ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 7 : คุณอีกแล้วหรือ

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 7 : คุณอีกแล้วหรือ

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนุกสนานรื่นเริงอยู่ในงานเลี้ยงฉลองหมั้นของเธอ กรผกามารศรีก็แอบเดินหนีออกมาด้วยหัวใจที่เศร้าหมอง ดวงหน้าสวยงามของเธอหม่นเศร้า เพราะการหมั้นที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของเธอเลยสักนิด แต่เนื่องจากเหตุผลทางธุรกิจแล้ว ดอกฟ้าอย่างเธอไม่มีทางเลือกอื่นใด และขณะกำลังเดินลัดเลาะอยู่ในสวนดอกไม้นั้นเอง ใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้นก็บังเอิญเหลือบมาเห็นหล่อนเข้า เขาจงใจเดินตามหลังมาห่างๆ เพื่อสังเกตดูว่าหญิงสาวคนสวยกำลังจะทำอะไร

“อะแฮ่ม…” ชายหนุ่มกระแอมเสียงดัง จนหญิงสาวที่กำลังเหม่อลอยต้องสะดุ้งตกใจ

กรผกามารศรีหันกลับไปพบกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวขาวสะอาด ดวงหน้าคมสันกำลังจ้องมองหล่อนด้วยดวงตาสีเข้ม เขาอยู่ในชุดสูทหรูของคาลวินไคลน์

“ช่างบังเอิญจังนะครับ ที่เราได้พบกันอีกแล้ว” ทินพันธ์ทักทายหญิงสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เอ เป็นเจ้าของงานไม่ใช่หรือครับ แล้วหนีออกมาอยู่ที่นี่ทำไมคนเดียว”

“คุณอีกแล้วหรือ” ต่อให้ผู้ชายข้างหน้าแต่งกายอย่างไร ไม่มีวันที่กรผกามารศรีจะจำเขาไม่ได้ เสียงที่หล่อนถามเขาจึงเย็นชาดุจเดียวกับสายตาของเธอ “ฉันจะมาที่นี่คนเดียวทำไมก็เรื่องของฉัน คุณไม่เกี่ยว…ที่นี่เป็นบ้านของฉัน ฉันจะเดินไปตรงไหนก็ได้ ว่าแต่คุณเหอะ มาที่นี่ทำไมกัน”

“อ้าว ก็แล้วที่กำลังฉลองกันอยู่ในคฤหาสน์นั่น ก็งานหมั้นของคุณไม่ใช่หรือครับ” ทินพันธ์แกล้งทำเสียงเยาะหยัน

“ใช่” กรผกามารศรีจงใจกวาดสายตามองดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จงใจให้ผู้ชายตรงหน้ารู้สึกว่าหล่อนกำลังรังเกียจเขาเป็นอย่างยิ่ง

“ใครเชิญคุณมาไม่ทราบ งานนี้คุณพ่อคุณแม่ของฉันเชิญเฉพาะเศรษฐีผู้ดีเก่า พวกเศรษฐีใหม่ที่ร่ำรวยมาจากการขายข้าวสารอย่างคุณ ไม่สมควรจะได้รับเชิญให้มาในงานเลี้ยงอันทรงเกียรติของฉัน”

“โถ โถ โถ คุณหนูกรผกามารศรี” ทินพันธ์แกล้งอ้าปากกว้างๆ แล้วหัวเราะออกมาดังๆ เหมือนคนไม่มีมารยาท “จัดงานใหญ่ขนาดนี้ ถึงฝ่ายคุณจะไม่อยากเชิญผม แต่ฝ่ายคู่หมั้นของคุณเขาก็ต้องเชิญเศรษฐีอย่างผมมาอยู่แล้วเพราะอะไรรู้ไหมครับ”

กรผกามารศรีเชิดหน้าสูง ไม่ยอมตอบคำถามนั้น

ที่ไม่ตอบเพราะหล่อนกำลังอับอาย ทำไมจะไม่รู้ว่าคุณอนงค์นาถมารดาของอนึกผู้เป็นคู่หมั้นของเธอนั้น งกและเค็มเพียงใด

“เงินไงครับ” ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวสวยไม่ยอมตอบ เขาก็เลยตอบออกมาเสียเอง “เพราะอยากได้เงินช่วยไงครับ ลองดูสิ…” เขากวาดมือไปยังลานจอดรถที่มีรถราคาแพงจอดอยู่เต็มไปหมด “ลองตื่นขึ้นมาจากความฝัน แล้วมองดูว่ารถที่อยู่ในลานหน้าคฤหาสน์ของคุณนั่นน่ะ มีเศรษฐีเก่าสักกี่คนกัน เกินกว่าครึ่งล้วนเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่เหมือนอย่างผมทั้งนั้น เพราะว่าที่แม่สามีของคุณอยากได้เงินช่วยไงล่ะ เลิกดูถูกคนอื่นได้แล้วกรผกามารศรี”

“ปากดีนักนะ อย่าลำพองไปหน่อยเลยว่ามีเงิน เงินของคุณซื้อฉันไม่ได้หรอก” กรผกามารศรีทำสีหน้าดูถูก

“อ๋อ เหรอครับ” ทินพันธ์แกล้งขยับเข้าใกล้หญิงสาว

กรผกามารศรีถอยหลังหนีไปด้วยความรังเกียจ ด้วยความที่ใส่กระโปรงยาวและรองเท้าส้นแหลม จึงสะดุดเข้ากับก้อนหิน ก่อนที่ร่างบางระหงของหล่อนจะล้มลง ชายหนุ่มก็รีบจับเอวของหญิงสาวเอาไว้ได้ทันท่วงที

“ปล่อยฉันนะ ไอ้บ้า แกจะลวนลามฉันเหรอ” กรผกามารศรีรีบร้องโวยวายพร้อมกับเบี่ยงกายหนีจากวงแขนล่ำสันของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

“รังเกียจผมถึงขนาดนี้เลยหรือ กรผกามารศรี”

ดวงหน้าของทินพันธ์สลดไป เพราะสีหน้าและท่าทางของหญิงสาวตรงหน้านั้นแสดงความรังเกียจเขาโดยเปิดเผย ยิ่งกว่ารังเกียจไส้เดือนหรือตุ๊กแก

“ใช่ ออกไปให้พ้น”

กรผกามารศรีแค่นเสียงออกจากลำคอ รู้สึกขยะแขยงที่ต้องเข้าใกล้เศรษฐีใหม่อย่างชายหนุ่มตรงหน้า หล่อนรู้สึกว่าท่าทางของเขากักขฬะ หยาบคาย ไม่ได้รับการอบรม

“ใช่สิ คนอย่างคุณต้องคบกับผู้ดีด้วยกันเท่านั้น” ทินพันธ์ทำเสียงเยาะหยัน “อย่างอนึกคู่หมั้นของคุณไง แต่ผมจะบอกให้รู้นะว่าผู้ดีอย่างคุณอนงค์นาถน่ะมีแต่ตัว หนี้สินมีตั้งมากมาย พวกนั้นน่ะหวังจะมาเกาะกินเงินของคุณเท่านั้นละ”

“ดูถูกอนึกมากไปแล้วนะคุณทินพันธ์” หญิงสาวเหลืออด “คุณมันก็ดีแต่อิจฉาคนอื่นเท่านั้นละ”

“ก็เพราะคุณไม่เคยเปิดตาให้สว่างเลยไง ถึงได้โดนคนอื่นหลอกเอาแบบนี้” ทินพันธ์รู้สึกว่าถ้ากรผกามารศรีเป็นน้องสาว เขาจะจับหล่อนตีเสียให้เข็ดโทษฐานที่ดื้อและหัวรั้นไม่ฟังคำเตือนของคนอื่น “ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งประเทศว่าครอบครัวนี้เป็นยังไง มีแต่ตระกูลมรกตของคุณเท่านั้นละที่หูหนวกตาบอด รอให้หมดตัวก่อนก็แล้วกันถึงจะตาสว่าง”

กรผกามารศรีหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธ ชนิดที่ไม่เคยโกรธใครถึงเพียงนี้มาก่อน และหล่อนก็เลยตวัดฝ่ามือตบหน้าชายหนุ่มไปอย่างแรงเสียงดังฉาด แก้มของทินพันธ์มีรอยฝ่ามือขึ้นเป็นปื้นแดง

“ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณอนึกเป็นอย่างไร” กรผกามารศรีจงใจกล่าวสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึก เพียงเพื่อจะปกป้องเกียรติยศของคู่หมั้นหนุ่ม “ที่ฉันหมั้นกับเขาก็เพราะฉันรักเขา คนอย่างฉันมีศักดิ์ศรีมากพอ ถ้าฉันไม่รักเขาละก็ ไม่มีวันที่ใครจะมาบังคับให้ฉันหมั้นกับอนึกได้หรอก”

“ก็ขอให้จริงเถอะ” ชายหนุ่มร่างสูงมีสีหน้าปวดร้าว “อย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน ปลูกเรือนผิดคิดจนเรือนทลาย แต่งงานผิดคิดจนตัวตาย…แล้วผมจะคอยดู”

“หยาบคาย เลวทราม ต่ำช้า ฉันไม่อยากเสวนากับคนอย่างคุณแล้ว”

กรผกามารศรีหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว หากทินพันธ์เอื้อมมือไปคว้ามือของหล่อนเอาไว้อย่างรวดเร็ว เขาดึงให้หล่อนหันกลับมาอย่างแรง จนเรือนร่างผอมบางของอีกฝ่ายเซมาปะทะเข้ากับทรวงอกแข็งแกร่ง

ทินพันธ์จงใจก้มหน้าลงไปชิดแก้มนวลของหญิงสาว จนจมูกโด่งได้รูปได้กลิ่นหอมละมุนของผิวกายและกรุ่นดอกไม้จากครีมบำรุงผิวราคาแพง

“จำคำของผมเอาไว้ให้ดี กรผกามารศรี…แล้ววันหนึ่งคุณจะต้องเสียใจที่ดูถูกผม ดูถูกคนอื่นที่ด้อยกว่าคุณ”

จบประโยคนั้น ทินพันธ์ก็ปล่อยให้กรผกามารศรีเป็นอิสระ จากนั้นเขาก็หันกลับแล้วก้าวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้หญิงสาวผู้สวยงามและอ่อนหวานร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บใจจนดวงตาที่เคยดำขลับราวกับนิลเนื้องามแดงช้ำราวกับสายเลือด

 



Don`t copy text!