เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 2 : ตามหาความจริง
โดย : จันทร์จร
เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co
หนึ่งปีก่อน…
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เรไรได้มาหาทวิช ทว่าครั้งนี้อาจเป็นคราวที่เธอรู้สึกเป็นกังวลที่สุด ด้วยโรคร้ายที่อีกฝ่ายต้องเผชิญอยู่นั้น นานวันยิ่งไม่มีท่าทีจะหายขาด มีแต่จะทรุดลงหรือไม่ก็ทรงตัว
“ทิพย์…คุณอาเป็นอย่างไรบ้าง” เรไรเอ่ยถามหญิงสาวผู้ที่อยู่เฝ้าทวิชอย่างใกล้ชิด ทิพย์เป็นเด็กอีกคนที่ทวิชเก็บมาเลี้ยง และช่วงหลังนี้ทิพย์ก็คอยเป็นแขนขาทำงานต่างๆ ให้กับคนป่วยอีกด้วย
“ก็ทรงๆ น่ะเรย์ เข้าไปหาท่านก่อนสิ”
เรไรพยักหน้ารับ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วงผู้มีพระคุณอย่างสุดหัวใจ แม้ที่ผ่านมาทวิชจะเลี้ยงเธออย่างเข้มงวดไปบ้างจนเธอต้องย้ายออกไปอยู่ตามลำพังเมื่อเรียนจบ ทว่าพอเห็นร่างผ่ายผอมที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว หญิงสาวก็อดที่จะรู้สึกใจหายไม่ได้
“คุณอาคะ…”
ความนุ่มนวลที่รับรู้ได้ผ่านน้ำเสียงนั้น ทำให้ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วยรู้ได้ทันทีว่าใครกันที่มาหาเขา
“เรย์…อาดีใจเหลือเกินที่หนูมา”
“ขอโทษนะคะที่เรย์ไม่ได้มาเยี่ยมคุณอาบ่อยๆ” สีหน้าของหญิงสาวเศร้าลงด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอก คนป่วยอย่างอามีแต่เรื่องน่าเบื่อ” ทวิชกล่าวด้วยความน้อยใจอยู่ในที แล้วก็หันไปยิ้มกับหญิงสาว “วันนี้วันเกิดไม่ใช่เหรอ อยากได้อะไรล่ะ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ เรย์ตั้งใจมากราบขอพรคุณอาเท่านั้นเอง”
“ยังมักน้อยเหมือนเดิมเลยนะ บอกแล้วไงว่าอาให้หนูได้ทุกอย่าง” เขาพูดจริงตามที่คิด เพราะขอเพียงแค่เรไรเอ่ยมันออกมา จะเป็นเงินทองหรือมากกว่านั้นเขาก็ให้ได้ ผิดก็แต่หญิงสาวกลับไม่เคยขออะไรจากเขาเลย นอกจาก…
“คุณอาก็รู้ว่าเรย์อยากได้อะไร”
นัยน์ตาคมสบกับแววตาฝ้าฝางของคนป่วยนิ่ง จนทวิชเองก็ยังรู้สึกถึงความกดดันนั้น
“อาขอโทษที่ทำตามความต้องการของเรย์ไม่ได้ แม่ของหนูเขาไม่เคยติดต่ออามาเลย”
ว่าตามจริงคำตอบขอทวิชก็เป็นสิ่งที่เรไรพอจะเดาได้ แม่เธอหายไปเป็นเวลาสิบห้าปี เบาะแสสุดท้ายก็คือตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศเพื่อหนีหนี้ก้อนโต ทิ้งลูกสาววัยสิบขวบของตัวเองเอาไว้กับเพื่อนสนิทอย่างทวิช ดังนั้นทุกวันเกิดสิ่งเดียวที่เธอจะร้องขอกับทวิช ชายผู้มีพระคุณกับเธออย่างสูงสุดก็คือการขอให้เขาตามหาแม่ด้วยเส้นสายอิทธิพลที่เขามี แม้ว่าหลายครั้งเธอจะรู้สึกหมดหวังไปแล้วก็ตาม
“เรย์เข้าใจค่ะ ก็แค่…เผื่อแม่จะคิดถึงเรย์บ้าง” เรไรมองหยิบแหวนวงเล็กที่เธอห้อยไว้กับสร้อยขึ้นมาดูด้วยสายตาเศร้าสร้อย ตอนที่แม่ไปเธอยังสวมแหวนวงนี้ได้พอดี จนตอนนี้เธอโตเกินกว่าจะสวมมันแล้ว แม่ก็ยังไม่เคยติดต่อกลับมาสักครั้ง
“อย่าเศร้าสิเรย์ อาบอกแล้วไงว่าอาทำให้หนูได้ทุกอย่าง ถ้ามันจะทำให้เรย์หายเศร้าได้”
“เรย์ทำให้คุณอาเป็นห่วงอีกแล้ว ขอโทษนะคะ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เรย์จะพูดเรื่องนี้อีก” หญิงสาวรับปาก สิบห้าปีมันนานพอแล้วที่เธอต้องทำใจ เพราะหากแม่ยังรักลูกสาวคนนี้จริง คงไม่ทิ้งเธอไปนานเช่นนั้น
แต่เรไรกลับไม่รู้เลยว่า ในห้องเดียวกันนั้นยังมีทิพย์ที่มองเธอด้วยสายตาเป็นห่วงระคนกังวล กับความลับที่อาจเปลี่ยนทุกอย่างไปตลอดกาล
จบการสนทนากับทวิช เรไรก็เดินออกมามองความกว้างขวางของบ้านทรงไทยประยุกต์ที่เธอใช้เวลาเติบโตอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่ง เธอรู้ที่มาของบ้านหลังนี้ดีพอๆ กับเบื้องหลังสีเทาของผู้มีพระคุณ ภายใต้ความร่มรื่นนี้ถูกขวางไว้ด้วยรั้วสูงขนาดที่คนตัวโตยังไม่อาจโดดข้ามมาได้ หรือแม้จะเล็ดลอดเข้ามาก็อาจถูกผู้ที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำร้ายเสียก่อน หากโชคยังดีผู้บุกรุกก็อาจรอด โชคร้ายก็สูญหาย และเธอก็รู้ว่าคุณอาผู้เลี้ยงเธอมานั้นเก่งเรื่องปกปิดหลักฐานมากแค่ไหนด้วยอำนาจและอิทธิพลที่เขามี
คิดถึงเบื้องหลังของทวิชแล้วเรไรก็สลัดความทรงจำเหล่านั้นไปเสีย เพราะถึงคุณอาของเธอจะมีเบื้องหลังที่ไม่ดีนัก แต่ที่ผ่านมาเขาก็ดูแลเธอไม่ต่างจากลูก ที่มีอนาคตได้ทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากทวิชคอยช่วยเหลือ ดังนั้นเรื่องอะไรที่ไม่ควรไปเกี่ยวข้อง เรไรก็จะพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเสีย อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของตัวเอง แม้ว่าส่วนมากจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายก็ตาม
“เรย์…”
เสียงเรียกจากคนคุ้นเคยทำให้เรไรต้องหันหลังกลับไปดู ก่อนจะเห็นว่าที่กำลังเดินเข้ามานั้นคือทิพย์ เป็นอีกคนที่ทวิชเก็บมาเลี้ยงไม่ต่างจากเธอ
“อ้าวทิพย์ นึกว่ากำลังดูแลอาวิชอยู่เลยไม่กล้ากวน” เรไรพูดกับทิพย์อย่างสนิทสนม เพราะอีกฝ่ายคือเพื่อนไม่กี่คนที่จะโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเด็ก จะว่าไปนับตั้งแต่เธอมาที่บ้านหลังนี้ก็เห็นทิพย์อยู่แต่แรกแล้ว
“ท่านหลับไปแล้วละ”
ทิพย์มักจะพูดจาด้วยอาการเกรงกลัวทวิชเสมอ อาจเป็นเพราะเธอนั้นเป็นลูกของลูกน้องคนสนิทของทวิช จึงได้ดูเรื่องไม่ดีมากกว่าเรไร จึงไม่น่าแปลกที่เรไรมักจะเห็นทิพย์มีท่าทียำเกรงทวิชมากกว่า
“ดีเลย งั้นมาดื่มชาด้วยกันนะ วันนี้เรย์ซื้อขนมที่ทิพย์ชอบมาด้วย วางไว้ในครัวแน่ะ”
เรไรกำลังจะเดินนำทิพย์ ทว่าอีกฝ่ายกลับเรียกเธอเอาไว้
“คือเรย์ ฉันมีเรื่องอยากจะบอก” น้ำเสียงของทิพย์แฝงความกังวลอยู่ในที อีกทั้งยังเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนไม่อยากให้ใครในบ้านได้ยินนอกจากเธอสองคนเท่านั้น
“เรื่องอะไรเหรอ”
คนที่คิดว่าจะแค่มาเยี่ยมทวิชชักเริ่มสงสัย ทิพย์เป็นคนพูดน้อยชนิดที่เรียกว่าถ้าไม่มีเรื่องสำคัญ ก็แทบจะไม่มีคำใดออกมาจากปากเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่ทิพย์แสดงความจริงจังออกมาเช่นนี้ มันจะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างแน่นอน
จากนั้นทิพย์ก็เดินนำเรไรเข้ามาในห้องส่วนตัวของเธอด้วยท่าทีระแวดระวัง ท่ามกลางคำถามมากมายอยู่ในใจของไรว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ พอปิดประตูห้องได้ทิพย์ก็ลงกลอนอย่างแน่นหนา
“เรามีเวลาไม่มากนะเรย์” ทิพย์หันมาบอกกับเรไร แล้วหยิบกล่องหนึ่งจากลิ้นชักที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงกับเธอ
“นี่มันอะไรกันทิพย์ ของขวัญวันเกิดเหรอ” คนรับมองดูกล่องโลหะที่เหมือนจะถูกเก็บไว้อย่างดีด้วยขบขันอยู่ในที แต่พอมองเห็นสายตาที่บางบอกถึงความตั้งใจ เรไรก็เริ่มไม่แน่ใจในสิ่งที่พูดนัก
“ฉันอยากในเรย์ได้เห็นของที่อยู่ในนี้ก่อน”
สีหน้าและท่าทางของทิพย์ทำให้เรไรรู้สึกถึงความหนักอึ้งของสิ่งที่อยู่ในนั้น พอเปิดออกมาก็รู้ได้ในทันทีว่าตนกำลังเจอกับกล่องแห่งความลับ ที่บรรจุรูปถ่ายและเอกสารเก่าๆ อันจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เธอเคยเชื่อมาโดยตลอด
“นี่มัน…อะไรกันเนี่ย”
เรไรวางของที่อยู่ในกล่องลงบนเตียงของทิพย์ทีละชิ้น ในบรรดารูปถ่ายที่ซีดจางตามกาลเวลา เธอพบกับบันทึกการพบศพของนางทับทิม อดีตเจ้าแม่แชร์ลูกโซ่คนดังและเป็นพี่สาวของทวิช เธอคนนั้นประสบอุบัติเหตุขับรถตกน้ำเสียชีวิตเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว และกว่าจะเจอร่างระยะเวลาก็ผ่านไปหลายเดือน ที่เหลืออยู่จึงเป็นเพียงแค่กระดูก และเศษเสื้อผ้าบางส่วนเท่านั้น
ทว่ากลับมีภาพหนึ่งที่เรียกความสนใจจากเรไรได้ นั่นก็คือหลักฐานที่ติดตัวศพในรถ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเงิน บัตรประชาชน เครื่องประดับ และที่สำคัญคือแหวนรูปร่างคุ้นตา ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับแหวนที่เธอเก็บเอาไว้
“แหวนวงนั้น…ไม่จริงใช่ไหม” เรไรรื้อรูปถ่ายจนพบกับภาพที่ถ่ายรูปแหวนไว้อย่างชัดเจน เมื่อเธอนำแหวนของตัวเองมาเปรียบเทียบก็พบว่ามันเหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ แหวนทองประดับโกเมนล้อมด้วยไพลิน ด้านในสลักตัวย่อเป็นชื่อของสองแม่ลูกเอาไว้ อันเป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่าเป็นของเธอกับแม่ ผู้ซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนานกว่าสิบห้าปี แล้วเหตุใดแหวนที่ควรจะอยู่กับแม่ของเธอ ถึงมาปรากฏอยู่กับซากกระดูกของนางทับทิมได้
เรไรเกิดความสับสนในใจขณะที่กำลังปะติดปะต่อปริศนาที่เพิ่งค้นพบ เธอรู้ว่านางทับทิมคือพี่สาวของทวิช ผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงเธอมาตั้งแต่แม่หายตัวไป ซึ่งเป็นเขาที่บอกกับเธอว่าแม่ไปหางานทำที่ต่างประเทศ เพื่อหาเงินมาใช้หนี้หลังจากแชร์ลูกโซ่ของนางทับทิมล่มลง โดยมีหลักฐานเป็นรูปถ่ายตั๋วเครื่องบิน
รวมถึงความบังเอิญอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่นางทับทิมกับแม่ของเธอหายตัวไปพร้อมกัน ทว่าแม่ของเธอกลับหายไปและไม่ติดต่อมาอีกเลย ส่วนนางทับทิมกลับพบเป็นโครงกระดูกในรถใต้น้ำ พร้อมกับแหวนของแม่
หรือว่า…ที่จริงแล้วนางทับทิมกับทวิช คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบการหายตัวไปของแม่กันแน่
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในทันทีแม้จะยังไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ เธอมองหน้าทิพย์สลับกับรูปที่เจอด้วยความงุนงง
“นี่มันอะไรทิพย์”
“ศพที่เจอในรถนั่น ไม่ใช่ศพของทับทิม แต่เป็นแม่ของเรย์”
ความจริงจากปากของทิพย์ทำเอาคนที่ได้ยินได้แต่ส่ายหน้าแรงๆ
“ไม่จริง…แม่ของเรย์เขา…” เรไรพยายามที่จะไม่ยอมรับในสิ่งที่เห็น หากต้องเจอกับความสียใจขนาดนี้ สู้ให้เธอเชื่อว่าแม่หนีไปทำงานต่างประเทศเสียยังจะดีกว่า
“ใช่เรย์ เขาตายไปตั้งแต่สิบห้าปีที่แล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง”
“ฟังให้ดีนะเรย์” ทิพย์ลงมานั่งบนเตียงเคียงข้างกับเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเธอ “แม่ของเรย์ไม่ใช่คนแรกที่ต้องมาเจอชะตากรรมแบบนี้”
“แต่อาวิชบอกว่าแม่ไปทำงานต่างประเทศ”
“เพราะนั่นเป็นเหตุผลเดียวที่จะทำให้เรื่องนี้เงียบได้ไง”
ใบหน้าของเรไรเต็มไปด้วยความสับสน และนอกเหนือจากนั้นมันคือความผิดหวัง เหมือนทุกอย่างที่เธอเคยเชื่อกำลังพังทลายลงมา และความจริงที่อยู่ตรงหน้ามันก็เจ็บปวดเกินทน
“แล้ว…ทิพย์รู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“ก็เมื่อไม่นานมานี้เอง ตั้งแต่ตอนที่ฉันเริ่มทำงานหลายอย่างให้คุณท่าน” คำสารภาพนั้นมีความรู้สึกผิดอยู่ในที พักหลังทิพย์มักเข้าใกล้งานของทวิชบ่อยๆ กระทั่งรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้อยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของเรไร
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าศพในนั้นเป็นแม่ของเรย์”
“พ่อฉันเป็นคนบอกเอง…” น้ำเสียงของทิย์แผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน แล้วจึงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเรไรอย่างมีความหวัง “เรย์จำเรื่องพ่อของฉันได้ไหม”
“จำได้…” เรไรพยักหน้า พ่อของทิพย์เป็นลูกน้องคนสนิทของทวิช ที่มักเข้าออกเรือนจำอยู่เสมอ และไม่ว่าจะคดีอะไรที่กำลังจะสาวถึงตัวเจ้านาย พ่อของทิพย์ก็เป็นอีกคนที่มักรับหน้าแทน จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตก็ดับลงระหว่างอยู่ในคุกนั่นเอง และนี่เป็นหนึ่งเรื่องที่ทำให้เธอได้เห็นน้ำตาแห่งความเสียใจของทิพย์ ผู้ซึ่งเรไรไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้เสียน้ำตาได้
“รู้ไหมว่าคดีสุดท้าย พ่อต้องไปรับโทษแทนภมรจนต้องตายในคุก”
คนฟังยังคงนิ่งเฉยเธอรู้จักภมรลูกชายของทับทิม เจ้าแม่ลูกโซ่ที่ลือกันว่าตายไปแล้ว เขานับเป็นหลายชายคนเดียวของทวิช และเป็นคนที่เธอไม่อยากข้องเกี่ยวนัก และคดีที่ทิพย์พูดถึงก็เป็นคดีพยายามฆ่า ที่จริงการรับโทษครั้งนี้ก็ไม่ได้นานอะไร แต่น่าเสียดายที่พ่อของทิพย์ไม่มีโอกาสได้ออกมาอีกเลย
“เรย์…พ่อฉันไม่ได้ตายเพราะป่วย แต่ตายเพราะมีคนต้องการให้พ่อตาย”
“อาวิชเหรอ…” คนถามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ขนาดเรื่องแม่ของเธอยังเป็นเช่นนั้นได้ นับประสาอะไรกับพ่อของทิพย์
“เปล่า ไอ้ภมรต่างหาก มันขอให้พ่อรับโทษแทนมันแต่มันไม่เคยจ่ายอะไรตอบแทนเลย ตอนที่พ่อวางแผนว่าจะเปิดโปงความจริง จู่ๆ พ่อก็ต้องมาตายในคุก” ทิพย์เอ่ยออกมาอย่างแค้นเคือง
“ทิพย์บอกเรื่องนี้กับเรย์เพราะอยากให้เรย์ช่วยเหรอ”
“เรย์…เราสองคนทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้มาตลอด แต่รู้ไหมว่ามีคนกี่คนที่ต้องเดือดร้อนจากอิทธิพลที่เราเองก็รู้อยู่ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน ทั้งแม่ของเรย์กับพ่อของฉันต่างก็เป็นเหยื่อ ที่สุดท้ายพอไร้ประโยชน์เขาก็กำจัดทิ้ง”
เรไรตกใจแทบสิ้นสติจากสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เธอพยายามต่อสู้อารมณ์ที่แปรปรวน หนึ่งในนั้นคือความแค้นที่กำลังก่อตัวขึ้นภายใน จากแรงกระตุ้นที่รู้ว่านางทับทิมไม่เพียงแค่หลอกทุกคนว่าตายไปแล้วเท่านั้น แต่ยังพรากแม่ไปจากเธอด้วย
“แล้วตอนนี้นางทับทิมตัวจริงอยู่ที่ไหนกันแน่”
เรไรถามตัวเองขณะที่สำรวจเอกสารทั้งหมดของทวิชเพิ่มเติม และปล่อยให้ทิพย์เป็นคนดูแลคนป่วยระยะสุดท้ายไม่ให้ห่าง จากวันที่เธอรู้ความจริงจนถึงตอนนี้ หญิงสาวได้เห็นอาการของทวิชแย่ลงทุกวัน แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอทุกข์ใจเหมือนอย่างตอนแรกอีกต่อไป เพราะหลักฐานทุกอย่างที่หาเจอได้เปลี่ยนความคิดของหญิงสาวไปทั้งหมดแล้ว จนตอนนี้เรไรเริ่มคิดจริงจังถึงแผนการณ์ที่จะเปิดโปงพวกที่พรากชีวิตแม่ของเธอแทน
เธอลาออกจากที่ทำงานและโกหกว่าถูกให้ออกเพราะบริษัทต้องการลดคน จากนั้นก็ขอความเห็นใจจากทวิชที่เริ่มไร้เรี่ยวแรงว่าอยากมาทำงานให้เขา แน่นอนว่าเธอต้องทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธมันได้ ด้วยการแสดงความรู้ถึงไส้ในของอิทธิพลที่เขามี แต่ถึงอย่างนั้นเรไรก็ต้องเสแสร้งทำทีเป็นห่วงทวิช เพื่อให้เขาไม่นึกสงสัยจนสั่งให้ใครมาเก็บเอกสารทั้งหมดไปก่อนที่เธอจะเจอกับสิ่งที่ค้นหา หรือร้ายแรงกว่านั้นเธอต้องทำไม่ใด้เขารู้สึกระแวงจนคิดกำจัดเธอไปด้วย
ในที่สุดหญิงสาวก็ได้เจอกับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นลายมือของแม่เธอ มันถูกซ่อนไว้อย่างดีในตู้เซฟหลังชั้นหนังสือของทวิช ที่ซึ่งเธอใช้เวลาอยู่นานในการให้ทิพย์หลอกถามรหัส กับคนที่เหลือสติอยู่เพียงครึ่งๆ กลางๆ
จดหมายฉบับนั้นเปิดเผยถึงความตั้งใจที่จะหาเงินมาใช้หนี้ของแม่ ซึ่งมันเขียนถึงนางทับทิมเป็นการขอร้องให้คืนเงินที่แม่ลงทุนไป และเห็นแก่ที่แม่ของเธอมีลูกสาวที่ยังเด็ก แล้วเขียนเวลานัดพบกัน ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่แม่หายตัวไป ทิ้งให้เรไรอยู่กับคำถามที่ไม่มีคำตอบ
เรไรนั่งร้องไห้เงียบๆ ขณะที่อ่านจดหมายของแม่ ก่อนที่เสียงฝีเท้าของใครบางคนจะเข้ามาใกล้
“ฉันได้ยินบางอย่างจากคุณท่าน คิดว่าเรย์น่าจะอยากรู้” ทิพย์บอกกับหญิงสาว ในระหว่างที่เธอดูแลทวิชและได้ยินเขาเพ้ออะไรบางอย่างออกมา
“เขาพูดอะไรบ้าง”
“เขาพูดถึงคุณมธุกร แล้วก็เรียกว่าพี่”
สิ่งที่ได้ยินทำเอาเรไรแทบจะทรงตัวไม่อยู่ มธุกร เศรษฐินีคนดัง เจ้าของมูลนิธิที่ทวิชทำงานให้อยู่นั่นน่ะเหรอ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
และด้วยข้อมูลใหม่ที่ได้รับรู้นี้ ทำให้เรไรตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนให้กับตัวเอง ว่าเธอจะต้องค้นหาตัวตนที่แท้จริงของมธุกรให้ได้ เพราะหากว่าเรื่องที่ทวิชเพ้อออกมาคือความจริง นั่นหมายถึงมธุกรคือนางทับทิมที่แกล้งตายและสร้างตัวตนใหม่ ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะหาความจริงในเรื่องนี้
จากวันเริ่มเป็นสัปดาห์จนกลายเป็นหลายเดือนที่เรไรกับทิพย์สืบหาความจริงเกี่ยวกับมธุกร แล้วรวบรวมหลักฐานที่ได้มาอย่างพิถีพิถัน และตามหาเบาะแสของมธุกรพร้อมกับไขปริศนาการตายของนางทับทิมไปด้วย เมื่อเริ่มขุดคุ้ยอดีตของมธุกร รวมถึงติดต่อกับคนในเครือข่ายของทวิชโดยอ้างเป็นความต้องการของคนป่วย ก็ได้พบกับความเชื่อมโยงบางอย่างของคนกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ
“มูลนิธิเพื่อสังคมของมธุกร มีความสัมพันธ์บางอย่าง ที่คล้ายกับแชร์ลูกโซ่ของนางทับทิมเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว” ทิพย์วาดแผนภาพ และการเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายให้กับเรไรได้เห็น ซึ่งนั่นเพียงพอแล้วที่จะให้คนที่อยากรู้ข้อมูลเข้าใจได้ไม่ยาก
“คนพวกนี้ แทบไม่ต่างจากเมื่อสิบห้าปีที่แล้วเลย” เรไรมองภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับมธุกรและนางทับทิมอย่างสนใจใคร่รู้ ซึ่งมีตั้งแต่นักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักธุรกิจ รวมถึงทวิชและภมร ซึ่งเป็นน้องและลูกชายของนางทับทิม ทุกคนต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับมูลนิธิโลกในฝันอย่างมีนัย
“ข้อมูลที่สืบได้ คือมธุกรเพิ่งเข้ามาอาศัยอยู่ที่แถวชายแดนภาคเหนือเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว และแต่งงานกับข้าราชการในพื้นที่จนได้รับสัญชาติ”
“มันจะบังเอิญไปรึเปล่านะ” เรไรเริ่มจับต้นชนปลาย รวมถึงให้ความสนใจกับประธานมูลนิธิโลกในฝันมากขึ้น “แล้วก่อนหน้านั้น มธุกรคือใครกัน”
“แหล่งข่าวบอกว่ามธุกรเป็นคนต่างด้าว อยู่ในครอบครัวของเศรษฐีค้าไม้ พูดภาษาไทยได้คล่อง และเข้ามาลงทุนทำธุรกิจจนได้แต่งงาน”
“รู้ไหมว่าครอบครัวเดิมคือใคร”
“น่าแปลกที่ไม่มีใครรู้จักครอบครัวเดิม แม้แต่ข้อมูลการแต่งงานที่ได้ ก็ไม่พบว่ามีใครมาร่วมงาน นอกจากคุณทวิช สอสออิทธิพล มาดามลอร่า แล้วก็คุณภีม” คนสุดท้ายทิพย์หมายถึงภมร ลูกชายคนเดียวของนางทับทิม และยังมีความสำคัญในมูลนิธิของมธุกรอีกด้วย
หญิงสาวกวาดตามองข้อมูลที่ได้รับ และลองเรียบเรียงเรื่องราวในหัวตัวเอง
“มธุกรไม่มีประวัติก่อนหน้าที่จะเข้ามาอยู่ในไทยเลยสินะ แถมตอนนั้นสอสออิทธิพลก็ยังเป็นแค่คนติดตามของสอสอในพื้นที่ชายแดนตอนนั้น ถ้าทับทิมแอบหนีออกชายแดน แล้วสวมรอยปลอมแปลงเอกสารเป็นคนต่างด้าว เพื่อเข้ามาในไทยอีกครั้งโดยใช้เส้นสายของสอสอ แล้วก็ใช้พวกข้าราชการในพื้นที่นั้นทำเอกสารสร้างตัวตนขึ้นมา คงต้องใช้เงินเยอะพอสมควรเลย”
“เท่าที่รู้ข้าราชการที่มธุกรแต่งงานด้วย จู่ๆ ก็ร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐีในพื้นที่ขึ้นมา และได้ข่าวว่าทั้งสอสอในพื้นที่ และคนที่เกี่ยวข้องกับนางทับทิมได้ร่วมกันสร้างวัดหลังสามีของมธุกรตายด้วย” ในฐานะที่อยู่กับทวิชและเรไรมานาน ก็ทำให้ทิพย์พอเข้าใจกระบวนการต่างๆ ได้ไม่ยาก
“พวกนั้นฟอกเงินผ่านวัดด้วยสินะ แล้วมธุกรก็กลายเป็นเศรษฐินีหม้ายใจบุญ และชุบตัวกลับมาเป็นคนดีโดยสมบูรณ์แบบ”
เมื่อชิ้นส่วนของจิกซอว์เริ่มเรียงตัวกัน เรไรก็เริ่มมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิด จะให้เพิ่มความจริงก็ต้องไปถามจากใครบางคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดเท่านั้น และเมื่อได้คำตอบที่อยากรู้ หญิงสาวจึงเริ่มวางแผนเพื่อเผชิญหน้ากับมธุกร ซึ่งเธอรู้ดีว่าทุกย่างก้าวต่อไปนี้ ต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เพื่อไปสู่เป้าหมายที่จะเปิดเผยความจริง และนำความยุติธรรมมาสู่แม่ของเธอ
แม้หนทางจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่หากเป็นอย่างที่ใจคิด นี่คือการเปิดเผยความลับที่ตามหลอกหลอนเธอมานาน อีกทั้งยังถือเป็นการแก้แค้นและได้ชีวิตที่ถูกพรากไปจากตัวเองคืนมาด้วย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 16 : นางทับทิม
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 15 : หายไปอีกหนึ่ง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 14 : ก่อนไวน์จะหมดขวด
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 13 : มูลนิธิโลกในฝัน
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 12 : ไฟไหม้
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 11 : ความจริงของศพในรถ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 10 : ของเก่าที่ถูกทำลาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 9 : งานในมูลนิธิ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 8 : หนึ่งหญิงสองชาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 7 : โฉมหน้าฆาตกร
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 6 : เป้าหมายแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 5 : ความจริงของหญิงสาว
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 4 : ผู้ปลดปล่อยความโกรธ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 3 : การเผชิญหน้าครั้งแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 2 : ตามหาความจริง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 1 : ที่งานศพ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร : บทนำ