ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 35 : คนเฝ้าไข้

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 35 : คนเฝ้าไข้

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

แม้แพทย์เจ้าของไข้จะห้ามอย่างไร หากกรผกามารศรีก็ยืนยันไม่ยอมอยู่ที่โรงพยาบาล แต่จะกลับเข้ากรุงเทพมหานครเพื่อไปเยี่ยมดูอาการของทินพันธ์

ถึงแม้หญิงสาวเพิ่งจะฟื้นจากการผ่าตัด หากอาการของหญิงสาวกลับฟื้นตัวรวดเร็วเกินกว่าที่หมอคาดคิด ดังนั้น เมื่อหญิงสาวยืนกรานจะขอกลับเข้ากรุงเทพฯ หมอจึงจำใจต้องอนุญาต พร้อมกับกำชับให้หญิงสาวไปตรวจอาการอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ต่อไป

สารวัตรอาคมเป็นคนไปจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้กับทุกคน ตัวเขานั้นก็เดินทางกลับมาพร้อมกัน แต่เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ สารวัตรหนุ่มก็ขอตัวแยกไปก่อน เพราะต้องการจะไปติดตามความคืบหน้าของคดียิงถล่มบ้านตระกูลเกียรติมหึมามหาเศรษฐี

“เราจะกลับสลัมหรือไปโรงพยาบาลกันก่อนดีคะคุณหนู” แม่นิ่มเห็นดวงหน้าซีดเซียวของหญิงสาวแล้วเกิดความไม่แน่ใจ

“ไปโรงพยาบาลค่ะ” กรผกามารศรีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ไหวหรือคะลูกขา” คุณหญิงสายหยุดไม่ค่อยจะเห็นด้วยนัก หากไม่รู้จะห้ามได้อย่างไร สุดท้ายจึงต้องตามใจธิดาสาว ทุกคนเลยแห่กันไปเยี่ยมทินพันธ์ที่โรงพยาบาล

“อาหนูกรผกา…ไอ้หยา…ลื้อมาได้ยังไงเนี่ย” คุณนายกิมเฮียงทำตาโตราวกับเห็นผีหลอก เมื่อเห็นหญิงสาวเดินตรงเข้ามาด้วยท่าทางอ่อนแรง

“คุณทินพันธ์เป็นอย่างไรบ้างคะ” แทนที่จะตอบคำถามมารดาของชายหนุ่ม หญิงสาวกลับถามถึงอาการของเขาด้วยใจจดจ่อห่วงใย

“ยังไม่ดีเลย” คุณนายแม่ของชายหนุ่มทำหน้าเศร้า “เข้าผ่าตัดเป็นหนที่สองแล้ว”

“เอ๊ะ ทำไมต้องผ่าหลายหนขนาดนั้นด้วยคะคุณนาย” คุณหญิงสายหยุดเอื้อมมือไปจับคุณนายกิมเฮียงด้วยความเห็นอกเห็นใจ

หลังจากผ่านความเป็นความตายของกรผกามารศรีมาแล้ว คุณหญิงสายหยุดก็ได้รู้ว่าลูกนั้นเป็นที่รักยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ เมื่อเห็นมารดาของทินพันธ์มีสีหน้าโศกเศร้าเพราะเป็นห่วงบุตรชาย คุณหญิงสายหยุดจึงเข้าใจความรู้สึกนั้นได้ดี

“วันแรกอาทินพันธ์โดนกระสุนฝังในหลายนัด” คุณนายกิมเฮียงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “หมอผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิต โชคดีที่พอจะหาเลือดกรุ๊ปบีเนกาตีฟมาได้ก็เลยรอด แต่พอวันต่อมา อาทินพันธ์ฟื้นแล้วเกิดมองอะไรไม่เห็น หมอเอาไปตรวจดูใหม่เลยพบว่ามีเศษลูกปืนกระเด็นไปฝังอยู่ในลูกตาทั้งสองข้าง”

“แบบนี้ก็ตาบอดแหงเลยสิคะ” เก่งที่บัดนี้กลายเป็นสาวสวย จีบปากจีบคอพูดด้วยท่าทางฉอเลาะ

“หา…” คุณหญิงสายหยุดเองก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม “แบบนี้ก็มองไม่เห็นน่ะสิคะ”

“ฉันก็ยังไม่รู้เลย” คุณนายกิมเฮียงส่ายหน้าไปมาด้วยความรู้สึกท้อแท้ “หมอบอกว่าไม่รับประกันอะไรทั้งสิ้น อาทินพันธ์อาจจะหายหรืออาจจะตาบอด โอกาสมีเท่าๆ กัน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับบุญกรรมของอาทินพันธ์มันแล้วละ”

“น่าสงสารนะคะ” คุณหญิงสายหยุดพูดจากใจจริง “ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ ตาบอดไปแบบนี้ก็หมดอนาคต”

“ฉันห่วงแต่ว่าใครจะคอยดูแลอาทินพันธ์…คนตาบอดแบบนี้จะมีผู้หญิงคนไหนมารักและห่วงใย” คุณนายกิมเฮียงน้ำตาริน “ตอนฉันอยู่ก็ยังดี แต่อีกหน่อยฉันแก่ตัวตายไป ใครจะคอยดูแลลูกของฉันล่ะ”

“ดิฉันไงคะ” กรผกามารศรีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ดวงตาที่จ้องมองมารดาของทินพันธ์นั้นแน่วนิ่ง “ดิฉันจะดูแลคุณทินพันธ์เอง”

“หนูกรผกา!”

คุณหญิงสายหยุดและคุณนายกิมเฮียงร้องอุทานออกมาพร้อมๆ กัน สตรีทั้งสองรู้สึกประหลาดใจแกมดีใจกับการตัดสินใจของหญิงสาวร่างระหง ทั้งที่ก่อนหน้านี้แล้ว กรผกามารศรีแสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ทินพันธ์มาโดยตลอด

“โอ…แม่เจ้า” เก่งทำตาโตราวกับถูกผีหลอก “เป็นไปไม่ได้ น้องกรผกาเกลียดคุณทินพันธ์อย่างกับอะไรดี”

“เกิดอะไรขึ้นคะคุณหนู” แม่นิ่มยกมือขึ้นแตะหน้าผากของหญิงสาว “นี่คุณหนูจับไข้ไปหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะแม่นิ่ม” หญิงสาวหันไปบอกแม่นมคนเก่าแก่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กรผกาไม่ได้จับไข้ ไม่ได้เพ้อหรือเสียสติ แต่กรผกาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ดูแลคุณทินพันธ์จนกว่าจะหายดี กรผกาอยากชดใช้ให้กับเขา เพราะที่คุณทินพันธ์ป่วยหนักครั้งนี้ จะว่าไปแล้วก็มีสาเหตุมาจากกรผกาแท้ๆ พ่อสอนกรผกาให้เป็นคนซื่อสัตย์ ยึดมั่นในอุดมการณ์และคุณธรรมที่ดีงาม กรผกาจะรับผิดชอบและไถ่โทษด้วยการดูแลคุณทินพันธ์เองค่ะ”

 

เครื่องปรับอากาศในห้องคนไข้นั้นปรับอุณหภูมิเอาไว้น่าสบาย หากชายหนุ่มค่อยๆ ขยับกายด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย เขาพยายามจะลืมตาขึ้นมองสภาพแวดล้อมรอบกาย หากทุกสิ่งมีแต่ความมืดมน

“หม่าม้า…” ชายหนุ่มเรียกหาผู้เป็นมารดา “หม่าม้าอยู่ที่ไหน…ผมมองไม่เห็น มืด…มืดเหลือเกิน ผมมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง…ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

ไม่มีเสียงตอบจากผู้เป็นมารดา ทินพันธ์ได้ยินแต่เพียงเสียงกุกกักจากเก้าอี้ยาวที่ปลายเตียง เหมือนกับใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นขยับตัวลุกขึ้นยืน

“หม่าม้า…ผมคอแห้งจังเลย…หิวน้ำ”

มีเสียงรินน้ำใส่แก้ว ก่อนที่ฝีเท้าของคนที่เฝ้าเขาอยู่ในห้องเดินตรงมายังเตียงผู้ป่วย ทินพันธ์ขมวดคิ้วมุ่น ด้วยไม่ชินกับเสียงฝีเท้าแผ่วเบานั้น ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับกลิ่นดอกกล้วยไม้รวยรินมากับสายลม ก่อนที่มือนุ่มนิ่มจะจับมือเขาขึ้นมาแล้วส่งแก้วน้ำให้ พร้อมกับบอกด้วยเสียงเสนาะใสเป็นกังวานว่า

“นี่ค่ะน้ำ ค่อยๆ ดื่มนะคะ เดี๋ยวจะสำลัก”

ทินพันธ์นิ่งขึงด้วยความตกใจแกมตกตะลึง…ไม่จริง…เป็นไปไม่ได้…เขาพร่ำบอกกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก…นี่เราฝันไปหรือเปล่า

“กรผกา…” เขาละล่ำละลัก เนื้อตัวชาดิกราวกับถูกไฟชอร์ต “กรผกามารศรีใช่ไหมครับ”

“สงสัยไม่ใช่มังคะ” หญิงสาวแกล้งว่า “อาจจะเป็นวิกกี้ก็ได้”

“อย่าไปพูดถึงวิกกี้เลยครับ เรื่องมันจบไปนานแล้ว ผมไม่ได้รักวิกกี้ ไม่เคยเลยด้วยซ้ำ นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม…กรผกามารศรี…ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะใครกัน” เขาไม่ยอมรับแก้วน้ำจากมือหญิงสาว หากจับมือเนียนนุ่มของกรผกามารศรีเอาไว้แน่น “ผมจำเสียงคุณได้”

หญิงสาวพินิจพิจารณาดวงหน้าคมสันของเขาแล้วอดรู้สึกสลดใจไม่ได้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะฟื้นคืนสตินั้น หมอบอกข่าวร้ายให้ทุกคนได้ทราบว่า เศษกระสุนปืนของเสี่ยช้วนนั้นฝังอยู่ในลูกตาทั้งสองข้างของชายหนุ่ม และกดอยู่ตรงประสาทตาพอดี จึงทำให้ทินพันธ์มองไม่เห็น

วิทยาการการผ่าตัดของเมืองไทยนั้นยังไม่ก้าวหน้าพอ อีกทั้งตำแหน่งที่เศษกระสุนปืนฝังอยู่นั้น เป็นตำแหน่งอันตรายมาก หากพลาดพลั้งไปเพียงเล็กน้อย ประสาทตาของทินพันธ์อาจจะถูกทำลายถาวร และนั่นหมายถึงว่าชายหนุ่มจะไม่มีโอกาสกลับมามองเห็นอีกเลยตลอดชีวิต

‘มีทางเดียวเท่านั้น คือคุณทินพันธ์ต้องไปผ่าตัดที่อเมริกา’ คุณหมอสรุป ‘เศษกระสุนฝังอยู่ใกล้กับประสาทตามาก ทางเราไม่ชำนาญพอจึงไม่กล้าทำการผ่าตัดเอาเศษกระสุนออก เพราะถ้าพลาดไปละก็ คุณทินพันธ์อาจจะตาบอดไปจริงๆ เลยก็ได้ หมอมีเพื่อนอยู่ที่อเมริกา เขามีความชำนาญมากและมีเครื่องมือพร้อมพรั่ง ถ้าคุณทินพันธ์ฟื้นตัวและแข็งแรงดีกว่านี้แล้ว ผมแนะนำว่าควรจะต้องไปรักษาตัวต่อที่อเมริกาครับ’

หล่อนถอนใจยาว ไม่ดึงมือออกจากมือของชายหนุ่มเหมือนอย่างเคย

ดวงหน้าของกรผกามารศรีร้อนผ่าวด้วยความรู้สึกเขินอาย หัวใจของหล่อนเต้นแรงสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย เลือดของหล่อนที่มีเลือดของเขาปนอยู่ด้วย

ก่อนหน้านี้หล่อนเคยรังเกียจนายทินพันธ์ เกียรติมหึมามหาเศรษฐี เป็นอย่างมาก เกลียดชนิดที่ไม่อยากมองหน้า เกลียดทั้งที่เขาไม่เคยทำอะไรเธอสักนิด แต่เมื่อมาถามตัวเองว่า ที่จริงหล่อนเกลียดทินพันธ์ที่ตรงไหน กรผกามารศรีกลับตอบไม่ได้ เกลียดเพียงเพราะว่าชาติตระกูลที่เขาเป็นคนจีน เพียงเพราะเป็นตระกูลเศรษฐีใหม่ เพียงเพราะมีพ่อเป็นนักเลงเจ้าของบ่อนพนันอย่างนั้นหรือ…อาจจะใช่…แต่คนเราก็เลือกเกิดกันไม่ได้นี่นะ

ถ้าตัดประเด็นเหล่านั้นไปแล้ว ทินพันธ์จัดได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปหล่อที่เลิศเลอเพอร์เฟกต์ สมบูรณ์แบบไม่แพ้ใครในกรุงเทพมหานคร ยังจะฐานะการเงินและการศึกษาของทินพันธ์อีกต่างหาก ทุกอย่างดูสมกันดีกับลูกสาวผู้ดีเก่าอย่างหล่อนยิ่งนัก

แต่…คำว่าสมกันดีนั้น เป็นคำที่บัดนี้หล่อนไม่สามารถจะพูดได้เต็มปากอีกต่อไป ถึงจะเป็นตระกูลขุนนางเก่า หากวันนี้ฐานะของตระกูลมรกตได้เปลี่ยนไปแล้ว

หล่อนไม่เหมาะสมอะไรกับเขาทั้งนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา กรผกามารศรียังหลงวนเวียนอยู่ในความเพ้อฝัน เมื่อตื่นขึ้นมาพบกับความจริง หล่อนจึงพบว่า ที่จริงแล้วตนเองไม่คู่ควรกับทินพันธ์เลยสักนิด

จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา ทินพันธ์แสดงให้เห็นแล้วว่าเขารักหล่อน แล้วหล่อนล่ะ…รักเขาหรือเปล่า

กรผกามารศรีส่ายหน้าไปมา ไม่ยอมตอบคำถามนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วว่าหล่อนจะรักทินพันธ์หรือไม่ เพราะวันนี้คนที่ไม่คู่ควรก็คือหล่อน…ไม่ใช่เขา

กรผกามารศรีจึงตั้งใจว่าจะใช้เวลาที่มีอยู่ คอยดูแลทินพันธ์จนกว่าจะหายตาบอด แล้วหล่อนก็จะจากไปตามทางของตนเอง โดยไม่เรียกร้องอะไรเลย

 



Don`t copy text!