ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 12 : ผู้หญิงคนนั้นกับปมในใจของฉัน (1)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 12 : ผู้หญิงคนนั้นกับปมในใจของฉัน (1)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

สุดท้ายการลาพักร้อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศของยายนันท์ ก็สมประสงค์เพียงครึ่งเดียว เพราะได้มีโอกาสเปลี่ยนที่นอนจริงๆ แต่เป็นห้องพักคนไข้ในโรงพยาบาลไม่ใช่หัวหินอย่างที่ตั้งใจ

ฉันลืมตาขึ้นหลังจากที่รวบรวมความกล้าอย่างหนัก นันท์ก็ไม่ได้พูดเรื่องสัญญาที่ฉันเอาบ้านไปค้ำประกันไว้เลย ทำให้ฉันเบาใจไปได้เล็กน้อย

เช้าวันอาทิตย์นกุลพาภรรยาและหนูดีลูกสาวมาลาฉันเพื่อกลับบ้าน เมื่อเห็นหน้าหลานความรู้สึกผิดก็ลุกแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจ เด็กตัวน้อยๆ ที่มีความฝันจะได้ไปเที่ยวทะเล ไปเล่นน้ำทะเลตามประสาเด็ก ความฝันนั้นก็พังทลายลงเพราะย่ามาล้มป่วยกะทันหัน

หนูดีได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีจากคุณยาย ดังนั้นหลานจึงไม่กระดากกระเดื่องที่จะเข้าหาและแสดงความรักต่อผู้ใหญ่ในวัยฉัน หนูดีขอให้พ่ออุ้มเธอขึ้นมานั่งบนเตียง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวอย่างระมัดระวังเข้ามาใกล้ฉัน

“คุณย่าขา หนูดีกลับบ้านก่อนนะคะ” พูดพลางก็ก้มกราบที่อกฉันอย่างเรียบร้อย ฉันทั้งรักและสงสารหลานจับใจ จึงเอามือลูบหัวหลานเบาๆ อย่างปรานีก่อนที่จะพูดขอโทษหลานว่า

“ย่าขอโทษนะหนูดี ดูสิเพราะย่าคนเดียวหนูดีเลยอดไปทะเล”

“หนูดีได้ไปทะเลแล้วค่ะ แม่พาไปเมื่อวาน แต่ให้เล่นน้ำแค่ครึ่งวันเอง” หนูดีตอบเสียงแจ๋ว

“หนูพาแกไป…” ฤดีภรรยาของตานะอธิบายว่าพาหลานไปเที่ยวสวนน้ำแห่งหนึ่งซึ่งเป็นทะเลเทียม

“มันไม่เหมือนทะเลจริงหรอกลูก” ฉันบอกหลาน

“แม่ก็บอกอย่างนั้นค่ะ แต่ไม่เป็นไร ไว้คุณย่าขาแข็งแรงเมื่อไร เราค่อยไปกันใหม่นะคะ คราวหน้าหนูขออนุญาตชวนคุณยายจ๋ามาด้วย จะได้เป็นเพื่อนคุยกับคุณย่าขาตอนหนูดีไปเล่นน้ำทะเล”

ฉันพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะสัญญากับหลานว่า “ย่าจะดูแลตัวเองให้แข็งแรงไวๆ จะได้พาหนูดีของย่าไปทะเล”

“คุณย่าขาสัญญาแล้วนะคะ” หนูดียกนิ้วก้อยขึ้นมา ฉันก็ยกก้อยเกี่ยวกันเพื่อเป็นสัญญา

“มาค่ะ หนูดีขอจ่ายยาให้คุณย่าขาก่อน…” หนูดียื่นหน้ามาหอมที่แก้มซ้าย แก้มขวา หน้าผาก และปลายคางของฉัน “…ความรักและความห่วงใยของหนูดี ขอจงเป็นยาวิเศษรักษาคุณย่าขาให้หายไวๆ เพี้ยง”

น้ำตาของฉันเอ่อขึ้นมาอย่างปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจ หนูดีหลานที่ฉันคิดว่าไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับฉันมากเท่ายายที่เลี้ยงแกมา แต่ความจริงแล้วหลานทั้งรักและผูกพันกับฉันในฐานะย่าอยู่ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้เองทำให้กำลังใจที่จะรักษาตัวเองให้แข็งแรงมีชีวิตยืนยาวเพื่อมองดูหลานรักคนนี้เติบโตขึ้นก่อตัวขึ้นในใจอย่างเข้มข้น

 

ถัดจากนั้นอีกสองสามวัน ทั้งหมอและพยาบาลต่างก็สาละวนเข้าออกเพื่อดูอาการฉัน

มีวันหนึ่งฉันต้องไปเข้าเครื่องที่เรียกว่าซีทีสแกน เพื่อตรวจดูว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนหรือไม่ ความจริงแล้วคุณหมอเจ้าของไข้ของฉันก็บอกว่า อาการของฉันไม่มีข้อบ่งชี้ว่าสมองได้รับความกระทบกระเทือนจนอันตราย แต่ก็เป็นพี่ตินั่นละที่ขอให้หมอสั่งให้ทำทีซีสแกนเพื่อความมั่นใจ

ฉันนอนในโรงพยาบาลจนครบสัปดาห์ ฉันสังเกตเห็นว่าพี่ติจะหายไปในตอนกลางวัน แต่หากกลับมาเฝ้าไข้ฉันในตอนเย็นทุกวัน แล้วในเวลาเยี่ยมของเย็นวันหนึ่ง พี่ติก็เข็นรถพานายขวดเข้ามา

นายขวดในวันนี้ดูแข็งแรงขึ้นมาก แม้จะไม่เหมือนเดิม นายขวดสามารถพูดประโยคที่ยาวขึ้นและก็โอ้อวดตามนิสัยว่า “ตอนนี้เราเข้าห้องน้ำได้เองแล้วนะ…ไม่ต้องถ่ายใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่แล้ว” ก่อนที่จะหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ

“นายขวดเขาเชื่อฟังหมอ นักกายภาพ และมีวินัยมากจึงฟื้นฟูตัวเองได้ดีขนาดนี้” พี่ติบอก

“โอ๊ยพี่ติครับ…ถ้าผมอาการเหมือนยายกุน…รับรองพรุ่งนี้…ผมวิ่งได้เลย…เชื่อขนมกินสิเอ้า”

วันนั้นฉันได้ปลดสายน้ำเกลือแล้ว เพราะสามารถกินอาหารและน้ำได้ในปริมาณที่ปกติ ฉันลุกนั่งและขึ้นลงเตียงผู้ป่วยได้ ฉันจึงลงจากเตียงไปนั่งข้างๆ นายขวด ก่อนจะกอดเพื่อนรักของฉันอย่างขอบคุณ

เราเป็นเพื่อนรักกันมานาน นานกว่าครึ่งค่อนชีวิต เราร่วมทุกข์ร่วมสุขและผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย มีหรือที่ฉันจะไม่รู้ว่าเพื่อนตั้งใจจะมาให้กำลังใจฉันให้สู้กับปัญหาที่กำลังประสบอยู่ เราสนิทกันมากจนไม่ต้องพูดคำใดออกมา เพียงแค่การกอดเท่านั้นก็ถ่ายทอดความรู้สึกนับร้อยพันถึงกันได้

ก่อนที่ฉันจะน้ำตาหยด นันท์ก็ถือโทรศัพท์เข้ามา “แม่ขา ป้าเครือจะคุยด้วย”

ยายนันท์ส่งโทรศัพท์ซึ่งกำลังวิดีโอคอลอยู่ ภาพในหน้าจอคือเครือแก้วที่ใส่ชุดสีขาวสะอาดทั้งตัว

“กุน…ว้ายนายขวดก็อยู่… ดีเลยฉันกำลังคิดถึงมากๆ ทีเดียว…กุนฉันขอโทษนะที่ไม่ได้ไปเยี่ยม คือฉันไปปฏิบัติธรรมอยู่สำนักปฏิบัติธรรมบนดอย ฉันเลยต้องปิดเครื่อง พอเปิดเครื่องได้เห็นข้อความที่หนูนันท์ส่งมา ก็รีบโทรหาเลย กุนเธอเป็นไงบ้าง นี่นายขวดด้วยเป็นไงบ้าง โอ๊ยฉันคิดถึงแทบจะบ้า” เครือแก้วสามารถพูดได้โดยไม่เว้นจังหวะหายใจหรือเว้นให้คนอื่นได้ตอบ จนกว่าเธอจะได้พูดจนพอใจ

“นี่เครือ…เธอไปปฏิบัติธรรมแบบอธิษฐานปิดวาจามาใช่ไหม…ออกมาได้นี่พูดไม่เว้น…หายใจเลย” นายขวดพูด

“อ้อ ไม่ต้องตอบอะไรแล้วละ พูดได้ขนาดนี้แสดงว่านายขวดแข็งแรงขึ้นมาก แล้วนี่ถ้าแข็งแรงขนาดนี้ว่างๆ ก็ขึ้นมาหาฉันที่นี่สิ มาคุยกันแก้เหงาบ้าง” เครือแก้วพูดแกมหัวเราะ

“ฉันบอกพวกเธอแล้วไง…คนอย่างนายขวด…ตายยากส์…”

เราหัวเราะกันครื้นเครง ก่อนสัญญาว่าจะนัดรวมตัวกันจริงๆ ที่ไม่ใช่การวิดีโอคอลให้ได้

 

พี่ติกลับไปส่งนายขวดที่บ้าน คุณหมอเจ้าของไข้แจ้งว่าอาการฉันดีขึ้นมาก สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ เพียงแต่อาการของโรคไตนั้น คุณหมอขอดูอาการไปอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยกำชับเด็ดขาดว่าห้ามฉันกินยาสมุนไพรและอาหารเสริมใดๆ ส่วนอาหารก็พยายามหลีกเหลี่ยงผักบางอย่าง และพยายามกินอาหารที่ปรุงรสให้น้อยที่สุด หาก 3 เดือนผ่านไปค่าการทำงานของไตฉันเพิ่มขึ้น นั่นก็หมายความว่าฉันเป็นโรคไตเสื่อมแบบเฉียบพลันที่มีทางรักษาให้ดีขึ้น ไม่ใช่โรคไตเรื้อรังอย่างที่ฉันและลูกกังวล

ฉันรับปากคุณหมอว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แต่คุณหมอก็ยังแนะนำเพิ่มว่า ควรมีผู้ดูแลที่ไว้ใจได้อยู่กับฉันในช่วงพักฟื้นนี้

ฉันเริ่มกังวลใจเรื่องคนมาดูแลฉันที่บ้าน เพราะหลังจากที่ฉันไต่ตรองอยู่ระยะหนึ่งก็มั่นใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับฉัน ธารีน่าจะมีส่วนอยู่ด้วย ดังนั้นฉันจึงยิ่งกังวลว่าขนาดน้องของฉันแท้ๆ ยังสร้างปัญหาให้ฉันได้ถึงขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นคนอื่นฉันจะไว้ใจได้อย่างไร

นันท์แจ้งว่าหลังจากออกโรงพยาบาล วันรุ่งขึ้นลูกก็ต้องเริ่มไปทำงานหลังที่ลาพักร้อนมาตลอดสัปดาห์ ฉันเล่าความกังวลใจของฉันให้นันท์ฟัง สุดท้ายลูกก็เสนอทางออกว่า

“นันท์คุยกับพ่อคร่าวๆ แล้ว พ่อบอกว่าถ้าแม่อนุญาตพ่อก็จะมาอยู่ดูแล”

“จะดีหรือนันท์ พ่อเขาก็มีภาระของเขาที่ต้องดูแล แล้วแม่กับพ่อก็ไม่ได้อยู่ร่วมบ้านกันมาหลายปี แม่กลัวจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง หากพ่อต้องย้ายเข้ามาอยู่ด้วย” ฉันท้วง

“พ่อเขาก็กลัวว่าแม่จะกังวลเรื่องนี้ พ่อหาทางออกไว้แล้วละค่ะ”

นันท์เล่าแผนการที่พี่ติวางแผนไว้ให้ฉันฟังคร่าวๆ ว่า พี่ติจะมาดูแลฉันในช่วงที่ลูกไปทำงาน เมื่อลูกกลับมาแล้ว พี่ติก็จะกลับไปพักผ่อนที่ห้องพักส่วนตัวซึ่งอยู่ในซอยเดียวกับบ้านของเรา ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร

“พ่อเขามีห้องชุดใกล้บ้านเรานิดเดียวเองค่ะ เดินไปห้านาทีสิบนาทีก็ถึงแล้ว ตอนเช้าพ่อจะมาบ้านเราก่อนนันท์จะออกไปทำงาน พอนันท์กลับมาพ่อก็จะกลับห้องพักของตัวเอง”

“พ่อเขามีห้องพักใกล้บ้านเราขนาดนั้นเลยหรือ ทำไมแม่ไม่รู้”

“พ่อบอกว่าเมื่อก่อนมีไว้ให้คนเช่าเก็บรายได้นิดหน่อย พอคนเช่ารายเก่าย้ายออก พ่อก็ยังหาคนมาเช่าต่อไม่ได้ ก็เลยเก็บไว้เป็นที่พักส่วนตัว เวลาขึ้นมาทำธุระที่กรุงเทพ” ศาตนันท์อธิบาย

“เอาเถอะ ถ้านันท์กับพ่อคิดว่าเป็นทางออกที่ดี แม่ก็ไม่ขัดข้อง”

 

ฉันกลับมาถึงบ้านก็ต้องประหลาดใจ เพราะบ้านที่รกระเกะระกะถูกทำความสะอาดจนเกลี้ยง ฉันทำท่าตื่น สอดส่ายสายตาหาของที่เคยเป็นของใช้ประจำและของที่ฉันซื้อหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ลูกเหมือนจะรู้ความคิดของฉันจึงรีบบอกว่า

“ไม่ต้องตกใจค่ะแม่ ของทุกชิ้นถูกย้ายไปเก็บไว้อย่างดีที่โรงเก็บของหลังบ้านค่ะ เหลือไว้แต่ของที่จำเป็น พ่อบอกว่าอยากให้บ้านโปร่งๆ ทำความสะอาดง่าย แม่จะได้หายใจให้คล่องขึ้น แสงจะได้ส่องผ่านได้มากกว่าเดิม บ้านจะได้ไม่อับทึบดูไม่สดใส”

“บ้านเรามีที่โรงเก็บของที่ไหนกัน” ฉันถาม

“จะยากอะไรล่ะคะ งานก่อสร้างเดี๋ยวนี้ง่ายยังกับเสก พ่อเขาสั่งโรงเก็บของแบบสำเร็จรูปมา เทพื้นรอแห้งสองวัน ประกอบสองวัน อีกวันก็ย้ายของเข้า ทำเสร็จตั้งแต่แม่ยังพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลค่ะ”

ฉันเพิ่งเข้าใจว่า ช่วงตอนกลางวันที่พี่ติหายไปบ้างนั้น น่าจะมาคุมช่างทำงานนี่เอง

“ตอนแรกนันท์คิดว่าจะฉวยโอกาสที่แม่นอนพักที่โรงพยาบาลเคลียร์บ้านให้เอี่ยม จะเรียกคนรับซื้อของเก่ามาตีราคาตู้เตียงเก่าๆ หม้อลามชามไหที่ไม่ใช้งานไปให้หมด แต่พ่อก็ท้วงไว้แล้วบอกว่า แม่ไม่ได้หวงสมบัติบ้าหรอก แต่ตัดใจทิ้งความทรงจำที่อยู่ในสิ่งของเหล่านั้นไม่ลง ของบางอย่างแม่ซื้อมากจากเงินที่เก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่สมัยเรียน พอออกมาตั้งครอบครัวกับพ่อก็ค่อยๆ ซื้อหาของที่จำเป็นกับครอบครัว อย่างชุดจานชามขอบทองลายดอกไม้ชุดนั้น ที่แม่ไม่ยอมใช้จนตอนนี้แตกลายงาหมดแล้ว ครั้นจะเอามาใช้ก็ไม่น่ากินเสียแล้ว นันท์จะเอาไปทิ้งหลายหนแม่ก็ไม่ยอมท่าเดียว นันท์เพิ่งรู้เองนะคะว่าแม่เจียดค่าใช้จ่ายส่วนตัวของแม่ที่พ่อให้เป็นรายเดือนมาซื้อ”

“ใช่ เก็บตั้งหลายเดือน นันท์คงไม่รู้หรอกลูกว่าสมัยนั้น จานชามลายดอกไม้ขอบทองครบชุดแบบนี้หาซื้อยากแค่ไหน แม่จำได้ว่าตอนนั้นแม่ตามพ่อของนันท์ไปรับราชการในจังหวัดแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีแม่ค้าที่รับสินค้าจากทางมาเลเซียมาขาย วันหนึ่งแม่ไปซื้อของร้านแก เห็นชุดถ้วยชามกระเบื้องแบบนี้ในตู้โชว์ของแกก็นึกชอบ ตั้งใจว่าจะหามาไว้เผื่อพ่อมีแขกมารับประทานอาหารที่บ้าน จะได้มีเครื่องกระเบื้องดีๆ ไว้รับแขกพ่อเขาจะได้ไม่ขายหน้า พอถามราคาก็รู้ว่าแพงหูฉี่ แม่ค้าแกว่าเป็นของที่ได้มาจากบ้านฝรั่งที่ปีนัง มีของครบบ้าง ไม่ครบบ้าง แต่ชุดที่โชว์นี้มีครบตั้งแต่จานข้าว จานกับ ชามแกง ชามซุป โถใส่ข้าว จนไปถึงถ้วยแบ่งและถ้วยของหวาน แกสังเกตว่าแม่อยากได้ ก็บอกว่าให้แม่เอาของมาก่อนแล้วก็ค่อยผ่อนจ่ายเป็นรายเดือนก็ได้ แม่ไม่ชอบเป็นหนี้ใคร แต่ด้วยความอยากได้จริงๆ จึงเอาเงินส่วนตัวจ่ายมัดจำเอาไว้ก่อน แล้วบอกว่าจะมาจ่ายเงินและรับของในสามเดือน ขอว่าอย่าเพิ่งขายให้ใคร แต่ถ้าในสามเดือนแล้วแม่ยังไม่มาเอาก็ให้ริบเงินมัดจำนี้ไว้แล้วขายคนอื่นไปได้เลย” ฉันเล่าให้ลูกฟัง

“แบบนี้ใช่ไหมคะ แม่ถึงเสียดายหากนันท์จะทิ้ง”

ฉันพยักหน้า “สำหรับแม่มันไม่ใช่แค่ถ้วยชาม แต่คือกล่องเก็บความทรงจำของแม่”

“พ่อก็บอกนันท์แบบนั้น แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ตอนนี้พ่อเอากระดาษฟองน้ำห่อแล้วเก็บใส่ลังไว้อย่างดีเลยค่ะ”

ฉันดีใจที่ลูกเข้าใจว่าทำไมฉันจึงห่วงสิ่งของประดามี และไม่ยอมให้ทิ้ง

ยายนันท์พาฉันมาดูห้องพัก พี่ติจัดการเก็บกวาดห้องชั้นล่างที่เคยเป็นห้องพักส่วนตัวของธารีมาระยะหนึ่ง แล้วให้ช่างทุบผนังส่วนประตูให้ยาวออกมาถึงด้านนอกในส่วนที่เคยใช้วางเตียงพักฟื้นของฉัน ช่างใช้ผนังสำเร็จรูปกั้นเป็นฝาห้อง ทำให้ห้องที่เดิมคับแคบนั้นกว้างขึ้นและเป็นสัดส่วน ผนังทุกด้านกรุกระดาษวอลเปเปอร์สีครีมลายกุหลาบสีชมพูช่อน้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มดูสบายตา ผนังส่วนเดิมก็ถูกทะลุเพิ่มเป็นหน้าต่างบานยาวเพิ่มแสงที่จะส่องเข้ามาในช่วงเช้า แต่ที่ทำให้ฉันใจสั่นด้วยความยินดีคือผ้าม่าน ซึ่งนอกจากชั้นนอกที่สั่งตัดใหม่ให้ลายเข้ากับผนังห้องแล้ว พี่ติยังให้ช่างทำราวแขวนผ้าม่านกรองแสง ซึ่งเป็นงานฝีมือที่ฉันถักเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่แต่งงานกันใหม่ๆ

“พ่อไปค้นเจอมาค่ะ…” ลูกรีบรายงานเหมือนรู้ว่าฉันกำลังสนใจอะไร “พ่อเห็นปุ๊บก็จำได้ปั๊บว่าเป็นฝีมือแม่ ของยังดีอยู่มาก พ่อเลยรีบส่งซักแห้งแล้วสั่งให้ช่างมาแขวนเป็นม่านกรองแสงอีกชั้นหนึ่ง”

ทุกอย่างดูเข้ากันดี บรรยากาศของห้องทำให้ฉันดูสดชื่นขึ้น คงจริงอย่างพี่ติว่า หากห้องดูโปร่งและสะอาดน่าอยู่จะทำให้จิตใจแช่มชื่นขึ้น และเมื่อจิตใจแช่มชื่นขึ้น สุขภาพกายก็น่าจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น

“พ่อสั่งติดแอร์ใหม่ให้ด้วย ตรงนั้นวางเครื่องฟอกอากาศเพิ่ม ส่วนห้องน้ำด้านล่างพ่อก็ให้ช่างติดราวพยุงตัวไว้ทั้งที่โถสุขภัณฑ์และส่วนอาบน้ำด้วยค่ะ” ยายนันท์รายงาน

“โถ…นันท์สิ้นเปลืองกับแม่แท้ๆ”

“ไม่เลยค่ะ ศาตนันท์คนนี้ไม่ได้ควักสักบาท ทั้งหมดนี้คือผลงานของคุณศานติล้วนๆ ค่ะ”

ฉันนิ่งคิดก่อนจะบอกลูกว่า “นั่นยิ่งทำให้แม่เกรงใจ นันท์ก็รู้ว่าพ่อเกษียณแล้ว ลำพังเงินเดือนตอนทำงานได้ก็ส่งเสียพวกเรามาตลอด เงินเก็บคงมีน้อยเต็มที แล้วนี่ก็เหลือแต่บำนาญใช้เป็นเดือนๆ มาสิ้นเปลืองอย่างนี้พ่อคงลำบากไม่น้อย”

“แม่ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ พ่อบอกว่า ความสุขของลูกเมียคือความสุขของพ่อ ถ้าแม่ของนันท์มีความสุขอยู่สบาย พ่อก็มีความสุขไปด้วย…เห็นพ่อใช้เงินจัดการเรื่องบ้านแบบไม่คิดมากแบบนี้ นันท์แทบอยากจะให้พ่อบอกกับนันท์ว่า ‘นันท์ไม่ต้องทำงานแล้วนะลูก ความจริงพ่อคือมหาเศรษฐี ที่พ่อปล่อยให้ลูกต้องใช้ชีวิตลำบาก ก็เพราะอยากฝึกลูกให้รู้จักรสชาติของชีวิต’…”

ฉันตีแขนลูกเบาๆ อย่างเอ็นดู แต่คำพูดของพี่ติที่ผ่านปากของลูกว่า ‘ความสุขของลูกเมียคือความสุขของพ่อ’ ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้น

 

เสียงกุกกักดังจากห้องครัวตั้งแต่ตีห้าครึ่งของวันใหม่

‘คงเป็นยายนันท์’ ฉันบอกตัวเองเช่นนั้น ก่อนจะขอนอนต่ออีกสักครู่ จนหกโมงครึ่งจึงลุกจากที่นอนเปิดประตูห้องออกมาเพื่อที่จะล้างหน้าล้างตา

ที่โต๊ะรับประทานอาหาร ฉันเห็นยายนันท์กำลังกินมื้อเช้าอย่างเอร็ดอร่อย “แม่ตื่นแล้วหรือคะ มาค่ะล้างหน้าล้างตาแล้วมากินข้าวเช้ากัน แม่มียาก่อนอาหารหนึ่งเม็ด และหลังอาหารมื้อเช้าอีกสามเม็ดนะคะ…” พูดกับฉันเสร็จยายนันท์ก็หันหลังไปทางห้องครัวแล้วพูดว่า “พ่อขาแม่ตื่นแล้วค่ะ”

ฉันตาตื่น ตายแล้วพี่ติมาถึงแล้วหรือนี่ ฉันรีบเดินเข้าห้องน้ำ เพราะไม่อยากให้พี่ติเห็นสภาพของฉันที่เพิ่งตื่นนอน ฉันล้างหน้าล้างตาก่อนจะสางผมแล้วมัดเป็นหางม้าไว้ที่ด้านหลัง แล้วทาแป้งเด็กบางๆ ถึงจะกล้าออกจากห้องน้ำ

เมื่อพี่ติเห็นฉันก็ทักทายว่า “หลับสบายดีไหมกุน”

ฉันพยักหน้ารับ พี่ติเรียกให้ฉันมานั่งที่โต๊ะกินข้าว แล้วเอาแก้วใส่ยาและน้ำมาให้

“กินยาก่อนนะ อีกสักยี่สิบนาที ค่อยกินอาหารเช้า วันนี้พี่ทำโจ๊กไข่ขาวไว้ให้”

ยายนันท์อิ่มจากมื้อเช้าแล้ว และกำลังละเลียดกาแฟอย่างอารมณ์ดี ฉันจึงถามลูกว่า

“ยังไม่ไปทำงานอีกหรือวันนี้”

“อีกห้านาทีจะออกแล้วคะ” พูดแล้วลูกก็กระดกกาแฟเข้าปากรวดเดี๋ยวจนหมด แล้วเดินเข้าไปในครัวแล้วพูดว่า “นันท์ไม่ได้กินข้าวเช้าอร่อยๆ อย่างนี้มานานแล้ว ขอบคุณพ่อมาก นันท์ไปทำงานแล้ว ฝากพ่อดูแลแม่ให้ด้วยนะคะ” แล้วลูกก็เดินมาลาฉันไปทำงาน “อย่าดื้อนะแม่ นันท์ไปทำงานก่อนค่ะ”

ลูกออกไปได้สักครู่ พี่ติก็นำชามโจ๊กมาเสิร์ฟตรงหน้าฉัน “โจ๊กไข่ขาว มื้อเช้าทานโปรตีนมากหน่อยจะได้ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ อาจจะจืดไปนิดพี่อนุญาตให้เติมได้แต่พริกไทย ห้ามเติมซอสปรุงรสเพิ่มเด็ดขาด”

ฉันพยักหน้ารับ ฉันตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่ก่อนออกจากโรงพยาบาลว่าจะดูแลตัวเองให้ดี เคร่งครัดทุกคำที่หมอสั่ง ฉันจะต้องกลับมาแข็งแรงเพื่อลูกๆ และหลานที่ฉันรักให้ได้

คำแรกที่โจ๊กไข่ขาวฝีมือพี่ติเข้าปาก รสชาติมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด พี่ติน่าจะใช้ซอสปรุงรสที่โซเดียมต่ำ ทำให้พอได้รสเค็มปะแล่ม ผสมกับกับความหอมของขิงซอยละเอียดและความหอมและเผ็ดของพริกไทย ทำให้โจ๊กไข่ขาวชามนั้นอร่อยพอสมควร

“อดทนกินไปสักพักนะกุน ประมาณสิบกว่าวันพอลิ้นเราปรับสภาพได้ จากนี้ไปกุนจะชินการกินอาหารที่ปรุงรสน้อยๆ ได้”

ฉันพยักหน้ารับ ก่อนก้มหน้าก้มตากินจนหมดชาม แล้วพี่ติก็ยกแก้วน้ำส้มคั้นแก้วเล็กๆ แก้วหนึ่งมาเสิร์ฟต่อ

“กุนขอกาแฟด้วยได้ไหมคะ” ฉันร้องขอ

“จริงๆ หมอก็ไม่ห้ามนะครับ แต่พี่อยากคุมความดันของกุนให้เป็นปกติก่อน ฉะนั้นช่วงนี้พี่ขอให้งดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนก่อนนะครับ”

ฉันทำหน้าม่อย พี่ติคงสงสารจึงพูดปลอบว่า “เช้านี้ดื่มน้ำส้มคั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวสายๆ ค่อยดื่มกาแฟ แต่ต้องเป็นกาแฟดำไม่ใส่ครีมเท่านั้นนะ”

ฉันยิ้มอย่างเริงร่า ใครจะไปรู้ล่ะว่า พี่ติเข้าไปในครัวโทรศัพท์สั่งให้คนไปซื้อกาแฟสำเร็จรูปที่ไม่มีกาเฟอีนมาส่ง และสายๆ ของวันนั้น ฉันก็ได้ดื่มกาแฟดำที่ไม่มีคาเฟอีน เอาเถอะอย่างน้อยๆ ก็ยังได้กลิ่นหอมๆ ของกาแฟแก้อยากไปได้

 



Don`t copy text!