ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 2 : ล้มละลาย

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 2 : ล้มละลาย

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

เจ้าสัวทินกรผู้เป็นบิดาพยักหน้าตอบธิดาสาว ไม่เอ่ยวาจาใดออกมาแม้แต่คำเดียว

“หมายความว่าต่อไปนี้ ลูกจะไม่ได้ไปช็อปปิงที่ปารีส ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ของกุชชี่ ไม่ได้ซื้อสร้อยเพชรคาร์เทียร์ ไม่ได้ไปพักผ่อนตากอากาศที่คาปรีอีกแล้วหรือคะ”

“ถ้าเราล้มละลาย ทุกอย่างที่ลูกเอ่ยมานั่น คงจะไม่มีโอกาสได้ทำเหมือนเดิมอีกแล้ว” เจ้าสัวทินกรดึงเอาร่างแบบบางของลูกสาวมากอดด้วยความสงสาร

“นอกจากนี้ เครื่องเพชรและทรัพย์สินประดามีที่พวกเรามีอยู่ ก็อาจจะต้องขายทิ้งไปเพื่อใช้หนี้อีกด้วย”

“ไม่…” ริมฝีปากของหญิงสาวสั่นระริก “ไม่จริง…ไม่เชื่อ…ไม่ใช่…คุณพ่อโกหกลูก…บอกสิคะว่าไม่จริง”

“จริงสิลูกกรผกา” แม้จะเจ็บปวดที่ต้องทำร้ายความรู้สึกของธิดาสาวผู้แสนจะบอบบาง หากเจ้าสัวทินกรก็ต้องพูดความจริงให้ลูกรู้ “แต่พ่อยืนยันว่าจะทำทุกอย่างจนสุดความสามารถ เพื่อพยุงฐานะของตระกูลมรกตเอาไว้”

“เพราะฉะนั้น ลูกจึงไม่มีทางเลือก กรผกามารศรี…” คุณหญิงสายหยุดได้โอกาสเหมาะ “ลูกต้องหมั้นกับอนึก เพราะนี่เป็นทางเดียวเท่านั้นที่อาจจะพอช่วยคุณพ่อได้”

“ก็ไหนคุณแม่ว่าอนึกมีแต่ตัวไงคะ” หญิงสาวจำได้ว่าผู้เป็นมารดาเคยประณามชายหนุ่มคนนั้นเอาไว้เช่นนี้ “แล้วเขาจะช่วยเราได้อย่างไรกัน”

“ถึงจะมีแต่ตัว แต่อธิบดีอนันต์…พ่อของอนึกมีอำนาจมาก เขาอาจจะพอช่วยเหลือเราทางอ้อมได้” เจ้าสัวทินกรก้มหน้านิ่ง “พ่อพูดเท่านี้ลูกคงพอจะเข้าใจใช่ไหม กรผกามารศรี…ถ้าลูกอึดอัดใจ ยังไม่แต่งก็ได้ลูก แค่หมั้นกันก่อนแล้วค่อยหาฤกษ์แต่งภายหลัง เพียงเท่านี้พ่อก็ขอบใจลูกมากแล้วละ ที่ยอมเสียสละเพื่อตระกูลมรกตของเรา”

“ตกลงลูกไม่มีทางเลือกแล้วใช่ไหมคะคุณพ่อ คุณแม่”

กรผกามารศรีหันไปทางบิดาและมารดาด้วยสีหน้าหมดหวัง น้ำตาของหญิงสาวคลอคลองเจียนจะหยาดหยด น้ำเสียงของหล่อนสั่นเครือน่าสงสาร

“กรผกาต้องหมั้นกับคุณอนึกใช่ไหมคะ”

ไม่มีคำตอบใดจากเจ้าสัวทินกรและคุณหญิงสายหยุด แล้วจะยังมีทางเลือกใดสำหรับดอกฟ้ายาใจคนนี้เหลืออยู่อีกเล่า

“ไม่แต่งนะครับ…ผมไม่แต่งกับผกากรองมารศรีนะครับคุณแม่ ผู้หญิงอะไรไม่รู้ ชื่อยาวอย่างกับนางเอกลิเก”

ชายหนุ่มร่างสูงสง่า ผิวขาวสะอาด ดวงหน้าคมสัน จมูกโด่งงาม ทำหน้างอง้ำไม่สบอารมณ์เมื่อทราบข่าวจากมารดาว่าเตรียมจะให้เขาหมั้นกับบุตรสาวเพื่อนสนิทของอธิบดีอนันต์ผู้เป็นบิดา

“กรผกามารศรีย่ะ” คุณอนงค์นาถค้อนบุตรชาย “ไม่ใช่ผกากรองมารศรี บอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วยังจำชื่อน้องไม่ได้”

“ก็ชื่อยาวจะตายไป” อนึกเถียง “ยังกับชื่อนางเอกลิเก ใครจะไปจำได้ล่ะ…ยังไงผมก็ไม่หมั้นกับกรอะไรนี่หรอก ไม่หมั้นแล้วก็ไม่แต่งด้วยครับ”

“ไม่ได้นะ” คุณอนงค์นาถส่งเสียงเอ็ดอึง “ยังไงแกก็ต้องหมั้น อนึก หมั้นเสร็จก็รีบหาทางแต่งให้เร็วที่สุด”

“ผมไม่ได้รักกรผกามารศรี” บุตรชายโวยวาย

“มันไม่เกี่ยวว่าแกรักหรือไม่รัก” มารดาว่า “มันเกี่ยวกับว่าเงินของเรากำลังจะหมดแล้ว เข้าใจหรือเปล่า ที่แม่บากหน้าไปกู้มานี่ก็เหลือไม่กี่ล้านแล้ว หนี้เก่าก็ยังไม่ได้ใช้ หนี้ใหม่ก็พอกเข้ามาเรื่อย พ่อของแกก็ไม่ได้เรื่องเลย ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตขนาดนี้ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ นี่ถ้าเงินของเราหมด ก็หมายความว่าแกเองก็จะไม่มีเงินใช้จ่ายให้ฟู่ฟ่าเหมือนเดิม…ยายหนูกรผกามารศรีนี่ก็เป็นเศรษฐินีเงินล้าน พ่อแม่ของเธอรวยมาก พวกตระกูลมรกตน่ะรู้จักหรือเปล่า หือ อนึก”

อนึกทำหน้ามุ่ย ทำไมเขาจะไม่เคยได้ยินนามสกุลที่แสนจะโด่งดังนี้ ทั้งแม่และพ่อพูดกรอกหูให้เขาฟังจนนับครั้งไม่ถ้วนว่า เจ้าสัวทินกร มรกต เป็นเพื่อนสนิทของพ่อ และเป็นมหาเศรษฐีพันล้านติดอันดับของนิตยสารไทม์ และกรผกามารศรีก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้าสัว

ฟังแม่พูดถึงเรื่องฐานะการเงินของบ้านแล้วเขาก็หนักใจ เมื่อสองสามวันก่อนอนึกเห็นชายฉกรรจ์หน้าตาเหี้ยมเกรียมมาหามารดาของเขาเพื่อทวงเงิน ท่าทางคุณอนงค์นาถหวาดกลัวจนตัวสั่น

ไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลือมากนัก เขาอาจจำเป็นจะต้องทำตามที่แม่ว่าก็ได้

“แม่พูดให้ผมฟังจนเบื่อแล้ว” อนึกบ่นพึมพำ “ทำอย่างกับทางโน้นเขาจะโง่ให้เราหลอกเอาเงินเขามาง่ายๆ นั่นละครับ”

“ก็ไม่น่ายาก” ดวงตาคุณอนงค์นาถวาววับ เมื่อนึกไปถึงดวงหน้าอ่อนหวานใสซื่อของธิดาสาวตระกูลมรกต “ดูท่าทางแม่หนูนั่นจะไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไรนักหรอก พ่อแม่ของเธอเลี้ยงมาดี ส่งไปเรียนจนจบฟินิชชิ่งคอร์สมาจากสวิตเซอร์แลนด์เชียวนะ เด็กหัวอ่อนแบบนี้ ท่าทางจะถูกจูงจมูกได้ง่าย แกก็หมั้นๆ แล้วก็แต่งไปก่อนเถอะ พอแต่งไป เกิดเบื่อหรือว่าไม่ชอบใจก็ค่อยหาเรื่องหย่าทีหลังก็ได้ แม่ไม่ว่าหรอก ขอให้แต่งงานกับกรผกามารศรีแล้วหาทางยักย้ายถ่ายเทสมบัติมาเป็นของเราเสียก่อน ท่าทางมันโง่ๆ เซ่อๆ คงไม่ทันเราหรอก แต่งงานแล้วสามีก็ต้องเป็นช้างเท้าหน้า แกจะว่ายังไงแม่หนูกรผกามารศรีก็คงจะว่าตามกัน ไม่มีปากไม่มีเสียงอะไร แต่งเสร็จแกเบื่ออยากจะหาเรื่องหย่า หรือจะยังไงต่อก็เป็นเรื่องของแกแล้ว แม่สัญญาว่าจะไม่ยุ่งอีกเลย”

“จริงนะฮะ” อนึกคาดคั้นมารดา ในใจมีจุดมุ่งหมายบางประการซ่อนเร้นอยู่ “แม่สัญญาแล้วนะว่าถ้าผมยอมหมั้นกับกรผกามารศรี และยอมแต่งงานกับเธอ…จากนั้นผมจะทำยังไงต่อไปก็เป็นเรื่องของผม  แม่จะไม่มายุ่งอีก”

“ฉันสัญญา” คุณอนงค์นาถรับปากลูกชาย “ฉันไม่สนใจแม่หนูกรผกาอะไรนั่นหรอก ฉันสนแค่เงินของพวกมรกตมากกว่า”

ถึงตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกเสียแล้ว ทำยังไงก็ได้ให้สองตระกูลเกี่ยวดองกันโดยเร็ว หนี้สินหลายล้านบาทที่เธอกู้มาพยุงฐานะของครอบครัวกำลังพอกพูนมากขึ้นทุกขณะ หากไม่รีบหาเงินหมุนมาใช้โดยเร็ว มีหวังท่านอธิบดีผู้สามีจะต้องเดือดร้อนแน่

อนึกจะยังไงของมันก็ช่าง ตอนนี้ขอให้ลูกยอมรับปากหมั้นกับกรผกามารศรีก่อนก็แล้วกัน จากนั้นค่อยว่ากันใหม่

“ถ้างั้นผมตกลงครับ” อนึกยิ้มกว้าง ตอบตกลงง่ายดายจนผู้เป็นมารดาตกใจ

“หา…” คุณอนงค์นาถทำตาโต “ฉันหูไม่ฝาดนะว่าแกตอบตกลง”

“คุณแม่ไปหาฤกษ์หมั้นแล้วก็ฤกษ์แต่งได้เลย เอาหมั้นเช้าแต่งเย็นก็ดีนะฮะ” ชายหนุ่มคิดเสียว่าตนเองกำลังทำงานชิ้นหนึ่ง จึงอยากจะให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นโดยเร็วไว

“ว้าย” คุณอนงค์นาถร้อง “ไม่ได้”

“ทำไมไม่ได้ครับ” อนึกสงสัย “เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ประหยัดกันทั้งนั้น หมั้นเช้าแต่งเย็น ดีออกครับ ไม่ต้องจัดงานหลายรอบ”

“ที่ฉันว่าไม่ได้ เพราะทางนั้นเขาไม่ตกลงต่างหาก” ผู้เป็นมารดานึกไปถึงข้อต่อรองที่คุณหญิงสายหยุดบอกมาทางโทรศัพท์ “พวกมรกตบอกมาว่า ขอหมั้นเอาไว้ก่อนแล้วค่อยหาฤกษ์แต่งทีหลัง”

“เฮ้อ” อนึกถอนใจยาวด้วยความเบื่อหน่าย “ผมอยากให้หมั้นแล้วแต่งให้จบๆ ไป จะได้หาเรื่องมาหย่าให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”

“เอาเถอะน่า” คุณอนงค์นาถผู้ชาญฉลาดคิดวางแผนให้กับบุตรชาย “หมั้นแล้วลูกก็หาโอกาสเหมาะๆ รวบหัวรวบหางน้อง ปล้ำเอาเป็นเมียเสียเลย ถ้าทุกอย่างเลยเถิดไปอย่างที่แม่ว่า ยังไงทางพวกมรกตต้องเร่งให้ลูกรีบแต่งกับน้องแน่ๆ แล้วอย่าลืมคิดหาวิธีดูดเงินจากพวกนั้นมาด้วยล่ะ หมั้นเสร็จเรียบร้อยก็แกล้งลองใจกรผกามารศรีดู ทดลองขอยืมเงินน้องมาหมุนใช้ก้อนแรกสักสิบห้าล้านก่อนก็แล้วกัน แม่เชื่อนะว่าแกจะต้องทำได้ อนึก”

 



Don`t copy text!