบอกไม่ได้…อาขอโทษ” น้ำเสียงของทวิชทั้งสั่นและแหบโหย เป็นการร้องขอความปรานีจากหญิงสาว ที่เขาสามารถควบคุมเธอได้มาตลอดสิบห้าปี แต่บัดนี้เรไรเหมือนสัตว์ร้ายที่กระชากโซ่ตรวนนั้นออกมาด้วยตัวเองได้แล้ว
เรไรสบตากับดวงตาฝ้าฟางของทวิช สายตาแข็งกร้าวสะท้อนให้เห็นถึงพายุที่กำลังก่อตัว และมันพร้อมที่จะทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับลงตรงหน้า
“คนที่ฆ่าแม่คือมธุกร ตัวตนใหม่ขอพี่สาวคุณอาใช่ไหมคะ”
หญิงสาวกัดฟันพูดด้วยถ้อยคำที่เจือพิษร้าย เพราะหากทวิชบอกความจริงออกไป นั่นหมายถึงความลับที่เก็บไว้จะถูกเปิดเผย รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของพี่สาวเขาด้วย
“ขอร้อง…ให้มันจบแค่อาคนเดียว…นะ” เวลานี้ชายที่เคยควบคุมเรไรได้อย่างเด็ดขาดนั้น กลายเป็นเหมือนลูกไก่ในกำมือของหญิงสาว เพียงเพราะความอ่อนแอและความรู้สึกผิดต่อเธอ จนเขาอาจไม่ทันคิดว่า คำพูดเพียงเท่านั้นก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย คุณอาเลือกที่จะปกป้องความจริง เพราะมธุกรก็คือพี่สาวคุณอา แล้วก็เป็นคนที่ฆ่าแม่ของเรย์ด้วย” เธอรู้ได้ในทันที เพราะจากการอยู่ภายใต้การดูแลของเขามาเนิ่นนาน ก็เพียงพอจะให้เรไรรู้ความจริงอันแน่แท้เกี่ยวกับทวิชอย่างหนึ่ง ว่าหากเรื่องไหนที่เขาต้องการจะปิดบังความจริงเอาไว้ เขามักจะให้มันจบที่ตัวเองเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกเรื่องของมธุกร ซึ่งมักจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทวิชจะพยายามทุกทางที่จะปกป้องมันไว้ โดยไม่มีเงื่อนไขใด
“อาขอโทษ…อโหสิกรรมให้พวกเรา…เถอะนะเรย์”
คำขอร้องกลั่นออกมาจากคนที่หายใจอย่างยากลำบาก ทวิชอ้าปากเพื่อนำอากาศเข้าร่างกายช้าๆ เรไรเห็นหน้าอกที่ซี่โครงขยับขึ้นลง ความทรมานครั้งสุดท้ายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว หญิงสาวรู้ตัวว่าเขาต้องการการให้อภัยเพื่อให้จิตของเขาจากไปอย่างสงบ เธอจึงค่อยๆ โน้มตัวลงไปให้ใกล้ที่สุด แล้วกระซิบแนบหูของคนที่เลี้ยงดูเธอมาอย่างใจเย็น
“หมดเวลาไถ่โทษแล้วค่ะคุณอา หลับให้สบายแล้วไม่ต้องห่วงนะคะ เพราะเรย์จะเป็นคนเปิดโปงความจริงของคนที่คุณอารักมากที่สุดเอง” เรไรไม่ได้คิดถึงศีลธรรมหรือความเห็นอกเห็นใจอีกต่อไป แววตาเฉียบคมนั้นแสดงออกอย่างชัดเจน ว่าต่อไปนี้คือเกมแห่งการกระชากหน้าความดีขององค์กรที่มีเบื้องหลังดำมืด ซึ่งได้พรากแม่ของเธอไป
ดวงไฟของทวิชใกล้จะดับลงแล้ว เขาได้แต่มองใบหน้าสวยด้วยความสยดสยองและเสียใจกับสิ่งที่ได้กระทำ ความโกรธของเรไรมีมากเกินกว่าที่เรี่ยวแรงของเขาจะสามารถหยุดยั้งได้ ยังไม่ทันได้โต้ตอบหรือแสดงความเสียใจ ลมหายใจสุดท้ายก็หลุดลอยออกไปอย่างเงียบๆ ทิ้งไว้เพียงสังขารที่ไร้วิญญาณในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
เรไรมองร่างอันไร้ซึ่งลมหายใจด้วยความจริงอันหนักอึ้ง เกินกว่าจะสามารถแสดงความเศร้าโศกของการจากไปออกมาได้ ในทางกลับกันความโกรธของเธอได้แข็งแกร่งขึ้น
หญิงสาวยืนนิ่งด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น ความเมตตาปรานีอย่างเดียวที่จะให้กับทวิชได้ ก็คือการบอกกับร่างไร้วิญญาณนั้นว่า โชคดีแล้วที่เขาตายไปก่อน เพราะต่อไปนี้เธอสาบานว่าจะให้เกียรติความทรงจำที่หายไปของแม่ ด้วยการโค่นพวกที่ทำลายชีวิตของเธอ และเผามันด้วยเปลวไฟแห่งการไถ่บาปเอง