
ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 11 : จิตใต้สำนึก
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
ชุดสีดำสลับขาวในชุดสูทสุภาพ ชุดเดรสยาวสีดำดูเรียบร้อยของผู้คนที่ทยอยกันเข้ามาในเขตวัด เพื่อเข้ามายังศาลาที่จัดพิธีศพของทิพย์ปภา บรรยากาศภายในศาลาเงียบเหงา เศร้าสร้อย มีบทเพลงที่ทิพย์ปภาชอบเปิดคลอไว้เบาๆ ทำให้งานยังคงมีเสียงอยู่บ้าง แขกที่มางานต่างใจหายและไม่คาดคิด ทุกคนมาร่วมแสดงความเสียใจกับครอบครัวสุทธิภัทร
สลิลทิพย์ยืนต้อนรับแขกที่มาในงาน ดวงตาแดงก่ำน้ำตาคลออยู่ตลอดเวลา แต่ความเข้มแข็งของเธอทำให้เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนไม่กี่ชั่วโมงก่อน คีตะวิ่งวุ่นประสานงานภายในวัดให้สลิลทิพย์เพื่อให้งานศพของแม่เธอสะดวกสบายที่สุด เขาเป็นเหมือนที่พึ่งอีกคนหนึ่งของเธอในยามนี้ คณณัฐขอบตาดำคล้ำเหมือนคนไม่ได้นอนนั่งมาในรถพร้อมพ่อแม่เพื่อมาร่วมงาน ทว่าไม่ทันจะเลี้ยวเข้าวัดเขาต้องชะงักกึกไป เที่ยงในร่างคณณัฐไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ จู่ๆ คณณัฐก็ตัวสั่น คีตกานต์ คณินทร์ตกใจมากรีบเข้าไปดูลูก สักพักคณณัฐก็สงบลง หลับไปไม่ได้สติ
“คีตะ ลูกช่วยมาดูพี่ณัฐหน่อยเป็นอะไรไม่รู้” คีตกานต์รีบโทรศัพท์หาคีตะให้มาที่รถที่จอดอยู่บริเวณหน้าศาลาทิพย์ปภา คีตะรีบขอตัวจากแขกภายในงานวิ่งมาที่รถ
“พี่ณัฐๆ” คีตะรีบปลุก “ทำไมพ่อไม่พาพี่ณัฐไปโรงพยาบาล” คณินทร์กำลังจะตอบแค่คีตกานต์รีบแทรก เพราะรู้ว่าคีตะกำลังจะหงุดหงิดพ่อ
“พี่ณัฐเพิ่งเป็นเมื่อกี้ก่อนเข้ามาที่วัดนี่เอง” ไม่นานนักคณณัฐก็ได้สติ เขามองหน้าทุกคนด้วยความสงสัย
“นี่ผมอยู่ที่ไหนครับ” เขามองไปรอบๆ เห็นว่าตนเองอยู่บนรถก็สับสนไม่เข้าใจว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วเดี๋ยวพ่อเข้าไปดูภัทรก่อนนะคุณ” คณินทร์บอกภรรยา
“พี่ณัฐอำอะไรผมกับแม่หรือเปล่าเนี่ย” คีตะไม่เข้าใจที่คณณัฐพูด เขาเดินลงจากรถมองไปรอบๆ เขารับรู้ว่าทิพย์ปภาเสียชีวิต เขานั่งรถกลับบ้าน แต่หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย รู้แค่ว่าได้ยินเสียงใครแว่วๆ เข้าหูว่า ใครจะทำให้สมหวังอะไรสักอย่าง คณณัฐพาคีตกานต์เข้าไปในงาน คีตะกลับมาช่วยสลิลทิพย์ต้อนรับแขก
หลังจากนั้นไม่นานพระก็เริ่มพิธีศพ ทุกคนที่มาล้วนตั้งใจมาส่งทิพย์ปภาเป็นครั้งสุดท้าย ภายในความคิดของสลิลทิพย์ เธอยังไม่อยากคิดว่าแม่ของเธอเสียแล้ว แต่ภาพตรงหน้าที่เห็นก็ทำให้เธอหลีกเลี่ยงความจริงไปไม่พ้น สุทธิภัทรนั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จากับใคร เขารับไหว้แขกในงานทั้งหลายตามหน้าที่ แม้แต่ คณินทร์เพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างเขามาตลอดทั้งชีวิต สุทธิภัทรก็ยังไม่มองหน้าเขาแม้แต่น้อย
“คุณ ภัทรไหวหรือเปล่า” คีตกานต์กระซิบถามสามี
“ผมก็ไม่แน่ใจ ภัทรเงียบมาตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่คุณกลับไป”
“ฉันกลัวใจว่าภัทรจะทำใจเรื่องนี้ไม่ได้” คีตกานต์เป็นกังวล
“ผมจะคอยพูดกับภัทรก็แล้วกัน” คณินทร์เป็นห่วงเพื่อนไม่แพ้คีตกานต์ สุทธิภัทรเคยสติหลุดมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต แม่ของเขาเสียได้ไม่นาน พ่อก็ตรอมใจและไม่นานก็เสียชีวิตลง หลังจากนั้นสุทธิภัทรก็กลายเป็นคนละคน เขามีอารมณ์รุนแรง บุ่มบ่าม ใจร้อน เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปเสียหมด แถมกลายเป็นนักเที่ยว นักดื่มตัวยง จนเขาพลาดพลั้งมีสลิลทิพย์ขึ้นมา พอเขามีครอบครัวทิพย์ปภาก็ทำให้เขากลับมามีสติอยู่กับร่องกับรอยได้อีกครั้ง แต่กระนั้นตอนที่เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คณินทร์เองก็แทบจะต่อยกับสุทธิภัทรอยู่หลายรอบ เพราะเขาชอบเข้ามายุ่งกับคีตกานต์ผู้เป็นคู่หมั้นของเขาในตอนนั้น คณินทร์ไม่แปลกใจที่ภรรยาของเขาจะหวั่นใจเรื่องสุทธิภัทร
“ภัทรคงไม่กลับไปเป็นคนแบบนั้นหรอกคุณ เขามีลูกอยู่อีกทั้งคน” คณินทร์มองในแง่ดี
“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น” คณณัฐนั่งอยู่ไม่ห่างได้ยินที่พ่อกับแม่คุยกันก็หวั่นใจเป็นห่วงคีตกานต์ขึ้นมาทันที สายตาของเขามองสุทธิภัทรเปลี่ยนไป เขาปะติดปะต่อเรื่องราวจากพฤติกรรมแปลกๆ ของน้าทิพย์ปภาในวันงานและอากัปกิริยาของสุทธิภัทร ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวในอดีตของพ่อกับแม่ได้ เขารู้สึกประหลาดใจที่ในวันนี้เขาเองก็ห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดกับสลิลทิพย์อีกไม่ได้แล้ว ทั้งๆ ที่คีตะก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของเขาที่เขาจะไม่มีวันทำให้น้องเสียใจ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขากำลังต่อสู้กันอยู่ในตัว ยิ่งเขาเห็นคีตะคอยอยู่ข้างๆ สลิลทิพย์ เขาก็ยิ่งรู้สึกอิจฉา
‘ตรงนั้นควรเป็นฉันมากกว่านายนะคีร์’ คณณัฐคิด
บรรดาแขกที่มางานเริ่มทยอยกันกลับบ้าน ศาลาภายในวัดก็ดูเงียบสนิท สลิลทิพย์เคาะโลงบอกลาแม่เบาๆ คีตะคอยจับมือเธออยู่ข้างๆ เขาส่งความรู้สึกบอกทิพย์ปภาไม่ต้องเป็นห่วงเขาจะดูแลสลิลทิพย์ให้อย่างดีที่สุด
“ภัทร นายกินอะไรหน่อยไหม” คณินทร์เอาชุดขนมที่แจกแขกมาให้เพื่อน เขาเริ่มเป็นห่วงเพื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ สุทธิภัทรปัดกล่องขนมหล่นกระจายทั่วพื้น สลิลทิพย์เห็นพ่อโมโหก็ตกใจรีบเข้ามาหา
“พ่อคะ” สุทธิภัทรแทบไม่มองหน้าลูกสาวตัวเอง คีตกานต์มองหน้าสุทธิภัทร แววตาของสุทธิภัทรเกรี้ยวกราดขึ้น ดูไม่เหมือนสุทธิภัทรคนเดิม
สลิลทิพย์ไม่ทนอีกต่อไป เธออึดอัดอยากคุยอยากระบายกับพ่อมากที่สุด จนระเบิดคำพูดออกมา “พ่อเป็นอะไร หนูเห็นพ่อไม่พูดไม่จากับใครมาตั้งแต่เมื่อวาน กับหนูพ่อก็ไม่สนใจ” สลิลทิพย์ตาแดง เธอเสียแม่ไปคนหนึ่งแล้ว แถมยังต้องมารู้สึกแย่กับพ่อตนเองอีก
“แกไม่ต้องสนใจอะไรฉัน ชีวิตแกต่อจากนี้อยากทำอะไรก็ทำ เพราะฉันเองก็จะทำในสิ่งที่ฉันต้องการ” เป็นครั้งแรกที่สุทธิภัทรพูดจาไม่ดีกับลูก สลิลทิพย์แปลกใจสับสนไปหมด คีตะพยายามห้ามเธอไม่ให้ทะเลาะกับพ่อ อีกฝั่งหนึ่งคณินทร์กับคีตกานต์ก็คอยปรามเพื่อน ส่วนคณณัฐกลายเป็นคนนั่งดูเวทีพ่อแม่ลูกทะเลาะกัน
“พ่อเป็นอะไร หนูสงสัยตั้งแต่ที่พ่ออุ้มแม่ออกจากงานเมื่อคืน พ่อคุยอะไรกับแม่กันแน่”
“นี่แกหาว่าฉันเป็นคนส่งแม่แกไปตายงั้นเหรอ”
“หนูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น หนูเห็นคุณน้ากับคุณแม่ทะเลาะกัน แล้วคุณพ่อก็พาคุณแม่ออกจากงาน ไม่นานคุณแม่ก็ประสบอุบัติเหตุ” สลิลทิพย์เริ่มพูดไปน้ำตาไหลไป สุทธิภัทรไม่ได้สนใจน้ำตาของลูกสาวเลยแม้แต่น้อย
“ใช่ พ่อแกนี่แหละเป็นคนยัดกุญแจรถใส่มือแม่แกเอง พ่อเองนี่แหละที่ไล่แม่แกไปตาย” สุทธิภัทรพรั่งพรูความรู้สึกออกมา เขาสะเทือนใจ ฝังใจกับสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างมาก การโทษตัวเองของเขากลับกลายเป็นความพาลต่อคนรอบข้าง อย่างที่คณินทร์และคีตกานต์หวั่นใจ
“พ่อก็รู้ว่าแม่ดื่มมา ทำไมพ่อยังให้กุญแจรถแม่ไปอีก” สลิลทิพย์ร้องไห้จับแขนพ่อเขย่าแรงๆ
“รำคาญ ซักไซ้ไปแม่แกก็ไม่ฟื้นขึ้นมา” สุทธิภัทรหัวเสีย เขาสะบัดแขนลูกสาวทิ้งอย่างแรงจนเธอเซ คีตะรับตัวสลิลทิพย์ไว้ทัน สลิลทิพย์ขอบคุณคีตะเบาๆ
“พอได้แล้วภัทร” คณินทร์ขึ้นเสียงใส่สุทธิภัทร สุทธิภัทรเงียบลงเล็กน้อย เขาเดินออกจากศาลาไปอย่างหัวเสีย ขึ้นรถขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้สลิลทิพย์ยืนร้องไห้อยู่คนเดียว
“ไม่เป็นไรนะหนูทิพย์ ให้เวลาคุณพ่อหน่อย” คีตกานต์เข้ามาปลอบ เธอมองหน้าสามี ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้าใจและเริ่มเป็นห่วงเหตุการณ์ต่อจากนี้
“กลับบ้านกันเถอะครับ เดี๋ยวพี่ไปส่งทิพย์ที่บ้านนะ” คณณัฐลุกขึ้นมาพูดกับทุกคน
“ไม่เป็นไรพี่ณัฐ ผมขับไปส่งทิพย์ได้”
“ลืมไปแล้วเหรอ คืนนี้เรามีซ้อมใหญ่งานแสดงดนตรีของคณะที่ทำกับกรมศิลป์” คีตะนึกขึ้นได้ เขาลืมไปเสียสนิทเลย “คนที่งานเขาโทรศัพท์มาตามที่พี่แล้วนะ รีบไปเถอะ” คณณัฐเร่งให้คีตะรีบไป
“ไปเถอะลูก หนูทิพย์ไปกับบ้านเราไม่ต้องเป็นห่วง” คีตกานต์ช่วยเสริม สลิลทิพย์รู้สึกขอบคุณครอบครัวของคีตะอยู่ในใจ ถ้าไม่มีคีตะไม่มีครอบครัวนี้เธอก็คงตัวคนเดียวไม่มีที่พึ่งที่ไหนอีก เธอเป็นห่วงความรู้สึกของสุทธิภัทรมาก พ่อไม่เคยเป็นแบบนี้ ต่อให้เกิดอะไรขึ้นคนที่มีสติที่สุดในบ้านก็คือสุทธิภัทร แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เธอร้อนใจเป็นห่วงและกังวลจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
สลิลทิพย์ร้อนใจนั่งไม่เป็นสุข คณณัฐคอยปลอบเธออยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อถึงบ้านเธอขอตัวกลับบ้านทันที เธออยากคุยกับพ่อให้รู้เรื่อง คณณัฐขอเดินไปส่ง ร่างของคณณัฐเดินผ่านแสงไฟปรากฏเงาสองเงาพาดผ่านพื้นถนน
“พี่อยากให้ทิพย์ใจเย็นๆ มีอะไรค่อยๆ พูดจากับคุณพ่อดีๆ” คณณัฐอยากดูแลสลิลทิพย์ เธอยกมือไหว้ขอบคุณ ความห่างเหินของเธอกับคณณัฐมีมาตลอด ยิ่งมาวันนี้คณณัฐยิ่งสัมผัสได้ เขาจับมือเธอที่กำลังไหว้เขา “ไม่ต้องไหว้พี่หรอก พี่อยากให้ทิพย์รู้ว่าพี่เป็นห่วงทิพย์มากนะ” สลิลทิพย์เข้าใจในสายตาและมือที่เขาจับได้เป็นอย่างดี เธอรู้ว่าคณณัฐรู้สึกอย่างไร เธอรีบดึงมือตนเองออกจากมือของเขา และเดินเข้าบ้านไปทันที
พี่จะทำให้ทิพย์กลับมาใจอ่อนกับพี่ให้ได้
เสียงโทรศัพท์คณณัฐดังขึ้น หน้าจอขึ้นชื่อน้องชายสุดที่รัก คณณัฐมองมือถือแล้วปิดเสียงทันที แววตาอิจฉาของเที่ยงฉายขึ้นมาซ้อนทับความอ่อนโยนของคณณัฐ
“ทิพย์ถึงบ้านหรือยัง คีร์จะโทรถามพี่ณัฐพี่ณัฐก็ไม่รับสาย” คีตะร้อนใจ
“ถึงแล้วไม่ต้องห่วงนะ” น้ำเสียงสลิลทิพย์ยิ่งได้ยิน ปลายสายก็ยิ่งเป็นห่วง เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ป้าสมัยถือถาดขนม นม ของว่างมาให้ สลิลทิพย์แปลกใจ
“คีร์บอกป้าสมัยเอง เพราะรู้ว่าทิพย์จะต้องไม่กินข้าว” ป้าสมัยยิ้มให้ พร้อมกับเดินถือถาดเข้ามาวางที่โต๊ะ
“ทานให้หมด แล้วพักผ่อนเยอะๆ นะทิพย์ คีร์เป็นห่วงทิพย์มากนะคะ”
โทรศัพท์วางลง พร้อมกับมือที่ค่อยๆ หยิบขนม นม ใส่ปาก ยังไม่ทันได้กลืนน้ำตาของสลิลทิพย์ก็ไหลพราก สลิลทิพย์รับรู้ถึงความเป็นห่วงของเขา แม้ในยามที่เธอเงียบ คีตะก็จะอยู่ข้างๆ เธอโดยไม่ซักถามใดๆ
“ขอบคุณนะคีร์” สลิลทิพย์พึมพำกับตัวเอง เธอได้ยินเสียงรถสุทธิภัทรขับเข้ามาในบ้าน ไม่ทันที่เธอจะเดินออกไป เสียงประตูห้องของพ่อก็ปิดลงเสียงดัง นั่นหมายถึงเขาไม่อยากให้ใครรบกวนและไม่พร้อมจะคุยกับใคร สลิลทิพย์เองก็เหนื่อยจนเกินกว่าจะเข้าไปเคลียร์กับพ่อในตอนนี้
ที่โถงห้องรับแขกบ้าน คณินทร์ คีตกานต์นั่งคุยกันอย่างเคร่งเครียด บรรยากาศภายในบ้านสัมผัสได้ถึงความวิตกกังวล ทั้งสองขมวดคิ้วอยู่เงียบๆ ยามที่เครียดจัดคณินทร์จะเล่นเปียโนเพื่อผ่อนคลายความรู้สึก และผ่อนคลายความตึงเครียดในบ้าน เสียงเปียโนนั้นบาดเข้าไปในหูของคณณัฐที่กำลังเดินเข้าบ้าน เงาสะท้อนสองเงาบนพื้นถนน มีท่าทางคล้ายอดทนฟังเสียงเปียโนไม่ไหวจนต้องยอมออกจากร่าง
คณณัฐเบลอคล้ายคนเพิ่งตื่นนอนยืนอยู่อย่างโคลงเคลง เขาตั้งสติมองไปรอบๆ เห็นว่าถึงบ้านตนเองเรียบร้อย เขารู้สึกถึงความผิดปกติแต่พยายามไม่คิดอะไร เดินกลับเข้าไปในบ้าน ความสงสัยที่มีต่อความสัมพันธ์ของพวกพ่อกับแม่ยังคงอยู่ในสติสัมปชัญญะแรกของเขา
“ผมควรรู้เรื่องอะไรไหมครับพ่อ แม่” คณณัฐเดินเข้ามาหา ทั้งสองคนมองหน้ากันคิดว่าควรจะบอกลูกดีไหม “ผมไม่บอกเจ้าคีร์หรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง” เขารู้ว่าพ่อกับแม่รักคีตะมาก ไม่อยากให้น้องต้องรับรู้หรือแบกรับเรื่องที่ไม่ดีของบ้าน ผิดกับเขาที่เป็นพี่ คณณัฐรับรู้ทุกเรื่องราวในบ้านเป็นอย่างดีไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ พ่อก็จะมาลงกับเขา
“ลูกรู้ใช่ไหมว่า ลุงภัทรเป็นเพื่อนของพ่อกับแม่มาตั้งแต่มหาลัย” คณินทร์เปิดเรื่อง
“ครับ ผมทราบครับ”
“ลุงภัทรสูญเสียพ่อกับแม่ของตนเองตั้งแต่สมัยอยู่ปีสี่ เขาฉลองความสำเร็จที่กำลังจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัย แต่คืนนั้นแม่ของลุงภัทรก็เสียชีวิต เธอหัวใจวายเฉียบพลันอย่างไม่ทันตั้งตัว ลุงภัทรกลับไปไม่ทันดูใจแม่ หลังจากแม่เสียชีวิตไม่นาน พ่อของเขาก็ตรอมใจตายตามไปอีกคน” คณณัฐฟังเรื่องของสุทธิภัทรแล้วรู้สึกหดหู่มาก
“แล้วหลังจากนั้น ลุงภัทรก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนเรียบร้อยใจเย็น กลายเป็นคนอารมณ์ร้ายใจร้อน หุนหันพลันแล่น พูดจาไม่ไว้หน้าใครแม้แต่กับพ่อของลูกก็ตาม” คีตกานต์เสริม
“ลุงเคยโมโหใส่พ่อด้วยเหรอครับ”
“ยิ่งกว่านั้นคือ ลุงภัทรกับพ่อของลูกทะเลาะกันใหญ่โต จนถึงขั้นชกต่อยกันจนแทบจะตัดเพื่อน” คีตกานต์เล่าข้ามประเด็นสำคัญไป เพราะไม่อยากให้ลูกรู้เรื่องราวส่วนตัวของตน
“เพราะลุงภัทรชอบแม่ใช่ไหมครับ” คณณัฐพูดออกมาตรงๆ คีตกานต์ คณินทร์ต่างตกใจ
“ลูกรู้”
“ผมก็เดาเอาจากเรื่องที่เกิดขึ้นน่ะครับ”
“ใช่ ลุงภัทรเคยชอบแม่ของเรามาตั้งแต่ปีหนึ่ง ก่อนแม่ของเราจะได้เจอพ่อไม่นาน” คณินทร์ยอมรับ
“แล้วเวลาลุงภัทรเปลี่ยนไปเขาเป็นยังไงครับ” คณณัฐอยากรู้
“ก็แทบไม่ต่างจากวันนี้ที่ลูกเห็น ลุงภัทรจะไม่สนใจคนรอบข้างว่าจะรู้สึกยังไง เป็นยังไง เหมือนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีถูกปิดกั้นไป” คีตกานต์พูดไปน้ำตาจะไหลไป คณินทร์โอบตัวภรรยาเข้ามากอด
“ลุงภัทรกินเหล้าหนัก เมาหัวราน้ำทุกวัน เที่ยวผู้หญิงเป็นว่าเล่น จนพลาดพลั้งและมีสลิลทิพย์เกิดขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็กลับเป็นสุทธิภัทรคนเดิม”
“อย่างนี้ลุงภัทรเป็นคนสองบุคลิกหรือเปล่าครับพ่อ” พอคณณัฐพูด คณินทร์ คีตกานต์ก็คิดตาม รู้สึกเหมือนมีความเป็นไปได้ เพราะในสมัยก่อนโรคนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าไรเลยไม่มีใครนึกถึงและคิดที่จะรักษา
“พรุ่งนี้ผมจะลองไปคุยกับภัทรดู” คณินทร์จับมือคีตกานต์อย่างอ่อนโยน คณณัฐรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ ที่พ่อแม่ยังปิดบังเขาอยู่ และต้องเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้แม่ของเขาสีหน้าเปลี่ยนไปจนดูวิตกกังวลเกินจำเป็น
ย่ำรุ่งใกล้แสงอาทิตย์จะขึ้นที่ขอบฟ้า ในโรงละครที่นั่งทุกที่ว่างเปล่า มีแสงไฟสว่างไสวบนเวทีเพื่อใช้ในการตกแต่งจัดเตรียมงานเพื่อแสดงดนตรีไทย ครั้งนี้จัดขึ้นโดยกรมศิลปากรมีจุดประสงค์เพื่อรักษา ส่งเสริม สร้างสรรค์ เผยแพร่ อีกทั้งสืบทอดมรดกทางศิลปะวัฒนธรรมของชาติ ทางกรมฯ ได้จัดงานร่วมกับคณะที่คีตะเรียนอยู่ อาจารย์ทางมหาวิทยาลัยได้คัดเลือกนักเรียนที่จะขึ้นแสดงร่วมกับศิลปินแห่งชาติในแต่ละสาขานั้นๆ คืนนี้เป็นคืนจันทร์เพ็ญนักเรียนนักศึกษาทุกคนจึงถือฤกษ์งามยามดีบวงสรวงครูบาอาจารย์ ถือเป็นการไหว้ครูก่อนจะทำการแสดงครั้งใหญ่
เสียงดนตรีไทยทั้ง ระนาด ฉิ่ง กรับ กลอง ขลุ่ย จระเข้ ขิม ซอด้วง ซออู้ ซอสามสาย ตะโพน และเครื่องดนตรีอื่นๆ ได้ถูกนำจัดเรียงเพื่อจุดธูปไหว้เคารพ แท่นพิธีมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายสำหรับทำพิธีไหว้ครู นักเรียนนักศึกษา พนักงาน เหล่าศิลปิน และทุกฝ่ายต่างเข้ามานั่งรวมกันอยู่บนเวทีที่ถูกจัดตกแต่งอย่างสวยงาม พร้อมกับมุมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อทำพิธีไหว้ครู ครูผู้อ่านโองการทำพิธีนุ่งขาวห่มขาว จุดธูปเทียนบูชาแล้วทำน้ำมนต์ ครูผู้ทำพิธีเป็นผู้อ่านโองการนำให้ผู้ร่วมพิธีว่าตาม เริ่มจากบูชาพระรัตนตรัย ไหว้ครูบาอาจารย์ บิดามารดา ขอพรต่างๆ ขณะทำพิธีเสียงบรรเลงวงปี่พาทย์เริ่มบรรเลงตามกันไป หลังจากนั้นถวายเครื่องสักการะบูชาและกล่าวลา ผู้ทำพิธีประพรมน้ำมนต์และเจิมเครื่องดนตรีต่างๆ จนครบ จึงนำน้ำมนต์มาประพรมให้กับเหล่านักเรียนนักศึกษา พนักงาน ศิลปินต่างๆ ทันทีที่น้ำมนต์ถูกประพรม คีตะยกมือไหว้รับตัวของเขาเย็นสะดุ้งเหมือนโดนน้ำแข็งปาใส่ เขาคิดในใจว่าใครโดนน้ำมนต์แล้วร้อนน่าจะไม่ใช่เรื่องจริง
“เฮ้ย คีร์สะดุ้งเลยเหรอวะ” เบส เพื่อนสนิทคีตะที่มาร่วมแสดงทักขึ้น
“มันเย็นนะเว้ย”
“เย็นที่ไหนวะ ก็น้ำปกติ” เบสมองเห็นคีตะขนลุกก็แซวไม่เลิก พริบตาที่น้ำมนต์โดนตัวคีตะก็ตัวสั่นเหมือนคนโดนผีเข้า สติของเขายังมีแต่กลับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เสียงกรีดร้องตกใจของหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ เขาดังขึ้น ทุกคนกระเจิงออกไปคนละทาง เบสรีบเขย่าตัวคีตะให้ได้สติ ตัวของคีตะหยุดนิ่ง เขาสลบไม่ได้สติไปทันที อาจารย์ที่คอยดูแลนักศึกษารีบเข้ามาพาร่างไม่ได้สติของคีตะไปโรงพยาบาล ทว่าไม่ทันได้ไป คีตะลุกขึ้นมานั่ง ตื่นขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนต่างตกใจขวัญหนีดีฟ่อกันไปหมด คีตะกลับมาหัวเราะเล่นกับเบสได้อย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันอย่างกลัวๆ รู้สึกเหมือนมีไอเย็นวูบมาที่สันหลังให้รู้สึกเย็นวาบกันไปทั่วหน้า
“ผีเข้าแล้วออกเร็วจังวะ” เบสถาม
“ผีเข้าอะไร กูได้ยินทุกอย่าง แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ สงสัยเครียด นอนไม่พอมาหลายวัน พอมานั่งนานๆ เส้นเลยกระตุก อย่าคิดมากน่าเพื่อน” คีตะหัวเราะกอดคอเบสเล่นเหมือนเด็กๆ แท้จริงแล้วเขารู้สึกได้ว่ามีพลังงานบางอย่างพยายามจะเข้ามาในร่างกายของเขา แต่เข้ามาไม่ได้
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 16 : ความรักที่ซุกซ่อน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 15 : แรงอาฆาตหวนคืน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 14 : กลับบ้าน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 13 : ม่านบังตา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 12 : กงล้อแห่งกาลคำสาป
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 11 : จิตใต้สำนึก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 3 : อัฏฐกรเมธา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 2 : เสียงเพรียกจากอดีต
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น