ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 33 : ระเบิดภูเขาเผากระท่อม

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 33 : ระเบิดภูเขาเผากระท่อม

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจกันและไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ จึงเกิดการยิงปะทะกันระหว่างลูกน้องของเสี่ยช้วนและตระกูลเกียรติมหึมามหาเศรษฐีกันอย่างรุนแรง

เปรี้ยงงง…ปังงงงง

เสียงปืนดังกึกก้องกัมปนาท เลือดท่วมจอราวกับภาพยนตร์ประเภทบู๊ล้างผลาญ คุณนายกิมเฮียงหมอบราบลงกับพื้น ใจสั่นระรัว…มิใช่ด้วยความตกใจ หากเป็นเพราะความเป็นห่วงลูกชายและสามี เสียงปืนกระหน่ำดังจนหูอื้อตาลายดังกลบเสียงไซเรนของรถตำรวจและรถพยาบาลฉุกเฉินที่วิ่งตามกันมาหลายคัน

เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบข้อมูลจากที่คุณนายกิมเฮียงโทรศัพท์ไปแจ้งก่อนแล้ว จึงมีการเตรียมการเพื่อรับมือเหตุร้ายในครั้งนี้เป็นอย่างดี ซึ่งทุกคนต่างพากันแยกย้ายเข้าจับกุมเสี่ยช้วนและวิกกี้ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเข้าควบคุมบรรดาลูกน้องของเสี่ยช้วนด้วยความชำนาญ เพราะตำรวจที่ทาง ๑๙๑ ส่งมาครั้งนี้เป็นชุดปราบปรามจลาจลโดยเฉพาะ

ไม่นานหลังจากนั้น เสียงปืนก็สงบลง สถานการณ์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง คุณนายกิมเฮียงเห็นดังนั้นก็เลยคลานออกมาจากพุ่มไม้ที่แอบซ่อนตัวอยู่ แล้วรีบวิ่งไปเที่ยวตามหาทินพันธ์ก่อนคนอื่น

“เฮีย ลูกเราอยู่ไหน เห็นลูกของเราไหม…อาทินพันธ์” คุณนายใจหายวาบเมื่อมองไม่เห็นบุตรชาย

“ไม่รู้ อั๊วไม่เห็นเหมือนกัน มันยิงถล่มกันมั่วไปหมด อาทินพันธ์วิ่งหายไปทางไหนก็ไม่รู้” บิดาของชายหนุ่มมีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน รอบกายของเขามีแต่ข้าวของแตกหักเสียหาย ลูกน้องของเขาบาดเจ็บสาหัสหลายคน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้สอนใจอะไรได้หลายอย่าง ชีวิตของเขาผ่านเรื่องเลวร้ายมามาก หากไม่เคยมีครั้งใดรุนแรงเท่ากับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ บิดาของทินพันธ์เพิ่งจะได้สติและหยุดคิดถึงการกระทำที่ผ่านมา เขาตั้งใจเอาไว้ว่า นับจากนี้ไปจะวางมือจากเรื่องราวในวงการนักเลงสักที เพราะผู้คนในวงการนี้มีแต่ความโหดร้าย ไม่จริงใจ และมีเรื่องแก่งแย่งชิงผลประโยชน์กันตลอดเวลา

เขาก็อายุมากแล้ว เงินทองก็มีมากเพียงพอ ไม่ต้องลำบากอดอยากเหมือนกับสมัยเดินทางมาจากเมืองจีนอีกต่อไป สมควรจะเกษียณตัวเอง เพื่อมาใช้ชีวิตในบั้นปลายให้มีความสุขสงบสักที

“กรี๊ดดดด…อาทินพันธ์”

คุณนายกิมเฮียงทำตาโต ร้องเสียงสั่น แข้งขาอ่อน ทำอะไรแทบไม่ถูก เมื่อเห็นร่างโชกด้วยเลือดของบุตรชายทรุดกองอยู่ที่หน้าประตูบ้าน

“หม่า…ม้า” ทินพันธ์ลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบาก “ป๊าปลอดภัยดีไหม”

“ป๊าปลอดภัยดีจ้ะ ไม่ต้องห่วงหรอก โถ…เจ็บจนขนาดนี้แล้วยังมีแก่ใจเป็นห่วงคนอื่นอีก” คุณนายกิมเฮียงรีบบอก “อาทินพันธ์เจ็บตรงไหนบ้าง บอกหม่าม้ามาเดี๋ยวนี้”

“ผม…ผม” พูดได้เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มก็สิ้นสติสัมปชัญญะไปในทันใด

“หมอ…หมออยู่ไหน” คุณนายกิมเฮียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก “มาช่วยลูกอั๊วหน่อยสิโว้ย…เร็วๆ เข้า…อาทินพันธ์สลบไปแล้ว”

 

แสงอาทิตย์ที่แสนจะอบอุ่นสาดส่องผ่านม่านลูกไม้สีขาวสะอาดเข้ามาในห้องพักของคนไข้ สายลมเย็นสบายแผ่วไล้ผิวกายเนียนละมุนของหญิงสาวร่างผอมบางที่นอนหลับสนิทอยู่ในนิทรารมณ์

กรผกามารศรีพลิกกายตะแคงไปทางด้านขวา ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ

นี่เราสลบไปนานเท่าใดนะ…หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ พยายามนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง

หล่อนถูกจับตัวมาจากเวทีประกวดนักร้องลูกทุ่ง จากนั้นก็ถูกนำตัวลงใต้เพื่อส่งไปขายต่างประเทศ แต่แล้วหล่อนก็ป่วยจนต้องพำนักอยู่ในโรงแรมเล็กๆ ที่ชายแดนให้หายดีเสียก่อน

แล้วจากนั้นทินพันธ์ก็พาตำรวจมาช่วยหล่อน…ปืน…เลือด…เสียงปืนกระหน่ำยังดังกึกก้อง หลอกหลอน สะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในความคิดคำนึงของหล่อน หากท่ามกลางความน่าหวาดกลัวพวกนั้น หล่อนยังจำสัมผัสอบอุ่นของอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นได้ดี ยังจะถ้อยคำอ่อนหวานที่ทินพันธ์กระซิบบอกกับหล่อนนั่นอีก

‘ผมรักคุณ…กรผกามารศรี’

ร่างสูงใหญ่แข็งแรงล่ำสันที่นั่งเฝ้าหล่อนอยู่บนเก้าอี้ยาวขยับลุกขึ้น หญิงสาวส่งยิ้มอ่อนหวานให้เขา ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่ใช่ทินพันธ์

“คุณฟื้นแล้วหรือฮะ”

“คุณ…สารวัตรอาคมใช่ไหมคะ”

หล่อนจำได้คลับคล้ายคลับคลา รู้สึกว่าเขาเป็นคนเดียวกับนายตำรวจหนุ่มที่นำทีมตำรวจไปช่วยหล่อนในวันนั้น

“ใช่ครับ” ชายหนุ่มยิ้มแจ่มใส รู้สึกดีใจที่หญิงสาวสวยอุตส่าห์จำชื่อของเขาได้

“ขอบคุณนะคะ ที่คุณอาคมอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตช่วยฉันเอาไว้” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ

“โอ๊ย ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ” อาคมรีบร้องห้าม “ถ้าจะขอบคุณใครสักคนละก็…ขอบคุณนายทินพันธ์ดีกว่าฮะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาละก็ คุณคงถูกส่งตัวไปแล้ว”

“โอ๊ย จะไม่ขอบคุณคุณสารวัตรได้ยังไงคะลูกกรผกาขา” คุณหญิงสายหยุดรีบบอกลูกสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นอกจากสารวัตรจะช่วยลูกให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือคนร้ายแล้ว สารวัตรยังบริจาคเลือดให้กับลูกตอนที่ผ่าตัดอีกด้วย พวกเราเป็นหนี้บุญคุณสารวัตรมากเลยนะคะ”

ประโยคหลังคุณหญิงสายหยุดหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่มรูปร่างสูงล่ำสัน

“จริงหรือคะ” กรผกามารศรีทำหน้าประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าเขามีเลือดกรุ๊ปเดียวกันกับหล่อน ซึ่งจัดว่าเป็นกรุ๊ปเลือดที่หายากมากถึงมากที่สุด คนไทยน้อยรายมากจะมีเลือดกรุ๊ปที่ว่านี้ “สารวัตรมีเลือดกรุ๊ปบีเนกาตีฟเหมือนกับกรผกาหรือคะ”

“เอ่อ…คือว่า เรื่องจริงมีอยู่ว่า…เอ่อ…ฮะ…เลือดของผมเอง”

สารวัตรอาคมอึกอัก เพราะไม่เคยโกหกใครมาก่อน หากนึกได้ว่าทินพันธ์กำชับนักกำชับหนาว่าไม่ให้บอกความจริงกับกรผกามารศรี จึงจำใจต้องโกหกหญิงสาวไปในท้ายที่สุด

“ขอบคุณนะคะ” สีหน้าของหญิงสาวมีแต่ความซาบซึ้ง “ถ้าไม่ได้สารวัตรละก็ ฉันคงจะแย่ไปแล้ว เพราะเลือดกรุ๊ปนี้หายากมากจริงๆ”

“จริงด้วยค่ะ สารวัตรทั้งเก่งทั้งหล่อ แถมใจดีอีกต่างหาก” เก่งจีบปากจีบคอสนับสนุน วันนี้เธอแต่งตัวสวยหวานผิดไปจากทุกวัน จนกรผกามารศรีต้องแปลกใจ

“ตายจริง…พี่เก่งหรือคะนั่น” หญิงสาวหัวเราะออกมาเบาๆ จนเจ็บแผลผ่าตัด “นึกอะไรขึ้นมาคะ ถึงแต่งตัวสวยขนาดนี้ สวยจนกรผกาจำไม่ได้เลยนะคะ”

“แหม น้องผกาอะ” เก่งหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย เลยแก้เก้อด้วยการบิดชายกระโปรงของตัวเองจนแน่นเป็นเกลียว “แบบว่า พี่ตัดสินใจเลิกเป็นทอมแล้วครับ เอ๊ย…ค่ะ”

“เลิกเป็นทอม” กรผกามารศรีผุดลุกขึ้นนั่ง “เป็นทอมแล้วเลิกกันได้ด้วยหรือคะ พี่เก่งเป็นทอมนะคะ ไม่ได้เป็นหวัด”

“แบบว่านังเก่งมันบนบานศาลกล่าวว่าถ้าคุณหนูรอดชีวิตมาได้ มันจะเลิกเป็นทอมน่ะค่ะ” แม่นิ่มรีบอธิบาย “พอคุณหนูรอดจากการผ่าตัด นังเก่งมันก็เลยต้องเลิกเป็นทอมตามคำสาบานน่ะค่ะ”

“แหม เลิกเป็นทอมนี่ดีจริงๆ นะคะ ได้แต่งตัว แต่งหน้าสวยๆ” เก่งทำท่าชม้ายตาไปทางสารวัตรหนุ่มรูปหล่อ “รู้อย่างนี้เก่งเลิกเป็นทอมไปนานแล้ว”

“พวกเรามีอยู่กันแค่นี้เองหรือคะ” กรผกามารศรีทำท่าชะเง้อหาใครบางคน

“จะถามถึงนายทินพันธ์ใช่ไหมล่ะคะลูกขา…อย่าไปสนใจเลย สองแม่ลูกนั่นน่ะแอบหนีกลับกรุงเทพไปตั้งสองวันแล้ว” คุณหญิงสายหยุดรู้ว่าลูกสาวกำลังมองหาใครอยู่ จึงรีบตอบอย่างรวดเร็ว “ถามถึงเขาทำไมกันคะ เขาไม่เห็นจะเป็นห่วงลูกเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่หลบลี้หนีหน้าไปแบบนี้หรอก”

กรผกามารศรีถอนหายใจยาว ก่อนจะพลิกกายหันหน้าเข้าข้างฝา หันหลังให้กับทุกคนที่รายล้อมเธออยู่ เพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าเธอกำลังร้องไห้ ทินพันธ์…กรผกามารศรีนึกคร่ำครวญอยู่ภายในใจ

คุณใจร้ายมากนะคะ คุณบอกว่ารักฉัน แต่คุณกลับทิ้งฉัน แล้วหนีกลับกรุงเทพไปแบบนี้ จะให้ฉันเชื่อได้อย่างไรว่าคุณรักและเป็นห่วงฉันจริงอย่างที่ปากว่า…

 



Don`t copy text!