ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 10 : พังทลายในพริบตา (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 10 : พังทลายในพริบตา (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

“งานนี้นันท์ไม่รู้ว่าจะสงสารแม่กับป้าๆ หรือว่าจะสงสารอาขวดดี” ยายนันท์พูดพร้อมหัวเราะอย่างขบขันเต็มที

ฉันเองก็หัวเราะไปพร้อมกับลูกอย่างแช่มชื่น นานแล้วที่ฉันไม่ได้คุยเล่นหัว เล่าเรื่องความทรงจำในอดีตให้ลูกฟังเช่นนี้ บางครั้งความสุขในครอบครัวก็หาได้ง่ายๆ ในสถานการณ์เช่นนี้เอง

เก็บกระเป๋ากันจวนจะเสร็จก็มีเสียงกริ่งประตูบ้านดังขึ้น

“เอ… พี่นะมาถึงเร็วจริง” พูดพลางยายนันท์ก็ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างกระตือรือร้น ฉันเดาว่ายายนันท์คงคิดถึงทั้งพี่ชายและหลานสาวที่กำลังจะขึ้นชั้นประถมศึกษาในอีกไม่นาน อาหลานเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยทีเดียว

ยายนันท์หายไปนานมากจนฉันแปลกใจ จึงเดินออกไปดูที่หน้าประตูรั้วบ้าน ฉันเห็นลูกยืนคุยกับผู้ชายสองคนโดยมีประตูรั้วบ้านกั้นอยู่ คงไม่ใช่คนที่เคยรู้จักมักจี่กัน นันท์จึงไม่เชิญให้เข้าบ้าน เมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นว่าคนที่กำลังยืนคุยกับลูกเป็นชายสวมใส่สูทสีกรมท่า แต่เมื่อเห็นหน้าใกล้ๆ กลับรู้สึกว่าบุคลิกช่างขัดกับสูทที่ใส่โดยสิ้นเชิง นี่ถ้าใส่เสื้อคลุมกันลมกับหมวกกันน็อก ก็เป็นแก๊งทวงหนี้โหดตามข่าวได้เลยทีเดียว

“ไม่เชื่อคุณก็ตามคุณกุนตีออกมาคุย จะได้ยืนยันกันไป” ชายในชุดสูทบอก

“นี่คุณจะมาอ้างมั่วๆ ไม่ได้หรอกนะ เอกสารที่คุณเอามาก็แค่สำเนาไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไร” ศาตนันท์ตอบโต้

“ฉบับจริงผมก็มี วันที่ทำสัญญาผมก็เห็นคุณกุนตีเซ็นเองกับมือ” ชายคนนั้นโต้เสียงแข็ง

ฉันเดินมาถึงตรงนั้นพอดี จึงถามว่า “มีอะไรกัน”

ยายนันท์รีบพูดดักขึ้นว่า “นายสองคนนี้ บอกว่าจะมาหาคุณกุนตี เพราะคุณกุนตีเป็นหนี้เขาอยู่ นี่คนนี้ยังบอกเลยค่ะว่า เขาอยู่ระหว่างที่คุณกุนตีเซ็นชื่อในสัญญาด้วย”

ได้ฟังลูกอธิบายสถานการณ์ฉันก็ฉุกคิดได้ จึงไม่แสดงตัวแล้วถามว่า “นายอยู่ตอนที่คุณกุนตีเซ็นเอกสารด้วยหรือ”

ชายคนนั้นเริ่มอารมณ์หงุดหงิดแล้วตอบเสียงห้วนๆ ว่า “ก็ใช่สิ”

ฉันเริ่มได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากล ยังคงเป็นลูกที่ตามสถานการณ์ได้ดี ส่งเอกสารที่อัดสำเนาให้ฉันดู ฉันรับมากวาดสายตาดูคร่าวๆ เป็นสัญญาเงินกู้ที่มีฉันเป็นผู้ร่วมกู้ ฉันมั่นใจว่าแม้ลายเซ็นจะเหมือนของฉัน แต่ฉันไม่เคยเซ็นเอกสารสัญญาฉบับนี้แน่นอน ฉันส่ายหน้าปฏิเสธให้ลูกรับรู้ ลูกเองก็คงสังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากล อย่างน้อยๆ ก็คำกล่าวอ้างของผู้ชายในชุดสูทที่ว่าอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่ฉันเซ็นสัญญากู้ยืมแต่กลับจำฉันไม่ได้

“สำเนานี้อาจจะปลอมก็ได้” ศาตนันท์พูด

“ผมมีสัญญาคู่ฉบับของจริง”

“ถ้างั้นฉันขอดูหน่อย”

“ใครจะกล้าให้ คุณเล่นปิดประตูบ้านอย่างนี้ ถ้าผมส่งให้ดูแล้วคุณเล่นตุกติกทำลายทิ้งพวกผมก็ยากน่ะสิครับ”

ศาตนันท์นิ่งคิดสักครู่ก็บอกว่า “งั้นคุณไปรอที่คาเฟ่หน้าปากซอย ร้านนั้นมีห้องประชุมเล็กๆ เป็นสัดส่วนให้เช่าด้วย คุณไปสั่งกาแฟและเปิดห้องประชุมรอไว้เลย ไม่เกินอีกสิบนาทีฉันตามไป…ไม่ต้องโยกโย้ ค่ากาแฟกับค่าห้องประชุมฉันรับผิดชอบเอง”

ชายปริศนาสองคนมองหน้าเหมือนถามความเห็นกัน สักครู่ก็ชวนกันขับรถมอเตอร์ไซค์กันออกไป ประหลาดพิลึก ใส่สูทมาทวงหนี้แต่ดันขับมอเตอร์ไซค์มา

ชายสองคนนั้นล่วงหน้าไปแล้ว ยายนันท์ก้มหน้าส่งข้อความในแอปพลิเคชันสนทนา แล้วหันมาถามฉันด้วยนำเสียงจริงจังเช่นเคยว่า “แม่บอกนันท์มาตามตรง แม่ได้ไปเซ็นสัญญากู้ยืมอะไรไว้ไหมคะ”

“แม่มีความจำเป็นอะไรต้องไปกู้เงิน แม่ไม่เคยเซ็นอะไรทั้งนั้น” ฉันตอบเสียงแข็ง

“แล้วเซ็นค้ำประกันใครไปบ้างหรือเปล่าคะ”

ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ

ศาตนันท์นิ่งคิดก่อนจะออกคำสั่งตามความเคยชินว่า “แม่รอพี่นะ พี่ฤดีกับหลานอยู่ที่นี้ดีกว่าค่ะ แต่แม่ช่วยเซ็นชื่อเป็นตัวอย่างให้นันท์สักสี่ห้าลายเซ็นด้วยค่ะ”

ฉันทำตามอย่างว่าง่าย หยิบปากกาสำหรับเซ็นชื่อมาเซ็นชื่อในกระดาษการ์ดให้ลูกเป็นตัวอย่างห้าลายเซ็น ก่อนส่งให้ลูกฉันถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ให้แม่ไปเป็นเพื่อนด้วยดีไหม นันท์ไปคนเดียวแม่เป็นห่วง”

“แม่อย่าไปเลยค่ะ ถ้ามันจะรู้ว่าแม่คือใคร มันจะตามมารังควานแม่ได้ทีหลัง จากที่คุยกันหน้าบ้านเมื่อกี้ แสดงว่ามันไม่รู้จักว่าคุณกุนตีที่มันอ้างคือแม่” ลูกพยายามอธิบาย

“แต่แม่ห่วงนันท์นะลูก”

“แม่ไม่ต้องห่วงค่ะ ร้านนั้นคนพลุกพล่าน ต่อให้คุยกันในห้องประชุมเล็ก แต่ก็เป็นห้องกระจก ถ้ามันคิดจะทำร้ายนันท์คนข้างนอกต้องเห็นและมาช่วยนันท์แน่นอน และอีกอย่างวันนี้กฤตย์ออกเวรและอยู่แถวนี้พอดี นันท์ส่งข้อความขอให้กฤตย์เข้ามาช่วยอยู่เป็นเพื่อนนันท์แล้วค่ะ แม่ไม่ต้องห่วง”

ฉันเดาได้ไม่ยากว่านายกฤตย์คงมีแผนตามยายนันท์ไปพักผ่อนที่หัวหินด้วยเป็นแน่ เอาเถิดถือว่าโชคยังดีที่กฤตย์อยู่ใกล้ๆ กันนี้

“ก็ดีที่กฤตย์อยู่ด้วย แม่จะได้เบาใจ”

ศาตนันท์เลือกวิธีการไปร้านกาแฟด้วยการเดิน ฉันเข้าใจว่าลูกคงถ่วงเวลาให้นายกฤตย์มาถึงร้านทันๆ กัน

ศาตนันท์หายไปร่วมสองชั่วโมง ฉันกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดตลอดเวลา แม้จะแน่ใจว่าตัวเองไม่เคยเซ็นชื่อในสัญญากู้ยืมใดๆ แต่ลายเซ็นในเอกสารสำเนานั้นก็ช่างละม้ายคล้ายลายเซ็นของฉันจริงๆ แม้ฉันจะปลอบตัวเองว่าไม่เคยเซ็นสัญญากู้ยืมใดๆ แต่อีกใจก็ย้อนถามว่า ถ้าเผลอไผลไปเซ็นสัญญาเข้าโดยไม่รู้ตัวล่ะจะทำยังไง คงเป็นเพราะความกังวลทำให้หัวใจของฉันเต้นไม่เป็นส่ำและความดันโลหิตของฉันพุ่งสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ฉันรู้สึกปวดหัวหนึบๆ ขึ้นมา จนต้องให้มือคลึงขมับเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการ

นันท์กลับมาพร้อมกฤตย์ ลูกท่าทางหัวเสียมาก แม้จะกลัวและกังวลแต่ความอยากรู้มีกำลังเหนือกว่า ฉันจึงเอ่ยปากถามสถานการณ์ออกไป

“เป็นยังไงบ้างนันท์ พวกนั้นเป็นพวกแก๊งต้มตุ๋นใช่ไหม”

ศาตนันท์วางซองเอกสารที่ข้างในบรรจุด้วยกระดาษปึกหนึ่งลงบนโต๊ะอย่างฉุนเฉียว แล้วพูดเสียงเข้มว่า “ข้างในเป็นสำเนาเอกสารกู้ยืมทั้งหมด แม่ดูเอาเถิดค่ะ แต่ถ้าอยากดูฉบับจริง นันท์ถ่ายเป็นไฟล์ภาพมาอยู่ในแท็บเล็ต”

ฉันคลี่ดูเอกสารในซองเอกสารอย่างสั่นๆ ข้างในเป็นสำเนาสัญญากู้ยืม ฉันกลั้นใจดูอย่างตั้งใจ เป็นสัญญากู้ยืมเงินที่ฉันเป็นผู้กู้ร่วมกับสืบธาร ฉันกวาดสายตาขึ้นไปดูที่ยอดเงินกู้

“ห้าสิบล้าน!” ฉันอุทานด้วยความตกใจ

“บ้าไปแล้ว ใครมันจะให้คนเกษียณอย่างฉันกู้ตั้งห้าสิบล้าน แถมไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอีก”

“แม่ดูเอกสารครบหรือยังคะ แม่เห็นไหมว่าในสัญญา แม่ใช้โฉนดบ้านหลังนี้ค้ำประกันไว้ ไอ้สองคนนั้นมันบอกนันท์ว่านายสืบหลานรักของแม่มันหนีหายไปแล้ว แม่ในฐานะคนกู้ร่วมก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ ถ้าแม่ไม่ยอมจ่ายหนี้ มันจะทำเรื่องฟ้องเพื่อยึดบ้านหลังนี้ชดใช้แทนหนี้ทั้งหมด” ศาตนันท์อธิบายเสียงแข็ง

“ไม่มีจริง แม่ไม่ได้เซ็นกู้ยืมอะไรทั้งนั้น…” ฉันตระหนกหนักขึ้น หัวใจเต้นระรัวราวกับจะโลดออกมาจากอก “… มันต้องปลอมลายเซ็นแม่แน่ๆ” ฉันพยายามหาเหตุผลแก้ตัวกับลูก

“นันท์ลองเทียบลายเซ็นในสัญญากับตัวอย่างลายเซ็นที่แม่ให้ไป แม่รู้ไหมคะ ทั้งขนาด ทั้งลายเส้น ทั้งน้ำหนักมือ แทบจะเหมือนกันทุกอย่าง ถ้าเป็นการปลอมลายเซ็นก็ต้องมืออาชีพมากเลยค่ะ”

“นันท์ใจเย็นๆ ก่อน จะสรุปว่าลายเซ็นนั้นเป็นของคุณน้าเลยก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายถ้าเป็นคดีก็ต้องส่งพิสูจน์กันตามหลักการทางวิทยาศาสตร์อยู่ดี” กฤตย์เอ่ยเตือนสติ

“เพราะอย่างนั้นไง นันท์ถึงต้องมาถามแม่ให้แน่ชัดว่า แม่ไม่เคยเซ็นอะไรโดยเฉพาะกับเอกสารที่นายสืบหรือน้าธารีเอามาให้เซ็น”

คำพูดของลูกยิ่งตอกย้ำสิ่งที่ฉันหวั่นกลัวให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ฉันอาจจะเซ็นไปโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

ฉันพยายามลำดับข้อมูลใหม่ สัญญานั้นระบุว่าฉันกู้เงินร่วมกับตาสืบ…ใช่ตาสืบต้องรู้เรื่องนี้ และถ้าไม่รู้ตาสืบจะต้องช่วยฉันในเรื่องนี้ได้แน่นอน คิดได้ฉันก็รีบโทรศัพท์หาหลานทันที แต่ไม่ว่าจะกดโทรศัพท์สักกี่ครั้ง ก็พบว่าเลขหมายปลายทางนั้นปิดเครื่อง เมื่อไม่สามารถติดต่อได้ ฉันก็เปลี่ยนมาโทร.หาธารีแทน ผลก็เป็นเช่นเดียวกันคือ ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน

ความวิตกกังวลและหวาดกลัวเพิ่มขึ้นเป็นทับทวี การที่ฉันไม่สามารถติดต่อทั้งสืบธารและธารีได้ เหมือนเป็นสัญญาณเตือนแห่งความหายนะ ฉันนั่งนิ่งอย่างอับจนหนทาง สมองก็ตื้อตันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี และการนั่งนิ่งอย่างคนอับจนหนทางนี้เองคงทำให้ยายนันท์เข้าใจว่าฉันไม่อินังขังขอบไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น ลูกจึงถามด้วยเสียงเข้มกว่าเดิมจนฉันตกใจว่า

“แล้วแม่จะเอายังไงคะ นี่อีกไม่กี่วันถ้าเขาเข้ามายึดบ้าน เราสองคนจะไปซุกหัวนอนกันที่ไหน แล้วถ้าพ่อรู้ว่าแม่เอาบ้านเดิมของพ่อไปค้ำประกันจนจวนเจียนจะถูกยึดแบบนี้ พ่อจะเสียใจขนาดไหน…”

ความอับจนหนทางกอปรกับความจริงที่ลูกพูด คือฉันจะไม่มีทางซุกหัวนอน ซ้ำบ้านหลังนี้ยังเป็นบ้านเดิมของคุณพ่อคุณแม่พี่ติ ถ้าถูกยึดไปเพราะฉันเป็นสาเหตุ พี่ติจะเสียใจหรือผิดหวังขนาดไหน

ความรู้สึกหลากหลายประดังเข้ามาหาฉัน ประกอบกับการเจ็บป่วยที่สะสมอยู่ทำให้สติฉันขาดผึง ดวงตาที่เคยเห็นภาพชัดบัดเดี๋ยวใจก็เกิดเป็นจุดดำๆ ผุดขึ้นพร่าพรายอย่างรวดเร็วจนดวงตาของฉันมืดสนิท แล้วสติสัมปะชัญญะทั้งปวงก็ดับตามลงไป

 

ฉันรู้สึกสะลึมสะลืออยู่บนเตียงที่มีสายระโยงระยาง ร่างกายหนักอึ้งไร้เรี่ยวแรงเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบอันหนักหน่วง ความเยียบเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ฉันสั่นสะท้าน ฉันพยายามลำดับความคิดและความทรงจำว่า…อะไรพาฉันมาถึงจุดนี้ได้

ความทรงจำในอดีตพรั่งพรูราวสายน้ำไหล ตามที่คุณได้ทราบมาทั้งหมดนั้นละค่ะ…ในที่สุดฉันก็ระลึกได้ว่าอะไรพาฉันมาถึงจุดเลวร้ายที่สุดในชีวิต ความผิดพลาดทั้งหลายที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่เกิดจากความอวดดื้อถือดีและเจ้าทิฐิของฉัน แต่ฉันก็พร้อมจะยอมรับผลของมันอย่างดุษณี เพราะฉันเป็นคนเลือกที่จะทำอย่างนั้น แต่คราวนี้คือหนี้จำนวนมหาศาลที่ฉันไม่อาจชดใช้ได้หมด ซ้ำร้ายคือฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าฉันได้เซ็นสัญญานั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน ด้วยเหตุนี้ฉันจึงไม่อาจจะทำใจยอมรับมันได้ ยิ่งการรับผิดชอบคือการต้องสูญเสียบ้านอันเป็นสมบัติเดิมของพี่ติซึ่งฉันได้อาศัยอย่างเป็นสุขมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

สติของฉันกลับคืนมาจนเกือบจะสมบูรณ์ในเวลานี้ แต่ฉันก็เลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาที่มารอฉันอยู่ จึงยังไม่ยอมลืมตาใช้เพียงหูสดับเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัว

“พี่นะกลับไปนอนที่บ้านกับพี่ฤดีและหลานก็ได้ เดี๋ยวทางนี้นันท์เฝ้าแม่เอง”

“พี่อยู่เป็นเพื่อนนันท์ดีกว่า นี่นันท์ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ”

“นันท์ไม่หิวค่ะ…สงสารก็แต่หลาน อดไปเที่ยวทะเลอย่างที่หวังเลย”

“ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนันท์ พรุ่งนี้พาหลานมาเยี่ยมแม่แล้ว พี่ฤดีก็พาหนูดีไปสวนสนุกชดเชยที่ไม่ได้ไปทะเล”

…เสียงลูกทั้งสองคนคุยกัน ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจหนักขึ้นที่เป็นต้นเหตุทำให้หลานตัวน้อยอดไปเที่ยวทะเลอย่างที่หวัง

สักประเดี๋ยวก็มีเสียงมีคนเดินเปิดประตูเข้ามา ตามด้วยเสียงสะอื้นของยายนันท์ “พ่อขา…”

พี่ติก็มาด้วยหรือนี่ ฉันอยากจะนอนโดยไม่ต้องตื่นมาอีกเลย แล้วนี่ฉันจะตอบคำถามเรื่องบ้านของพี่ติอย่างไรกัน

“ไม่ต้องตกใจลูก พ่อมาแล้ว” เสียงพี่ติปลอบโยนลูก

“พ่อขา เขาขู่ว่าจะยึดบ้านของเรา” ยายนันท์ฟ้องพ่อราวกับตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่โต

“ถ้าเขายึดได้ก็ให้เขายึดไป สมบัตินอกกายไม่สำคัญเท่าชีวิตของเราหรอกนะนันท์ สำหรับพ่อความสุขของลูกทั้งสองคนและแม่ของลูกสำคัญที่สุด” พี่ติปลอบโยนลูก คำปลอบโยนนั้นเอื้อเฟื้อมาถึงหัวใจที่แห้งเหี่ยวจากความผิดหวังของฉันด้วย

“แล้วนี่คุณหมอบอกหรือยังว่าแม่เราเป็นอะไร”

“คุณหมอสันนิษฐานว่าน่าจะเพราะความเครียดจึงทำให้หมดสติไป แต่ก็ขอตรวจอย่างละเอียด นี่คงรอผลแล็บอยู่ ถ้าทราบคงจะมาแจ้งผลเร็วๆ นี้ค่ะ”

เสียงประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้ง ใครมากันอีกล่ะนี่ ฉันพยายามเงี่ยหูฟัง

“นันท์ครับ ผมขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่เป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมืองช่วยดู ทั้งสืบธารและน้าธารียังไม่มีรายงานการออกนอกประเทศ” น่าจะเป็นเสียงของนายกฤตย์

“ไม่มีรายงานก็ไม่ได้หมายความว่าจะยังอยู่ในประเทศ ถ้าสองคนนั้นใช้ช่องทางธรรมชาติหลบหนีออกนอกประเทศ ก็ต้องไม่มีรายงานแน่นอน” ตานะพูดขึ้น

“เดี๋ยวก่อน น้าธารีกับสืบธารมาเกี่ยวข้องอะไรด้วย” พี่ติถามลูกๆ ซึ่งเป็นคำถามที่ฉันเองก็สงสัย

“สัญญากู้ยืมมีสืบธารเป็นผู้กู้หลัก และมีชื่อของแม่เป็นผู้กู้ร่วมโดยเอาบ้านของเราไปค้ำประกันไว้น่ะสิคะ” ยายนันท์ตอบพ่อเสียงแข็ง

ขณะที่ทั้งสี่คนจะพูดคุยอะไรกันต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่จะเปิดเข้ามา ห้องพักผู้ป่วยของฉันช่างคึกคักราวกับงานปิดทองฝังลูกนิมิตจริงๆ มีแต่คนอยากจะเข้ามา

“สวัสดีค่ะคุณหมอ” เสียงศาตนันท์ทักทายผู้ที่เข้ามา

“ผมมาแจ้งอาการป่วยของคุณกุนตีครับ… ที่หมดสติไปเป็นเพราะความเครียดและน่าจะพักผ่อนไม่เพียงพอ อาการไม่น่าเป็นห่วง ผมเช็กร่างกายแล้วโดยเฉพาะศีรษะไม่มีร่องรอยจากการกระทบกระเทือน ไม่มีอาการบ่งชี้ว่าจะเป็นโรคเส้นเลือดในสมอง แต่ถ้าญาติไม่สบายใจพรุ่งนี้ผมจะเขียนส่งให้ไปสแกนสมองอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ”

“ค่อยสบายใจหน่อยครับ” เสียงของตานะพูดขึ้น

“อืม…แต่ผมมีเรื่องที่ค่อนข้างจะกังวลเกี่ยวกับอาการอื่นของคุณกุนตีนะครับ”

“อาการอะไรคะคุณหมอ” ยายนันท์ถามหมอด้วยเสียงตื่นตกใจ ส่วนฉันก็ระทึกใจไปไม่ต่าง

“คุณกุนตีเป็นคนไข้ประจำของเรานะครับ เมื่อหกเดือนก่อนที่คุณศาตนันท์พามาตรวจสุขภาพชุดใหญ่คงยังจำได้…เมื่อหกเดือนก่อนค่าการทำงานของไตของคุณกุนตีดีมาก แต่ผลการตรวจครั้งนี้ ค่าการทำงานของไตเหลือแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก ระยะเวลาเพียงหกเดือนค่าการทำงานของไตลดลงไปมาก… ”

“หมายความว่าอย่างไรครับคุณหมอ” คราวนี้เป็นพี่ติที่ถามขึ้น

“ผมกำลังกังวลว่าคุณกุนตีอาจมีอาการของโรคไตวายเฉียบพลัน!”

 



Don`t copy text!