ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 15 : ชีวิตใหม่

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 15 : ชีวิตใหม่

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

เมื่อย่างเท้าเข้าไปในบ้านไม้เก่าสับปะรังเคหลังนั้น คุณหญิงสายหยุดแลกรผกามารศรีก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาเสียงดังลั่น เพราะมีหนูสกปรกตัวโตเบ้อเริ่มวิ่งสวนออกมา แถมยังเหยียบลงไปบนเท้าของคุณหญิงสายหยุดอีกต่างหาก

“กรี๊ดดดดดด”

คุณหญิงแม่และบุตรสาวร้องประสานเสียง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของบรรดาเพื่อนบ้านที่แตกตื่นกันมามุงดูอยู่รอบๆ รั้วว่าเกิดฆาตกรรมอะไรขึ้นในบ้านหลังนี้

บ้านที่ปลูกอยู่ในที่ดินผืนสุดท้ายของเจ้าสัวทินกรนั้น เป็นบ้านไม้ที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยมานาน รั้วไม้ระแนงเก่าผุพัง หลังคารั่วจนแทบจะกันแดดและฝนไม่ได้ ห้องเก่าๆ ทั้งเหม็นทั้งอับและมืดมนเพราะไฟฟ้าถูกตัดจริงดังเช่นที่เพื่อนบ้านชาวสลัมว่า

“แล้วลูกจะอาบน้ำได้ยังไงกันคะ ไม่มีไฟแล้วเราจะเอาน้ำอุ่นที่ไหนอาบ ลูกอาบน้ำอุ่นเป็นประจำทุกวัน ถ้าไม่อาบน้ำอุ่นแล้วเดี๋ยวผิวเสียแย่เลย” กรผกามารศรีเริ่มเบ้ปาก ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “แล้วคืนนี้เราจะนอนกันได้ยังไงกันไม่มีแอร์ ลูกคงนอนไม่หลับแน่เลยค่ะคุณแม่ขา ยังจะไฟฟ้าอีก เฮ้อ…ทำไมชีวิตของเราต้องรันทดถึงเพียงนี้ด้วยคะ ลูกไม่เข้าใจเลยจริงๆ”

“ก็เพราะลูกนั่นละค่ะ ยอมแต่งงานกับคุณทินพันธ์เสียก็หมดเรื่องไปแล้ว ไม่ต้องมาตกระกำลำบากกันแบบนี้…เฮ้อ…พรุ่งนี้จะเอาอะไรกินเข้าไปยังไม่รู้เลย”

“ก็กินข้าวไงคะ แต่ถึงจะไม่มีอะไรกิน คนอย่างกรผกามารศรี มรกต ยอมอดตายเสียดีกว่าจะต้องไปแต่งงานกับเศรษฐีใหม่อย่างนายทินพันธ์คนนั้น”

กรผกามารศรีจ้องมองมารดาด้วยดวงตาใสซื่อ “อย่าห่วงเรื่องวันพรุ่งนี้เลยค่ะ คุณแม่ขา ยังไงเราก็มีข้าวกิน หรือไม่ก็ขนมปัง โจ๊ก ไข่ดาว ไส้กรอก…มีให้เลือกตั้งเยอะแยะนะคะคุณแม่”

“นั่นมันเมื่อก่อนค่ะลูกขา” คุณหญิงสายหยุดถอนใจยาวนาน “แต่เดี๋ยวนี้เราไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าวสารมากรอกหม้อ แล้วจะเอาอะไรกินเข้าไป”

“ถ้างั้นเราก็สั่งพิซซ่าไงคะ อยากกินอะไรก็เลือกเลย เดี๋ยวก็มา เขามีดิลิเวอรีแล้วค่ะ” กรผกามารศรีนึกถึงร้านอาหารร้านโปรดขึ้นมาได้

“คุณลูกคะ” คุณหญิงสายหยุดรู้สึกอดรนทนไม่ได้ “โปรดอยู่ในโลกแห่งความจริงด้วยค่ะ ตอนนี้เรากำลังตกยาก เราหมดเนื้อหมดตัว ไม่มีเงินสักบาท บ้านหลังนี้โทรศัพท์ก็ไม่มี จะโทรไปสั่งพิซซ่าได้ยังไงคะ โปรดอย่าได้คิดอะไรเพ้อเจ้อไปมากกว่านี้เลยนะคะลูกขา มาคิดดีกว่าว่าเราจะทำมาหากินอะไรต่อไปเพราะขืนอยู่กันเฉยๆ แบบนี้ เราอาจจะอดตายได้นะคะ ลูกจะต้องหางานทำค่ะ”

“ทำงาน…หางานทำ…แล้วกรผกาจะทำอะไรล่ะคะ” ได้ยินคำว่าทำงาน หญิงสาวก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญ “สวย อ่อนหวาน และบอบบางอย่างลูกจะทำอะไรได้ ยังจะมีอาชีพอะไรที่เหมาะสมกับลูกเหลืออยู่ไหมคะคุณแม่ เกิดมากรผกาไม่เคยต้องทำอะไรเลย แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีคะ”

“โอย…” คุณหญิงแม่รู้สึกเหมือนจะเป็นลม นึกตำหนิตัวเองและสามีว่าไม่ควรเลี้ยงลูกสาวให้จับจด ทำงานไม่เป็นเช่นนี้เลย “ก็ค่อยๆ คิดกันไป เดี๋ยวก็คิดออกเองละค่ะลูกขา…คนเราเกิดมาจะนั่งงอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลยน่ะ ไม่ได้หรอกนะคะ รอแบบนั้นใครจะมาเลี้ยงเราล่ะ ตอนมีเศรษฐีเขาจะมาเลี้ยง ลูกก็มัวแต่เล่นตัวอยู่นั่นละ แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ สมน้ำหน้าทั้งแม่ทั้งลูก ต้องมานั่งกัดก้อนเกลือกิน”

ใจจริงแล้วคุณหญิงสายหยุดไม่อยากว่าลูกสาวเลยสักนิด แต่พอเห็นกรผกามารศรีเริ่มคร่ำครวญ เธอก็อดตำหนิไม่ได้ เพราะที่ทุกคนต้องประสบกับความยากลำบากถึงเพียงนี้ ก็เนื่องมาจากทิฐิมานะของหญิงสาวสวยสง่าผู้นี้เพียงผู้เดียว

“ว้าย ว้าย ยุงกัดกรผกาค่ะคุณแม่” หญิงสาวไม่มีโอกาสได้โต้เถียงกับมารดา เพราะมัวแต่ตบยุงที่บินกรูกันเข้ามาดูดเลือดสาว “แม่นิ่มขา ช่วยเสียบปลั๊กยากันยุงไฟฟ้าหน่อยสิคะ ยุงเต็มไปหมด เดี๋ยวกรผกาเป็นไข้เลือดออกละก็แย่เลย”

“เอ่อ คุณหนูคะ” แม่นิ่มเงยหน้าจากกองสัมภาระของเจ้านายทั้งสอง แล้วบอกกับหญิงสาวที่ตนเองทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงมาแต่ยังเล็กยังน้อยว่า “ข่าวร้ายค่ะ ลืมไปแล้วหรือคะว่าบ้านนี้ไม่มีทั้งไฟฟ้าและไม่มีทั้งน้ำประปา เห็นทีคืนนี้เราจะต้องอยู่กันไปก่อน แล้วพรุ่งนี้แม่นิ่มจะไปติดต่อกับที่ว่าการเขตเพื่อขอต่อไฟและต่อน้ำดีไหมคะ”

“หา!” กรผกามารศรียกมือขึ้นทาบอก ดวงตากลมโตของเธอมีน้ำคลอคลอง ริมฝีปากบางได้รูปสวยสั่นระริกด้วยความสะเทือนใจ “หมายความว่าคืนนี้กรผกาจะไม่ได้อาบน้ำใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ” แม่นิ่มพยักหน้ารับ “แต่ยังมีอีกทางหนึ่ง ถ้าคุณหนูอยากจะอาบน้ำ แม่นิ่มจะต้องเอาถังไปรองจากก๊อกน้ำสาธารณะกลางชุมชนมาให้”

“เฮ้อ…ค่อยยังชั่วหน่อย” หญิงสาวค่อยยิ้มออกมาได้ “ถ้าไม่ได้อาบน้ำกรผกาต้องนอนไม่หลับแน่เลยค่ะ เหม็นตัวเอง ทั้งเหงื่อ ทั้งฝุ่น…แม่นิ่มไปรองน้ำมาให้กรผกาหน่อยนะคะ…นะคะ…นะคะ”

หญิงสาวออดอ้อนแม่นมด้วยท่าทางที่เคยทำเป็นอาจิณ หล่อนรู้ว่าทำเช่นนี้ต่อให้ใจแข็งเพียงใด แม่นิ่มก็จะต้องยอมตามใจเธอเสมอ

แม่นิ่มพยายามฝืนยิ้มให้หญิงสาว หากเป็นไปได้แล้ว แม่นมสูงวัยผู้นี้ก็อยากจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้หญิงสาวสุขสบาย แต่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับไปเสียทุกด้านเช่นนี้ หลายอย่างก็ไม่สามารถจะทำได้ และเธอก็ได้แต่หวังว่ากรผกามารศรีจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ได้โดยเร็ว

ขณะที่แม่นิ่มกำลังโยกก๊อกน้ำเพื่อรองน้ำกลับมาให้คุณหญิงสายหยุดและบุตรสาวใช้อาบในคืนนี้นั่นเอง สาวทอมประจำหมู่บ้านที่ชื่อเก่งก็เลียบๆ เคียงๆ ถามเรื่องราวความเป็นมาของครอบครัวคุณหญิงสายหยุด ว่าเป็นยังไงมายังไง ถึงได้จับพลัดจับผลูมาโผล่อยู่ที่สลัมแห่งนี้ได้

“เรื่องมันก็ยังงี้ละจ้ะ” แม่นิ่มถอนใจยาว หลังจากเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้เก่งฟังจนจบ

“โถ โถ น่าสงสารน้องผกานะฮะ ไม่เคยลำบากลำบน โธ่เอ๋ย…” สีหน้าของเก่งมีแต่ความจริงใจ เธอช่วยแม่นิ่มโยกน้ำจากก๊อกประปากลางชุมชนอย่างแข็งขัน

“ก็คงต้องหางานทำกันต่อไปละค่ะคุณเก่ง” แม่นิ่มว่า “คุณหนูเธอตั้งใจว่าจะทำงานเก็บหอมรอมริบ รวบรวมเงินไปซื้อบ้านมรกตกลับคืนมาเป็นของเรา”

“ดีฮะ” เก่งพูดขณะช่วยแม่นิ่มเข็นรถใส่น้ำกลับไปที่บ้านหลังเก่าแก่สับปะรังเคท้ายซอย “ถ้าผมรู้ว่าที่ไหนมีงานดีๆ เหมาะกับน้องผกาละก็ จะบอกให้รู้นะฮะ”

“ขอบใจนะจ๊ะ พ่อหนุ่ม” แม่นิ่มลังเลเล็กน้อยว่าจะเรียกเก่งว่าแม่หนูหรือพ่อหนุ่มดี หากสุดท้ายแล้วเธอก็ตัดสินใจเรียกเก่งว่าพ่อหนุ่มในท้ายที่สุด สร้างความพอใจให้กับเก่งเป็นอย่างมาก

“เดี๋ยวผมช่วยป้าเอาน้ำไปใส่ตุ่มดีกว่าฮะ” เก่งขันอาสา “ป้าแก่แล้ว ยกของหนักมากๆ แบบนี้ ประเดี๋ยวเป็นลมตายไปละก็แย่เลย”

และตอนที่เก่งกำลังยกน้ำเทใส่ตุ่มนั่นเอง แม่นิ่มก็นึกได้ว่าลืมผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ที่ก๊อกน้ำก็เลยเดินย้อนกลับไป และเมื่อเธอไปถึงก็ปรากฏว่ามีรถเบนซ์สุดหรูคันยาวแล่นมาจอด ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ล่ำสันผู้หนึ่งจะเดินลงมา

“คุณทินพันธ์” แม่นิ่มอุทาน พร้อมกับอ้าปากค้างด้วยความตื่นตกใจ ด้วยคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง

“แม่นิ่ม” ทินพันธ์ไม่เคยรู้จักแม่นมของตระกูลมรกต หากทว่าจำได้เพราะเคยพบกันหลายหน

“คุณมาที่นี่ทำไมกันคะ” หญิงสูงวัยหันซ้ายหันขวาเพราะกลัวว่ากรผกามารศรีจะโผล่มาเห็นเข้า “รีบกลับไปเสียเถอะค่ะ ที่นี่ไม่เหมาะกับคุณ โปรดกลับไป แล้วอย่ามายุ่งกับเราอีกเลย เร็วๆ สิคะ ประเดี๋ยวคุณหนูมาเห็นเข้า นิ่มจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

“ผมไม่กวนใจแม่นิ่มนานหรอกครับ ที่มานี่เพราะจะเอาเงินมาให้ เสร็จแล้วก็จะรีบกลับ” ทินพันธ์ควักเงินออกมาปึกหนึ่ง ส่งให้กับแม่นิ่ม “รับเอาไว้สิครับ”

แม่นมของกรผกามารศรีทำตาโตมองดูเงินก้อนนั้นด้วยความอยากได้ เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังยากลำบาก ไม่มีเงินเหลือติดตัวเลยสักบาทเดียว แต่ถ้าหญิงสาวผู้เป็นเจ้านายรู้เข้า จะต้องโกรธมากและบังคับให้เธอนำเงินก้อนนี้กลับไปคืนอย่างแน่นอน

“รับเอาไว้เถอะครับ ผมรู้ว่าพวกคุณจำเป็นต้องใช้เงิน ถึงมันจะไม่มากนักแต่อย่างน้อยมีเงินก้อนนี้ คุณก็จะเอาไปปรับปรุงบ้าน และซื้อข้าวปลาอาหารได้พักหนึ่ง” ทินพันธ์เห็นท่าทางลังเลของคุณแม่บ้าน ก็รีบยัดเงินปึกนั้นใส่มือของเธอ พร้อมกับกำชับก่อนจะจากไปว่า “ถือเสียว่าเป็นค่าข้าวของในรถบรรทุกสิบห้าคันนั้นก็แล้วกัน ผมขอซื้อเอาไว้ทั้งหมด ถ้าหากแม่นิ่มไม่สบายใจก็ไม่จำเป็นต้องบอกคุณกรผกามารศรีนี่ครับว่าเป็นเงินของผม…ผมเองก็สัญญาว่าจะไม่บอกใครเช่นกัน เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคน”

ยังไม่ทันที่แม่นิ่มจะรับเงินมาจากมือของชายหนุ่ม เสียงของใครคนหนึ่งก็ตวาดแว้ดขึ้นดังลั่น และเมื่อแม่นิ่มหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นสาวน้อยรูปร่างผอมบาง ผิวขาวผ่อง ตาชั้นเดียว แต่งหน้าจัดจ้าน วิ่งลงมาจากรถสีแดงคันยาวที่จอดอยู่ทางด้านหลังรถของทินพันธ์

“อยู่นี่เองเฮียทินพันธ์ วิกกี้นึกแล้วเชียวว่าต้องมาอยู่ที่นี่”

“วิกกี้” ทินพันธ์รีบยัดเงินใส่ในมือแม่นิ่มอย่างรวดเร็ว “มาได้ยังไงครับ”

“ถ้าวิกกี้ไม่ตามไปที่บ้านมรกต ก็คงไม่รู้หรอกว่าเฮียมาที่นี่” หญิงสาวร้องเสียงแหลม “ยังอาลัยอาวรณ์มันอีกหรือไงคะ แม่กรผกามารศรีคนนั้นน่ะ เขาดูถูกเฮียขนาดนี้แล้วยังจะอะไรอีก”

แม่นิ่มมองดูวิกกี้ แล้วหันมามองดูทินพันธ์ด้วยสายตางุนงง ไม่เข้าใจว่าหญิงคนนี้คือใคร เหตุใดจึงโผล่เข้ามาแบบจู่โจมเช่นนี้

“วิกกี้น่ะครับ แม่นิ่ม” ทินพันธ์อ่านสายตาแม่นมของกรผกามารศรีออกจึงอธิบายสั้นๆ ให้รู้ว่าสาวน้อยผิวขาว ผมซอยสั้นผู้นี้คือใครกัน “วิกกี้เป็นน้องสาวของธงชาติ เพื่อนของผมเอง อาเจ็กช้วน…เตี่ยของวิกกี้ก็เป็นเพื่อนกับเตี่ยของผม”

“อ้อ…ค่ะ”

แม่นิ่มพยักหน้ารับ แล้วรีบหันหลังเดินกลับไปอย่างรวดเร็ว ด้วยไม่ประสงค์ให้เรื่องราวลุกลามไปใหญ่โต เพราะดูท่าทางแล้ว แม่หนูวิกกี้คนนี้คงจะหลงรักทินพันธ์อยู่ และคงจะรู้ว่าทินพันธ์นั้นมีใจให้กับกรผกามารศรี ก็เลยตามมาอาละวาดถึงสลัมแห่งนี้

“เดี๋ยวก่อน” วิกกี้ร้องเรียกแม่นิ่มเสียงแหลม

“คะ เรียกฉันเหรอ” แม่นิ่มหันกลับมามอง มือกำเงินที่ทินพันธ์ให้มาแน่น

“เออ แกนั่นล่ะ จะใครเสียอีก” วิกกี้ชักหงุดหงิด หล่อนตะเบ็งเสียงใส่แม่นิ่มจนคนทั้งสลัมโผล่หน้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น “ฝากไปบอกนังกรผกามารศรีนายของแกด้วยนะว่า ทีหน้าทีหลังอย่ามายุ่งกับเฮียทินพันธ์ของฉันอีก ไม่งั้นเจอแน่”

“พอได้แล้ว วิกกี้” ทินพันธ์คงจะรู้สึกไม่พอใจ เพราะแม่นิ่มเห็นใบหน้าของเขาแดงก่ำ “อย่าก้าวร้าวคนอื่นแบบนั้นอีก แม่นิ่มไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”

“วิกกี้ไม่สน” วิกกี้สะบัดหน้าไปทางอื่นด้วยความโมโห “วิกกี้ทนอีพวกผู้ดีพวกนี้ไม่ไหวแล้ว ชอบดูถูกคนอื่น ใครๆ ก็อยากแต่งงานกับเฮียจนตัวสั่น นังกรผกามันแน่มาจากไหนกันคะ ถึงได้กล้าปฏิเสธคุณทินพันธ์ เกียรติมหึมามหาเศรษฐี แบบนี้…ยังไงก็ต้องด่าฝากคนของมันไปน่ะแหละ หน็อย…ตกยากถึงขนาดนี้แล้วยังไม่เจียมกะลาหัวอีก”

“พอแล้ววิกกี้ กลับได้แล้ว” ทินพันธ์รีบดึงแขนวิกกี้ ลากให้เดินกลับไปที่รถด้วยกัน ก่อนจะเดินทางกลับ เขาตะโกนบอกกับแม่นมของกรผกามารศรีท่าทางเกรงอกเกรงใจว่า “แม่นิ่มครับ ผมขอโทษแทนวิกกี้ด้วยนะครับ”



Don`t copy text!