ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 14 : ผู้บริจาคน้ำเชื้อ

ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 14 : ผู้บริจาคน้ำเชื้อ

โดย : นวาภัส

Loading

ลูกไม้เกี่ยวรัก โดย นวาภัส นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ (เล็กๆ) เรื่องราวของหญิงสาวสุดแกร่งที่ชีวิตนี้ขอมีลูก โดยไม่ต้องมีสามี แล้วใครเล่าจะเข้าใจเธอ พบกับความอลหม่านของสองแม่ลูกคู่ป่วนใน “ลูกไม้เกี่ยวรัก” ได้ในเพจอ่านเอา และ เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

อชิระตัดสินใจทันทีว่าเขาต้องรู้ความจริงเรื่องพ่อของโอโซนจากปากปัณฑารีย์ให้ได้ เพราะที่ผ่านมาเขาฟังจากคนอื่นทั้งหมด ทำให้ได้ข้อมูลที่ขัดแย้งกันมาตลอด วันนี้ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไปเคาะประตูห้องทำงานของเธอ ในช่วงเวลาที่ทุกคนออกไปพักเที่ยงกันหมดแล้ว

“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าหาเพื่อนกินข้าว” หญิงสาวเอ่ยทักทายเมื่อเห็นว่าเป็นหนุ่มคนสนิท

“ผมมีเรื่องอยากจะถามปันครับ” เขามีสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเธอ

“มีอะไรเหรอ” หญิงสาวแปลกใจกับท่าทางที่ดูไม่เป็นธรรมชาติของอชิระ ปกติเขาจะเป็นคนร่าเริง มั่นใจในตัวเอง พูดจาฉะฉาน แต่ตอนนี้เขาดูมีความกังวล ไม่มั่นใจอยู่ในน้ำเสียงและท่าทาง

“คือ ผมอยากรู้เรื่อง…พ่อของโอโซนน่ะครับ เพราะผมเองก็ไม่เคยถามเรื่องนี้จากปากของคุณเลย” เขาอ้ำอึ้งไม่แน่ใจ

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากรู้ขึ้นมาล่ะคะ” เธอขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย อะไรที่ทำให้เขาอยากรู้เรื่องของเธอ จนกล้าเข้ามาถามด้วยตัวเอง

“ผมเคยได้ยินว่าโอโซนเกิดจากการผสมเทียมจากน้ำเชื้อผู้บริจาค จริงหรือเปล่าครับ” เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถามด้วยการถามคำถามที่เขาอยากรู้

ปัณฑารีย์ยิ้มน้อยๆ หยิบรูปของโอโซนที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาดู ใบหน้าเล็กป้อมที่เปื้อนรอยยิ้มสดใส ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ

“ปันก็เคยบอกทุกคนไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็อคติปิดหูปิดตา และคิดไปเองว่าปันโกหกเพราะอับอายที่ท้องไม่มีพ่อ” แม้ริมฝีปากจะพยายามยิ้มสดใส แต่แววตาเศร้าจนปิดไม่มิด

“แสดงว่าเป็นเรื่องจริง ปันจะโกรธมั้ยถ้าผมอยากรู้ว่าปันไปทำที่โรงพยาบาลไหนมา” ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะมุ่งสู่คำถามสำคัญ เพราะนั่นคือกุญแจที่อาจทำให้ความสงสัยของเขาได้รับการคลี่คลาย

ปัณฑารีย์ประหลาดใจ ไม่เคยมีใครถามคำถามนี้กับเธอมาก่อน นอกจากคนที่อยากมีลูกด้วยวิธีการเหมือนกัน จะได้ศึกษาหาข้อมูลสำหรับตัวเองบ้าง แต่หญิงสาวก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบัง เพราะเป็นแค่ข้อมูลทั่วๆ ไปที่หาได้ไม่ยาก เธอจึงบอกชื่อโรงพยาบาลที่เธอใช้บริการในสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งที่เธอคิดว่าเป็นข้อมูลปกติ กลับทำให้ชายหนุ่มชะงักนิ่ง ไม่พูดอะไรอีกเลย นอกจากเดินตัวแข็งหน้าเครียดออกจากห้องของเธอไป

เมื่อกลับมาถึงบ้าน อชิระตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่ได้คุยกับปัณฑารีย์ให้พี่ชายฟัง อคิราห์ตกตะลึง สมองของเขาขาวโพลนว่างเปล่า เพราะสิ่งที่เขาได้ฟังและสิ่งที่น้องชายกำลังคิด มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นยากมากอาจจะเป็นหนึ่งในล้านเลยก็ว่าได้

“นายกำลังคิดว่า ปันอาจได้น้ำเชื้อของเราคนใดคนหนึ่งไปอย่างงั้นเหรอ” เขาอ้อมแอ้มถามออกมา หัวใจสั่นรัว รู้สึกถึงความกลัวแปลกๆ

“เป็นไปได้นะครับ เพราะที่นั่นก็เป็นโรงพยาบาลที่เราบริจาคน้ำเชื้อไว้” น้องชายสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน

ตอนที่อคิราห์ศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจที่สหรัฐอเมริกา อาจารย์ได้ขอให้เขาช่วยบริจาคน้ำเชื้อให้กับโรงพยาบาล เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ครบถ้วน ทั้งรูปร่างหน้าตา ความสามารถ ระดับสติปัญญาที่สูง สุขภาพกายและจิตที่ดี อคิราห์ยินยอมบริจาคเพราะอยากช่วยเหลือคนที่มีลูกยาก โดยมีข้อกำหนดระบุชัดเจนว่าน้ำเชื้อของเขาจะถูกนำไปใช้ทางการแพทย์และให้กำเนิดบุคคลไม่เกิน 5 คนเท่านั้น เมื่ออชิระที่เรียนอยู่รัฐเดียวกันรู้เข้า ก็นึกสนุกอาสาบริจาคน้ำเชื้อเพื่อการแพทย์ในโรงพยาบาลเดียวกันกับพี่ชายบ้าง โดยใช้ข้อกำหนดเดียวกัน ใครจะคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำในวันนั้น อาจจะกลายมาเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ในวันนี้ แม้จะหนึ่งในหลายล้านก็ตาม

“มันจะเป็นไปได้ยังไง” อคิราห์พึมพำเบาๆ สมองมึนตื้อ จะเป็นไปได้หรือที่โชคชะตาจะเล่นตลกกับพวกเขาขนาดนั้น

สองพี่น้องพากันเงียบงัน ต่างตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง

ปัณฑารีย์ในชุดราตรียาวสีน้ำเงินเข้ม ด้านบนเป็นเสื้อแขนสั้นผ้ากำมะหยี่ปาดไหล่โชว์ผิวขาวผ่อง กระโปรงผ้าแก้วไล่โทนสีน้ำเงินเข้มมาอ่อน บนผืนผ้าระยิบระยับไปด้วยดาวดวงเล็กๆ สีเงิน ทั่วทั้งร่างบางสวยของหญิงสาวไร้เครื่องประดับแต่กลับดูสง่างาม ปัณฑารีย์เดินเข้ามาภายในงานกาล่าดินเนอร์ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อขอบคุณผู้สนับสนุนองค์กรสิ่งแวดล้อมที่เธอได้รับการเสนอชื่อให้ชิงตำแหน่งที่ปรึกษา

หญิงสาวเดินตามเจ้าหน้าที่ไปที่โต๊ะวีไอพีที่มีตีรณานั่งอยู่ก่อนแล้ว ปัณฑารีย์ยิ้มแย้มทักทายทุกคนตามมารยาท

“ชุดสวยนะคะ” ตีรณายิ้มหวาน แต่แววตาแฝงความชิงชังไว้ลึกๆ

“ขอบคุณค่ะ คุณเองก็สวยมาก ชุดนี้เป็นแบรนด์ที่กำลังดังเลยนี่คะ เห็นว่าแต่ละดีไซน์ทำมาเพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น” เป็นคำชมที่ออกมาจากใจ เพราะชุดราตรีสีแดงเพลิงที่ตีรณาสวมใส่อยู่ เธอจำได้ว่าเป็นของห้องเสื้อชื่อดังระดับโลก นอกจากราคาแพงลิ่วแล้ว ยังมีจำนวนน้อยมาก ผู้สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ต้องระดับ VVIP เท่านั้น

“ค่ะ ของบางอย่างไม่ใช่มีเงินอย่างเดียวก็ซื้อได้ ต้องเป็นคนที่พิเศษเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับของที่พิเศษเหมือนกัน” ตีรณาเน้นทุกถ้อยคำเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามตระหนักว่าเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ควรมาเทียบชั้นกับเธอ

ปัณฑารีย์ยิ้มอย่างมีมารยาท เธอไม่โง่จนฟังไม่ออกถึงสารที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ตีรณาไม่ได้หมายความเพียงชุดหรูที่เธอสวมใส่เท่านั้น แต่ยังหมายถึงตำแหน่งอันทรงเกียรติและคู่หมั้นไฮโซของเธอด้วย เป็นการปรามให้ปัณฑารีย์รู้ว่าอย่าคิดเสนอหน้ามาเป็นคู่แข่งของเธอ

งานค่ำคืนนั้นผ่านไปด้วยดี หญิงสาวทั้งสองคนถูกเชิญขึ้นเวทีเพื่อแนะนำตัวว่าเป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งที่ปรึกษาขององค์กร ทั้งคู่ได้รับการชื่นชมจากบุคคลที่อยู่ในงาน ทั้งความรู้ความสามารถและหน้าตาที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หลายคนคาดเดากันไปว่าใครจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แต่เสียงส่วนใหญ่มุ่งไปที่ตีรณา เห็นพ้องต้องกันว่ามีภาษีดีกว่าเพราะเป็นถึงลูกสาวของนักการเมืองใหญ่ ปัณฑารีย์ได้ยินก็ได้แต่หดหู่ใจ ยุคสมัยแม้จะผ่านมาเนิ่นนานเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดของคนได้ ผู้คนส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับนามสกุลมากกว่าที่จะชื่นชมความทุ่มเท ความพยายามจนได้มาซึ่งความสำเร็จ

“อีกไม่กี่วันคุณซันก็จะหมดหน้าที่แล้ว คุณจะเอายังไงต่อคะ จะหาพ่อคนใหม่ให้ลูก หรือจะหยุดแล้วพูดความจริงกับลูกดีคะ” ปัณฑารีย์ตกใจเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเจอคู่แข่งกอดอกยิงคำถามจี้ใจโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

“ขอล้างมือแป๊บนะคะ” หญิงสาวเดินมาล้างมือข้างๆ คนถาม แต่แทนที่จะใช้กระดาษเช็ดมือที่มีให้ ปัณฑารีย์กลับไล่น้ำออกด้วยการสะบัดมืออย่างแรง จนกระเด็นไปถูกคนข้างๆ จนต้องถอยหลบ

“อะไรของคุณเนี่ย ไม่มีมารยาท” ตีรณาโกรธ ดึงกระดาษมาซับตามเนื้อตัว

“ขอโทษทีค่ะ พอดีฉันชินกับอะไรที่มันง่ายๆ ไม่พิธีรีตองค่ะ” สาวแสบแกล้งตีหน้าซื่อ

“ชินกับอะไรง่ายๆ แบบนี้นี่เอง ถึงท้องไม่มีพ่อ” สาวไฮโซได้ช่อง ตอกกลับจนอีกฝ่ายหน้าหงาย

ปัณฑารีย์โกรธจนควันออกหูที่ถูกดูหมิ่นอย่างไม่เป็นความจริง แต่ต้องเก็บอาการไว้

“ฉันเตือนไว้ก่อนนะ ว่าถ้าอยากหาพ่อให้ลูกก็ไปหาที่อื่น ไม่ใช่มักง่ายมาคว้าคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว และอย่าคิดเล่นสกปรกเอาลูกมาเป็นเครื่องมือเด็ดขาด” ตีรณาเองก็โกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ตอนนี้เธอไม่สนว่าใครจะมองว่าไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ เธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่หวงแหนสิ่งที่เป็นของเธอ ถ้าใครคิดมาแย่งเอาไป ก็จำเป็นต้องลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเอง

“คุณกำลังเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วนะคะ ฉันไม่เคยคิดจะแย่งชิงคู่หมั้นของคุณเลย” ปัณฑารีย์ตกใจที่รู้ว่าตีรณาเข้าใจผิดเรื่องเธอกับอคิราห์ ถึงแม้ว่าในใจของเธอจะยังไม่สามารถลืมเขาได้ แต่ก็ไม่เคยคิดเป็นมือที่สามของใครแน่นอน

“ฉันยังไม่ได้พูดถึงคุณซันเลยนะ เธอร้อนตัวไปเอง หรือว่าในใจมันคิดเลยพูดแก้ตัวออกมาตามสันดาน” สาวสวยยิ้มหยันเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลืมตัวเผยความในใจออกมา

“ฉันยืนยันนะคะ ว่าไม่เคยคิดจะแย่งชิงของของคุณ ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม” ปัณฑารีย์เหนื่อยใจที่ต้องถกเถียงกับคนที่จ้องจะเอาชนะ เธอรู้ว่าแม้จะอธิบายอะไรออกไป ตอนนี้ตีรณาก็คงไม่ฟังแถมยังตีความไปอีกแบบ หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินหนี เพื่อยุติเหตุการณ์ที่อาจจะเลวร้ายลงได้

ตีรณามองตามหลังอีกฝ่ายด้วยความคับแค้นใจ ลางสังหรณ์ของผู้หญิงไม่เคยผิด สายตาที่ทั้งคู่มองกัน ไม่ใช่สายตาของคนที่เคยรู้จัก แต่เป็นสายตาห่วงหาอาวรณ์ที่คนรักมีให้กัน และตอนนี้ยังมีบางอย่างที่อาจเป็นสายสัมพันธ์เหนียวแน่นที่ทำให้ทั้งสองคนต้องผูกพันกันไปตลอดชีวิต ตีรณาหวาดหวั่นจนไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ เธอต้องทำอะไรสักอย่าง หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ รวบรวมกำลังใจที่เหลืออยู่น้อยนิด เดินออกไปเผชิญโลกความจริงด้านนอก โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเธอถกเถียงกัน มีใครบางคนในห้องนั้นแอบฟังอยู่ด้วย

วันต่อมาเรื่องที่ปัณฑารีย์ท้องไม่มีพ่อและคิดจับอคิราห์เป็นพ่อของลูก ถูกส่งต่อกันในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว สื่อออนไลน์บางสำนักสนุกสนานกับการเล่นตัวย่อ ให้คนอ่านมาทายชื่อ บางสื่อปล่อยคลิปเสียง แม้จะมีการแปลงเสียงแล้วแต่หลายคนในแวดวงก็รู้ได้ทันทีว่าสองสาวที่กำลังโต้กันในคลิปเป็นใคร ผู้คนจำนวนมากแสดงความคิดเห็นที่รุนแรงหยาบคาย ส่วนใหญ่มุ่งเป้าโจมตีปัณฑารีย์ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นมือที่สามของคนอื่น #ดอกเตอร์ท้องไม่มีพ่อ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งทันที

ขวัญสุดาได้โอกาสที่จะกำจัดศัตรูหมายเลข 1 จึงรีบกระจายข่าวนี้ออกไปจนทั่วมหาวิทยาลัย เข้าไปแสดงความคิดเห็นโดยใช้ชื่อบัญชีอื่น อ้างว่าเป็นเพื่อนร่วมงานและรู้ความจริงทุกอย่างของปัณฑารีย์ ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ทุกคนเข้าใจ ปัณฑารีย์เป็นหญิงใจแตกท้องไม่มีพ่อจริง ใส่ความว่าที่ได้ทุนไปเรียนต่อเพราะใช้วิธีการสกปรกแย่งทุนของคนอื่น แล้วตอนนี้ยังคิดแย่งคนรักของตีรณา ทำให้ผู้คนในโลกโซเชียลที่กำลังเมามัน เข้าไประดมกดไลก์ กดแชร์ รีทวิต กันกระหน่ำ

ปัณฑารีย์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ทันที เพราะกระทบต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย ถึงแม้เธอจะสามารถตอบคำถามของกรรมการได้หมด และยืนยันว่าเธอไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาในโลกออนไลน์ แต่เธอก็ไม่มีหลักฐานใดๆ มาพิสูจน์ได้ นอกจากเรื่องการเกิดของลูกชายที่มีหลักฐานยืนยัน ทางมหาวิทยาลัยต้องการให้เธอชี้แจงกับสาธารณชนในพื้นที่ออนไลน์ เรื่องสาเหตุความเจ็บป่วยที่เธอต้องทำการผสมเทียมเพื่อให้กำเนิดบุตร เพื่อแก้ความเข้าใจผิดต่อผู้คน แต่หญิงสาวขอให้ผ่านพ้นวันเกิดลูกชายไปก่อน เพราะอยากให้ลูกมีความสุขที่สุด ก่อนที่จะต้องมารับรู้เรื่องราวที่เด็กน้อยอาจจะรับไม่ได้เลย ทางมหาวิทยาลัยตกลงตามที่เธอร้องขอ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นคงต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะถ้าออกแถลงใดๆ จะถูกมองว่าเป็นการแก้ตัว อาจทำให้เสียชื่อเสียงทั้งตัวปัณฑารีย์เองและทางมหาวิทยาลัยด้วย

ระหว่างที่เครียดกับการคิดหาทางแก้ปัญหา ทางโรงเรียนได้โทร.มาบอกว่าโอโซนมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อน และผู้ปกครองอีกฝ่ายต้องการแจ้งความเอาเรื่อง ปัณฑารีย์ตกใจมากรีบเดินทางไปที่โรงเรียนทันที ระหว่างทางเจอกับอชิระ เมื่อชายหนุ่มได้รู้เรื่องราวก็ขอตามไปด้วย เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง หญิงสาวไม่ปฏิเสธ เพราะตอนนี้ถ้ามีเพื่อนสักคนคอยอยู่เคียงข้าง เธอคงรู้สึกดีกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายสองเรื่องพร้อมกันเพียงลำพัง

เมื่อไปถึง พ่อแม่ของเด็กอีกคนกำลังโวยวายใส่อคิราห์ที่นั่งหน้านิ่งรับฟังโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่ครูใหญ่พยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ ปัณฑารีย์กับอชิระแปลกใจที่เห็นอคิราห์นั่งอยู่ตรงนั้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ” หญิงสาวกวาดตามองทุกคนอย่างงุนงง

“ลูกของคุณน่ะสิ มาชกลูกฉันจนฟันหลุด สอนลูกยังไงให้ใช้ความรุนแรงรังแกคนอื่น” หญิงสาวหน้าหมวยที่แต่งหน้าจัดจ้านโวยวายใส่ทันทีที่ถามจบ

“จริงเหรอคะ” เธอหันไปถามครูรัตน์ที่กำลังหนักใจอยู่ข้างครูใหญ่

“จริงค่ะ แต่โอโซนบอกว่า นายท่านหาเรื่องก่อน”

“ไม่จริง นายท่านลูกฉันเป็นเด็กดี ไม่เคยหาเรื่องใคร ฉันสอนลูกอย่างดี ไอ้เด็กนั่นมันโกหก พ่อแม่ก็ดูมีความรู้ แต่ไม่มีปัญญาอบรมลูก อีกหน่อยก็เป็นปัญหาสังคม” แม่ของเด็กฝ่ายตรงข้ามออกท่าทางไม่พอใจ ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองมาที่ปัณฑารีย์กับอคิราห์

ปัณฑารีย์ลุกขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว ที่ยายแม่หน้าเหวี่ยงพูดจาให้ร้ายลูกชายของเธอ แถมยังทำตัวเป็นหมอดูคาดเดาอนาคตมั่วๆ กะว่างานนี้ต้องฉะกันสักตั้ง แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก มือใหญ่ของอคิราห์ฉุดเธอให้นั่งลง หญิงสาวมองใบหน้าเย็นชาแต่แววตาโกรธจัดของชายหนุ่ม

“ผมว่าแทนที่จะมากล่าวหาลูกคนอื่นมั่วๆ แล้วทำตัวเป็นพ่อแม่ที่แสนดี ผมว่าเรียกเด็กๆ มาคุยกันดีกว่า แล้วหาหลักฐานมาด้วย โรงเรียนนี้คงมีกล้องวงจรปิดใช่มั้ยครับ” เขาหันไปถามครูใหญ่หลังจากแดกดันอีกฝ่ายจนสะอึก

“มีครับ”

ครูใหญ่สั่งให้ครูรัตน์ไปพาเด็กสองคนมาในห้อง และให้ครูอีกคนไปเอาไฟล์จากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุมา ไม่นานครูรัตน์ก็พาเด็กน้อยทั้งสองคนเข้ามาในห้อง ปัณฑารีย์ตกใจที่เห็นรอยข่วนบนแก้มลูกชาย รีบเข้าไปกอด โอโซนมีทีท่าสงบนิ่งไม่หวั่นไหว ยิ้มให้แม่เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นอะไร ส่วนเด็กอีกคนฟันหน้าหลุดไปหนึ่งซี่ เสื้อนักเรียนมีรอยเลือดเล็กๆ ที่เกิดจากฟันหลุด แม่ของเด็กแค่เห็นหน้าลูกก็ทำท่าจะร้องไห้ โวยวายชี้ให้ทุกคนดูว่าลูกตัวเองบาดเจ็บหนักแค่ไหน และยืนยันว่าจะแจ้งความดำเนินคดีกับโอโซนให้ได้ ครูใหญ่ถึงกับกุมขมับปวดหัว

“เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กๆ ที่ต้องมีทะเลาะกันบ้าง เราก็ต้องหาสาเหตุให้เจอ และสอนเขาว่าไม่ควรใช้กำลัง เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็กลับมาเล่นกันเหมือนเดิม เรื่องแจ้งความไม่จำเป็นหรอกครับ” ครูใหญ่พยายามอธิบายธรรมชาติของเด็กๆ ให้อีกฝ่ายฟัง แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ เมื่อคนเป็นแม่ยังทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายที่ลูกเลือดตกยางออก

ระหว่างรอภาพจากกล้องวงจรปิด ครูรัตน์พาบิ๊กบอมเข้ามาในห้อง ในฐานะพยานที่เห็นเหตุการณ์ และให้บิ๊กบอมช่วยเล่าเรื่องที่เห็นให้ทุกคนในห้องฟัง

“นายท่านแกล้งโอโซนก่อนคับ เขาเข้ามาผลักโอโซนล้มแล้วบอกว่าโอโซนเป็นเด็กไม่มีพ่อ โอโซนถูกพ่อทิ้งคับ ทีแรกโอโซนเดินหนี แต่นายท่านตะโกนด่าว่า โอโซนมีแม่ไม่ดี โอโซนก็เลยวิ่งไปชกนายท่านจนฟันหลุดคับ” บิ๊กบอมเล่าเป็นฉากๆ อย่างที่ตัวเองเห็น

“ไม่จริง ลูกฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น ฉันไม่เคยสอนให้ลูกบุลลีใคร แกไอ้อ้วน ไอ้เด็กโกหก” ปากก็บอกไม่เคยสอนให้ลูกให้ดูถูกใคร แต่ตัวเองกลับใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องด้วย จนครูใหญ่รู้สึกโกรธ

“พอแล้วครับคุณแม่ ห้ามเรียกเด็กของผมแบบนั้นเด็ดขาด สิ่งที่คุณแม่ทำอยู่นั่นแหละครับคือการบุลลี เป็นพฤติกรรมที่ผู้ใหญ่ไม่ควรใช้ต่อหน้าเด็กนะครับ” ครูใหญ่ที่มีใบหน้าใจดีตอนนี้โกรธจนหูแดง

“ไม่รู้ละ ถ้าไม่ให้ทางเราแจ้งความ ครูใหญ่ก็ต้องไล่ไอ้เด็กคนนี้ออก เพราะลูกฉันจะไม่อยู่ในโรงเรียนเดียวกับเด็กที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนแบบนี้ และฉันก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ไอ้อ้ว…เอ่อ น้องบิ๊กบอมพูดด้วยค่ะ สองคนนี้อยู่ห้องเดียวกันก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว” ถึงจะสะอึกที่ถูกครูใหญ่ต่อว่าเรื่องพฤติกรรมของตัวเอง แต่คนอย่างเธอจะไม่ยอมเสียหน้า ในเมื่อลูกสุดที่รักถูกรังแกจนเลือดตกยางออก เธอก็ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องไล่ออกอะไรเลยค่ะ เรามาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนดีกว่า ทั้งสองฝ่ายจะได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ครูรัตน์รีบเปิดภาพวงจรปิดในคอมพิวเตอร์ให้ทุกคนได้ดู

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในกล้องวงจรปิดเป็นไปอย่างที่บิ๊กบอมเล่าให้ฟัง นายท่านเดินเข้ามาหาเรื่องโอโซนขณะที่กำลังเล่นอยู่กับเพื่อนๆ โอโซนพยายามเดินหนี แต่เมื่อได้ยินนายท่านต่อว่าแม่ของตัวเอง จึงทนไม่ไหว เดินเข้าไปต่อยนายท่านจนฟันน้ำนมหลุด นายท่านใช้เล็บข่วนโอโซนกลับจนมีรอยเลือดซึมออกมา

ทุกคนที่เห็นภาพในกล้องวงจรปิดถึงกับถอนหายใจเฮือกด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ปัณฑารีย์สงสารลูกชายที่ถูกเพื่อนรังแก เธอมองลูกที่สีหน้าสลดเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อน

“ดูจากกล้องแล้ว ยังอยากให้ไล่ลูกของผมออกอีกหรือเปล่าครับ” อคิราห์จ้องหน้าพ่อแม่ของเด็กอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

“แล้วยังไงคะ ลูกคุณก็ต่อยลูกฉันอยู่ดี” สาวหน้าหมวยลุกขึ้นเกรี้ยวกราดใส่อคิราห์ จนสามีที่นั่งเงียบมาตลอดทนไม่ไหว ลุกขึ้นขอโทษทุกคน

“พอได้แล้วคุณ ก็เห็นอยู่ว่าลูกของเราไปรังแกเขาก่อน ยังจะมาแถอะไรอีก แบบนี้ไงลูกมันถึงแยกไม่ออกว่าอะไรดีหรือเลว ให้ท้ายกันจนเสียเด็ก” สามีตวาดใส่ภรรยาที่ยืนอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนในบ้านฉีกหน้าต่อหน้าคนอื่น

“คุณว่าฉันเหรอ”

“เออ ผมว่าคุณ ผมอายนะที่มีเมียแบบนี้ ผิดยังไม่ยอมรับผิด ไม่อายเด็กมันบ้างหรือไง” สามีรู้สึกอับอายที่ภรรยาไม่รู้สึกสำนึกตัว แต่กลับดื้อดึงที่จะเอาชนะ “ผมขอโทษทุกคนนะครับ ที่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตโดยใช่เหตุ โอโซนลุงขอโทษนะที่นายท่านรังแกหนู เดี๋ยวลุงจะกลับไปทำโทษเขาให้เอง”

“คุณลุงอย่าลงโทษนายท่านเลยนะคับ นายท่านคงไม่แกล้งโอโซนอีกแล้วละ แค่นี้นายท่านก็เจ็บแล้วคับ” แม้ตัวเองจะเจ็บปวดที่ถูกรังแก แต่ยังมีใจเป็นห่วงเพื่อนบ็็

พ่อของนายท่านน้ำตาซึมที่เด็กตัวนิดเดียวยังรู้จักการให้อภัย และเห็นอกเห็นใจคนอื่น ต่างกับภรรยาของตัวเองที่แม้จะอายุล่วงเลยมาถึงเลขสาม แต่ความคิดแทบไม่พัฒนาหรือเป็นเพราะจิตใจที่คับแคบกันแน่ เขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ รู้แต่ว่าหลังจากนี้เขาคงไม่ปล่อยให้ภรรยาทำหน้าที่ดูแลลูกเพียงคนเดียวอีกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าภรรยาจะปลูกฝังอะไรผิดๆ ให้กับลูกอีกหรือไม่

เรื่องราววุ่นวายก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ปัณฑารีย์เดินจูงมือโอโซนมาส่งที่ห้องเรียน ลูบแก้มนิ่มที่มีรอยข่วนเล็กๆ ด้วยความสงสารจับใจ

“เจ็บมั้ยลูก ต่อไปห้ามใช้กำลังนะครับ ต่อให้เราโกรธสักแค่ไหนก็ให้อดทน หรือไม่ก็เดินหนีไป เพราะถ้าเราเลือกใช้กำลังในการแก้ปัญหา ความวุ่นวายก็จะตามมาเหมือนกับวันนี้” หญิงสาวสอนลูกชาย ในขณะที่ชายหนุ่มสองพี่น้องยืนมองด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน

“แต่ถ้าเราถูกรังแกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราก็ต้องสู้กลับนะครับ อย่าให้ใครคิดว่าเราอ่อนแอจนคิดจะรังแกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเราเอาแต่ยอมก็จะถูกคนอื่นรังแกไปตลอดชีวิต” อคิราห์เห็นต่างกับสิ่งที่หญิงสาวสอนลูก สำหรับเขาแล้วถ้าโดนรังแกหรือเอาเปรียบ ก็ต้องสู้กลับ ไม่ปล่อยให้ถูกทำร้ายฝ่ายเดียว

“พี่ซันทำไมสอนโอโซนแบบนั้นล่ะคะ ปันไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กเกเรที่ใช้แต่กำลังในการแก้ปัญหา มีสมองก็ต้องใช้สมองสิคะ” หญิงสาวไม่พอใจกับคำสอนของชายหนุ่ม

“ฟังดีๆ พี่ไม่ได้ให้โอโซนใช้กำลังนะ พี่สอนให้ลูกของเราต่อสู้กับความไม่ถูกต้องต่างหาก ถ้าเอาแต่กลัวคนที่ทำผิด คนพวกนั้นก็จะได้ใจ ต่อไปลูกก็จะตกเป็นเหยื่ออันโอชะ ปันอยากให้เป็นแบบนั้นเหรอ” สองคนโต้เถียงกันหน้าเครียด

อชิระสะดุดใจกับคำว่าลูกของเราที่พี่ชายพูดออกมาอย่างคล่องปาก ทำให้เขาตะขิดตะขวงใจ หงุดหงิดอยากแก้ไขคำพูดนั้นของพี่ชายใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้าวิ่งฝ่าดงสงครามในตอนนี้

“โอโซนขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ทะเลาะกัน โอโซนจะไม่ต่อยใครอีกแล้ว พ่อกับแม่อย่าทะเลาะกันเลยนะคับ” จู่ๆ โอโซนก็ร้องไห้ เพราะเข้าใจว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อแม่ทะเลาะกัน ปัณฑารีย์กับอคิราห์ตกใจ หญิงสาวรีบเข้าไปกอดลูกปลอบใจ

“แม่ขอโทษนะครับ โอโซนอย่าร้องไห้นะ”

“พ่อกับแม่ไม่ได้ทะเลาะกันเพราะลูกนะครับ พ่อกับแม่แค่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันแค่นั้นเองครับ” ชายหนุ่มลูบหัวเจ้าตัวเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

“พ่อกับแม่เขาไม่ได้ทะเลาะกันหรอกครับ เขาแค่ฝึกโต้วาที หัวข้อ สอนให้ลูกถอยหรือสู้ดี เดี๋ยวถ้าสรุปได้แล้วว่าอะไรดีกว่า อาเดย์จะมาบอกนะครับ ตอนนี้เช็ดน้ำตาแล้วเข้าไปเรียนได้แล้ว เพื่อนๆ คิดถึงโอโซนแย่แล้วครับ” อชิระรู้สึกดีที่มีโอกาสได้พูดบ้าง ตั้งแต่มาถึงโรงเรียนเขาก็เป็นเหมือนส่วนเกินของครอบครัว ตอนนี้จึงต้องชิงพื้นที่คืนมาด้วยการพูดสรุปจบอย่างน่าประทับใจ

โอโซนพยักหน้าให้คนเป็นอา แล้วเช็ดน้ำตาป้อยๆ โบกมือให้ทุกคนก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องเรียน เสียงเพื่อนๆ ร้องเรียกชื่อของเขา ตามด้วยเสียงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงจากบรรดาเพื่อนตัวน้อยดังลอดออกมานอกห้อง ผู้ใหญ่ทั้งสามคนหันมายิ้มให้กันอย่างสบายใจ ที่เจ้าตัวเล็กของพวกเขามีเพื่อนๆ ที่น่ารักคอยห่วงใยและดูแลซึ่งกันและกัน

คืนนั้นโอโซนสารภาพกับอคิราห์ว่าที่ร้องไห้ตอนเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน เพราะกลัวว่าพ่อจะหนีเขาไปและไม่กลับมาอีก ชายหนุ่มสะเทือนใจ และไม่อาจให้สัญญาใดๆ กับเด็กชายได้ เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ต้องหายไปจากชีวิตของหนูน้อยจริงๆ เขาเริ่มสับสน ไม่แน่ใจว่าต้องการปล่อยมือจากแม่ลูกคู่นี้จริงหรือไม่ เมื่อเวลาของการจากลาใกล้เข้ามา หัวใจที่เคยเยือกเย็นกลับรุ่มร้อนจนบอกไม่ถูก เป็นความทรมานใจ ที่แม้แต่ศัลยแพทย์โรคหัวใจผู้เก่งกาจก็ไม่อาจรักษาได้

อคิราห์เดินเข้าแอบดูโอโซนในห้อง เด็กน้อยหลับไปแล้ว เขาจึงเดินไปปิดไฟหัวเตียง แต่สายตาเหลือบไปเห็นรูปถ่ายของเขากับปัณฑารีย์ในชุดนักศึกษาอยู่ในอุ้งมือน้อยๆ รอยยิ้มบางๆ ปรากฎบนใบหน้า ภาพความทรงจำในวันเก่าหวนกลับมาอีกครั้ง

ในช่วงเวลาของการเป็นนักศึกษาวัยใส หญิงสาวมักจะแอบเอาขนมของโปรดมาวางไว้ให้ที่โต๊ะนั่งประจำของเขา ทุกครั้งชายหนุ่มจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าขนมเหล่านั้นเป็นของใคร แต่ที่จริงเขาแอบมองทุกครั้งที่เธอทำแบบนั้น เมื่อถึงวันวาเลนไทน์ หัวใจกระดาษหลากสีหลายร้อยดวงที่บรรจงพับใส่ขวดโหล ถูกส่งมาให้โดยไม่ลงชื่อ แต่เขารู้ว่าเป็นของเธอเพราะบังเอิญเห็นกระดาษสีที่เหมือนกันเป๊ะหล่นมาจากกระเป๋าของหญิงสาว แม้แต่คูปองตามใจที่ปัณฑารีย์ทำให้ในวันเกิด เขาก็ใช้อย่างระมัดระวัง ทุกครั้งคือการวางแผนที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับเธอเพียงลำพัง วันที่เขาใช้คูปองเพื่อขอให้เธอไปอ่านหนังสือเป็นเพื่อนในห้องสมุด เพราะเพื่อนที่นัดไว้ติดธุระมาไม่ได้ อันที่จริงเขาไม่เคยนัดใครไว้เลย เป็นเพียงข้ออ้างที่จะได้อยู่กับหญิงสาวแค่สองคน ถึงแม้วันนั้นเธอเอาแต่หลับไม่ได้อ่านหนังสือสักเท่าไร แต่เขากลับมีความสุขที่ได้นั่งมองเธอหลับอยู่เคียงข้าง เขาจำภาพนั้นได้ดี ดวงหน้าสวยสดใสมีรอยยิ้มบางๆ เหมือนกำลังฝันดี เป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขจนอยากหยุดเวลานั้นเอาไว้

รอยยิ้มยามหลับของเจ้าตัวเล็กช่างเหมือนกับปัณฑารีย์ไม่มีผิด อคิราห์เข้าไปหอมแก้มโอโซนเบาๆ ก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง ชายหนุ่มหยิบกล่องใบหนึ่งที่ซุกซ่อนไว้ในห้องมาเปิดดู ในนั้นมีสิ่งของหลายอย่างที่เก็บเอาไว้เพื่อรำลึกถึงความหลังระหว่างเขากับเธอ ดอกกุหลาบแห้งที่ปัณฑารีย์ให้ไว้ในวันรับน้อง หนังสือข้อคิดดีๆ ที่เธอซื้อให้ในวันที่เขากำลังเศร้า ลูกอมรูปหัวใจที่ยื่นให้พร้อมรอยยิ้มเขินอาย การ์ดหลากหลายเทศกาลที่หญิงสาวตั้งใจทำขึ้นมาด้วยตัวเอง

เขาหยิบโหลใส่หัวใจกระดาษขึ้นมาดู แล้วอมยิ้มนึกถึงใบหน้าเล็กๆ ดวงตาสุกใสของหญิงสาว คูปองตามใจที่ยังเหลืออีกหนึ่งใบ ปัณฑารีย์บอกเองว่าคูปองนี้ไม่มีวันหมดอายุ อยากจะใช้เมื่อไหร่ก็ได้ เขาจึงเก็บคูปองใบสุดท้ายไว้อย่างดีรอวันที่จะนำออกมาใช้งาน

อคิราห์บรรจงวางทุกอย่างลงกล่องและเก็บไว้ที่เดิม ทุกอย่างที่อยู่ในกล่องล้วนเป็นความทรงจำแห่งความสุขที่ทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้งที่เปิดมันออกมา แต่เมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและอยู่ใกล้แค่เอื้อม หัวใจที่เคยเย็นชาจนแทบไร้ความรู้สึกกลับรู้สึกสับสนวุ่นวาย หรือเธอจะเป็นแดดอุ่นๆ ที่หลอมละลายน้ำแข็งในใจ เผยให้เห็นบาดแผลลึกในอดีตที่ไม่เคยลืมเลือน



Don`t copy text!