เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 2 : นักโทษ
โดย : ประดับยศ
เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco
แนวกำแพงปูนสูงเด่นที่ทอดขนานไปกับแนวป่ากุหลาบพันปีสีแดงชมพูละลานตานั้นมีทหารเวรยืนยามเป็นระยะ ดังนั้นเมื่อพบบุคคลในชุดพรางสีดำแบกสิ่งคล้ายกับม้วนผ้าสกปรกกลับเข้ามาที่ค่ายจตุรทิศก็ทำเอาทหารเวรเตรียมส่งสัญญาณพร้อมลงมือ แต่เมื่อทีมสังเกตการณ์ยกกล้องส่องทางไกลดูก็ถึงกับแตกตื่น ก่อนเสียงวอเรียกรหัส “จอมพลฯ เสด็จ” จะดังขึ้นเป็นทอดๆ อย่างเร่งร้อน เพราะคนแบกทรงตะโกนเรียกหาหมอประจำค่ายไม่หยุดตั้งแต่ก้าวผ่านประตูกำแพงเข้ามา แต่วรองค์บึกบึนนั้นกลับเสด็จตรงไปยังอาคารก่ออิฐถือปูนสีขาวขนาดสองชั้นอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ แทนที่จะไปตึกพยาบาล ทว่าคนที่วิ่งมาถึงก่อนไม่ใช่แพทย์ทหารประจำค่าย แต่เป็น ‘อารัญ’ หัวหน้าทีมองครักษ์ที่ไม่รอถวายความเคารพให้เสียเวลาแต่ปราดเข้าไปตรวจพระอาการก่อนทันที
“ฝ่าบาท! ทำไมเลือดเต็มองค์เลย ทรงบาดเจ็บตรงไหนกระหม่อม”
“ไม่ใช่เลือดเรา เลือดของเด็กคนนี้ต่างหาก หมออยู่ไหน”
คนแบกรับสั่งถึงหมออีกครั้งในยามที่ค่อยๆ วางภาระบนไหล่ลงบนเตียงในห้องพยาบาลของพระตำหนักกลางค่าย สีหน้าคนเจ็บที่ซีดเซียวจนแทบเป็นสีขาวเช่นเดียวกับหิมะบนยอดเขาด้านนอก ทำให้ผู้ที่ตั้งใจช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งด้วยการแบกข้ามชายแดนมาหลายกิโลเมตรหันพระพักตร์มาถามอย่างเริ่มหงุดหงิดเมื่อยังไม่เห็นวี่แววว่าหมอจะมาตามพระกระแสรับสั่ง เลยทรงหันมาลงกับคนใกล้ตัวอีกรอบ
“ไปเอาผ้ากับน้ำสะอาดมา เดี๋ยวเราจัดการเองระหว่างรอหมอ”
“เดี๋ยวกระหม่อมทำให้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไป-เอา-ผ้า-มา”
สุรเสียงห้วนที่ย้ำคำเดิมของตน ทำให้ราชองครักษ์รีบกลับออกไปยังห้องข้างๆ เพื่อเตรียมอุปกรณ์ตามพระประสงค์ วรองค์สูงจึงหันกลับมาจัดการร่างเล็กแบบบางที่ถูกวางคว่ำเอาไว้ ก่อนจะคว้ากรรไกรมาตัดเสื้อที่ด้านหลัง ออกเพื่อเตรียมทำความสะอาดแผลที่เต็มไปด้วยเลือด ทว่าตัดไปได้ครึ่งหนึ่งก็ทรงชะงัก ด้วยเครื่องแต่งกายภายในที่บ่งบอกว่ามิใช่ ‘เด็ก’ ดั่งที่ตนคิดไว้เลยแม้แต่น้อย ทำเอาชายชาตินักรบถึงกับเกือบเผลอกุมขมับ ก่อนจะหันไปพินิจร่างที่นอนคว่ำหน้านั้นอีกรอบอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า ทรงมองผิดไปถึงขนาดแยกไม่ออกระหว่างเด็กกับผู้หญิง!
“ผ้ากับน้ำสะอาดมาแล้วกระหม่อม”
เสียงราชองครักษ์ที่มาก่อนตัวทำให้สมเด็จฯ ทรงขยับพระองค์บังร่างเล็กไว้และดึงเสื้อที่ขาดไปเมื่อครู่ปิดคลุมให้มิดชิดมากที่สุด ทว่าก็ไม่พ้นสายตาสอดรู้สอดเห็นของอารัญไปได้
“อ้าว เสื้อขาดนี่นา พอดีเลยเดี๋ยวกระหม่อมเอาผ้าเช็ดทำความสะอาดแผลให้เจ้าเด็กนี่ก่อนดีกว่า”
“ไม่ต้อง…วางเอาไว้ แล้วนายไปตามหมออลินากับพยาบาลผู้หญิงมาด้วย”
“แต่หมอทหารมาถึงแล้วกระหม่อม…”
“ก็ให้กลับไป แล้วให้อลินาน้องสาวนายมาดูแลแทน ทั้งเรื่องรักษาคนเจ็บแล้วก็เรื่องอารักขาเราด้วย!”
“กระหม่อมจะไปบอกหมอทหารให้กลับไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ราชองครักษ์หนุ่มรีบกลับออกไปทันทีก่อนที่จะโดนเจ้านายกริ้วมากกว่านี้ และจากหางตาตนเองก็เห็นว่าสมเด็จฯ ก็ก้าวตามเขาออกมาจากห้องพยาบาลเช่นกัน ปล่อยให้พยาบาลหญิงล่วงหน้าเข้าไปดูอาการเบื้องต้นระหว่างที่รออลินาแพทย์หญิงประจำพระองค์ตามเข้าไปรักษาแทนหมอประจำค่ายที่ถูกเชิญกลับไปแทน
“เมื่อคืนภารกิจของเราล้มเหลว ทุกคนรายงานผลในพื้นที่รับผิดชอบด้วย”
สุรเสียงเข้มจัดของผู้ที่นั่งอยู่กลางโต๊ะในห้องประชุมชั้นล่างของพระตำหนักไม้สักนั้นเคร่งเครียดเสียจนทีมภารกิจลับแทบไม่กล้าหายใจ ในขณะที่องค์จอมพลฯ ทรงกวาดพระเนตรที่ทั้งดุและเปี่ยมไปด้วยความกดดันทีละคนเพื่อรอฟังคำตอบ
“ทุกจุดปฏิบัติการไม่สามารถเข้าถึงจุดนัดหมายได้กระหม่อม เนื่องจากมีทหารของสินธุรัฐเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างกะทันหัน และทหารอีกส่วนหนึ่งกระจายกำลังกันค้นหานักโทษแหกคุก ทำให้เราเข้าถึงเป้าหมายได้ลำบาก จากรายงานของสายข่าวยืนยันว่า นักโทษที่หลบหนีไปได้นั้นเป็นนักโทษแฟ้มสีขาว และเป้าหมายของเราถูกทหารของสินธุรัฐจับตัวไปรับโทษแทนกระหม่อม”
คำว่า ‘นักโทษ’ นี้ดูเหมือนว่าจะไปกระตุกต่อมกริ้วขององค์ประธานประชุมเข้าให้อีกครั้ง พระพักตร์คมคายน่ามองจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง สุรเสียงที่ห้วนอยู่แล้วก็ดูเหมือนว่าจะใส่พระอารมณ์ดุดันขึ้นอีกเท่าตัว
“ส่งคนไปสืบข่าวเพิ่มเติมและรายงานเราทุกชั่วโมง เราต้องการรู้พิกัดเป้าหมายที่ถูกจับตัวไปภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้ ส่วนทีมภารกิจให้กลับไปพักผ่อนและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับภารกิจที่สองด้วย”
เหล่าหน่วยทหารกองพิเศษต่างรับคำอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะทยอยออกจากห้องประชุมไปจนเหลือเพียงแค่อารัญ องครักษ์หนุ่มคู่พระทัยที่ยื่นแฟ้มสีขาวถวายให้ พร้อมรายงานเป็นการลับเฉพาะ
“สายของเรารายงานว่าท่านเตโชคุ้มครองนักโทษสำคัญคนหนึ่งหลบหนีออกมาตรงแนวป่าชายแดน แต่คนที่ถูกจับมีเพียงท่านเตโชคนเดียวกระหม่อม”
“แล้วนักโทษคนนั้น?”
“ทหารทั้งฝ่ายนั้นและฝ่ายเรายังหาตัวไม่พบ คนของเราคาดว่าจะเป็นนักโทษรหัส S (super secret) ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้กระหม่อม”
สมเด็จฯ ทรงทอดพระเนตรรายชื่อนักโทษในแฟ้มขาวอย่างถี่ถ้วน แต่ละบรรทัดนั้นหากมิใช่พระนามพระราชโอรส พระราชธิดา หรือพระประยูรญาติของสมเด็จพระราชาธิบดีที่สิ้นพระชนม์แล้วนั้น ก็ล้วนแต่เป็นผู้มีอำนาจที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของราชบัลลังก์สินธุรัฐแทบทั้งสิ้น แต่พระองค์ก็ยังทรงมองไม่เห็นคนที่เข้าเค้า ‘บุคคลสำคัญ’ ที่ท่านลุงจะเสี่ยงชีวิตเข้าแลกได้เลย
“ตอนนี้สถานการณ์การเมืองภายในสินธุรัฐยังไม่นิ่ง เร่งให้คนของเราสืบข่าวหาจุดที่ท่านลุงถูกขังไว้ เราจะเริ่มปฏิบัติการทันทีที่รู้พิกัดแน่นอน”
“เสี่ยงเกินไปกระหม่อม ถึงอย่างไรทางสินธุรัฐต้องเพิ่มการป้องกันให้หนาแน่นขึ้นอย่างแน่นอน”
“เสี่ยงอย่างไรก็ต้องไป สินธุรัฐจะไม่มีวันผ่อนคลายกำลังทหารลง ยิ่งช้าพวกนั้นจะยิ่งทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านลุงบอกความลับของคนในแฟ้มข่าวนั่น”
ถ้อยรับสั่งเด็ดขาดนั้นทำให้อารัญไม่คัดค้านอีกเพราะรู้ดีว่าท่านเตโชสำคัญต่อสมเด็จฯ เป็นที่ยิ่ง และเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่แบบมีลมหายใจ พระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าตุลธรธิบดีจอมพลจตุรคีรีศิขราช พระอนุชาพระองค์เดียวของสมเด็จเจ้าหลวงภวินทราชผู้ครองบัลลังก์ราชันย์ ต้องแลกกับการสูญเสียบุคคลที่รักไปทีละคนทั้งจากเป็นและจากตาย และการที่ทรงเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาก็ทำให้คณะองคมนตรีต่างลงความเห็นว่า ควรต้องรู้จักรักษาระยะห่างก่อนที่จะกลายเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ เจ้าฟ้าตุลธรฯ จึงถูกส่งมาประจำการชายแดนตั้งแต่ทรงจบการศึกษาจากวิทยาลัยเก่าแก่แห่งสหราชอาณาจักร
เจ้าชายหนุ่มน้อยจึงกลายเป็นเจ้าชายนักรบแห่งค่ายจตุรทิศ เพราะทรงฝึกทหารและรบกับชนกลุ่มน้อยที่ชายแดนแห่งนี้กับท่านเตโชกว่า 10 ปี จนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระเชษฐาและได้รับขนานพระนามว่า ‘จอมพลจตุรทิศ’ ซึ่งเป็นทั้งการยกย่องและแสดงถึงความไว้พระราชหฤทัยของเจ้าหลวงที่มีต่อพระอนุชาต่างพระมารดาพระองค์นี้
แต่ถึงอย่างไรเจ้าชายตุลธรฯ ก็ยังคงให้ความสำคัญกับท่านลุงของตนเป็นอย่างมาก ทั้งคู่ไม่เคยมีความลับต่อกัน จนกระทั่งเมื่อหนึ่งปีก่อน ท่านเตโชไปปฏิบัติภารกิจลับที่ประเทศสินธุรัฐ ภารกิจลับสุดยอดที่แม้แต่พระองค์เองก็มิอาจล่วงรู้จนกระทั่งได้รับสารขอความช่วยเหลือ นั่นทำให้องค์จอมทัพทรงค้างคาพระทัย
“คัดคนจากหน่วยพิเศษไปสืบเรื่องนักโทษรหัส S คนนั้น ถ้าเราได้เบาะแสมาก่อนอาจจะเป็นประโยชน์ในการต่อรอง”
“ใช้คนมากกระหม่อมเกรงว่า เรื่องจะหลุดไปถึงพระเนตรพระกรรณสมเด็จเจ้าหลวง ฝ่าบาทจะทรงเดือดร้อน และจะพานกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกระหม่อม”
“เรื่องนั้นเราจะจัดการเอง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรีบเอาตัวท่านลุงกลับมาก่อนที่ฝ่ายนั้นจะรู้ว่าท่านลุงเป็นใคร”
อารัญได้ยินรับสั่งแล้วก็ได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่ แม้ทุกคนจะไม่รู้ว่าภารกิจลับของท่านเตโชเมื่อปีที่แล้วคือสิ่งใด แต่การที่อีกไม่กี่เดือนถัดมาการเมืองภายในของสินธุรัฐก็เกิดการเปลี่ยนแปลง และวันที่ราชินีชโลธรขึ้นครองราชย์บัลลังก์สินธุรัฐแทนเจ้าชายธัชธาราพระรัชทายาท สารลับก็ถูกส่งมาถึงพระหัตถ์องค์จอมพลฯ ในแผ่นกระดาษมีเพียงคำเดียว ‘BACK’ นับจากนั้นภารกิจก็ถูกเตรียมพร้อมที่ชายแดนรอวันดีเดย์ และในคืนวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา ปฏิบัติการก็เริ่มขึ้นตามแผน ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าภารกิจจะล้มเหลว ซ้ำท่านเตโชยังถูกจับได้และกลายเป็นนักโทษของสินธุรัฐไปเสียแล้ว
“ทหารสินธุรัฐคงไม่คุมตัวนักโทษไว้ที่ชายแดนนาน ถ้าหากฝ่ายนั้นพาตัวท่านลุงไปคุกหลวงเราจะทำงานยากกว่าเดิม”
“เช่นนั้นกระหม่อมจะไปสืบข่าวเองพระเจ้าค่ะ ทางนี้ให้อลินาดูแลฝ่าบาทแทน”
พอราชองครักษ์เอ่ยถึงน้องสาวขึ้นมา สมเด็จฯ ก็เหมือนจะทรงนึกขึ้นได้ว่ายังมีคนเจ็บที่ทรงเก็บตกมาได้จากภารกิจลับเมื่อคืนนอนรักษาตัวอยู่อีกฟากหนึ่งของพระตำหนัก จึงทรงลุกขึ้นปุบปับจนอารัญสงสัย
“เสด็จไหนกระหม่อม”
“ไปสืบพยาน” พระองค์ตุลธรฯ ตรัสพลางเสด็จไปอย่างรวดเร็ว ความหวังสายหนึ่งผุดขึ้นราวกับแสงสว่าง ณ ปลายอุโมงค์ อย่างน้อยอาจจะทรงได้เบาะแสเพิ่มเติมจากเด็ก…ไม่สิ จากผู้หญิงคนนั้น
ก็เป็นได้
“เมื่อไหร่จะฟื้น”
ร่างแบบบางที่ถูกลอกคราบชุดสกปรกออกกลายเป็นชุดผ้าฝ้ายหลวมๆ ของคนไข้ยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่บนเตียงพยาบาลทำให้สมเด็จฯ หันไปรับสั่งถามอาการจากผู้ให้การรักษาแทน แต่ระหว่างที่ทรงตั้งใจฟังคำตอบนั้นก็อดเหลือบพระเนตรไปสำรวจคนเจ็บที่นอนอยู่ไม่ได้ เสื้อผ้าหน้าผมถูกจัดการสะอาดเรียบร้อยจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ผมยาวหยักศกที่เมื่อคืนถูกมัดเกล้าไว้ในคราบหนุ่มน้อยบัดนี้เป็นอิสระราวคลื่นสีนิลที่พริ้วพรายบนหมอน ล้อมกรอบใบหน้าหวานละมุนนั้นให้เฉิดฉายราวกับถูกเทพประจงปั้นแต่ง จมูกโด่งคมรับกับคิ้วเรียวโค้ง ริมฝีปากบางเฉียบที่แม้จะปิดสนิทก็ยังคล้ายกับจะยิ้มน้อยๆ ชวนมองจนไม่อาจละสายตาไปไหนได้
เธอทำให้เขานึกถึงตำนานเทพีทาเลจู เทพนารีที่ถูกเล่าขานกันในชนชาติแถบเทือกเขาหิมาลัยว่างดงามจนทำให้คนหลงผิดจนคลั่งไคล้เพียงแค่ได้เห็นหน้า พระองค์ก็เพิ่งประจักษ์ชัดแก่ใจในวันนี้เองว่าเป็นเช่นไร
“เธอถูกยิงที่ไหล่ขวาด้านหลัง กระสุนฝังในผ่าออกเรียบร้อยแล้วเพคะ ตอนนี้อาการที่น่ากังวลก็คือเธอเสียเลือดมาก อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เพคะ”
“ต้องการเลือดเพิ่มหรือเปล่า”
“อารัญไปจัดการให้แล้วเพคะ”
“ขอบใจมาก ฝากดูแลด้วย ฟื้นเมื่อไหร่ให้มาบอกเราทันที”
“รับด้วยเกล้าฯ เพคะ และขอประทานอนุญาตให้หม่อมฉันถวายการรักษาพระองค์ก่อนเสด็จกลับด้วยเพคะ”
“เราไม่ได้บาดเจ็บอะไร”
“แต่ทรงอ่อนเพลียเพราะทรงงานหนักเกินไป เดี๋ยวหม่อมฉันจะให้พี่อารัญนำพระโอสถไปถวายก่อนเข้าบรรทมเพคะ”
“พูดไม่รู้เรื่องทั้งพี่ทั้งน้อง น่าสั่งปลดทั้งคู่”
“ขอบพระทัยที่ชมเพคะ”
อลินาทูลตอบหน้าตาย ก่อนจะถอยออกไปเตรียมยาในอีกห้องหนึ่ง เปิดโอกาสให้สมเด็จฯ ทรงมีเวลาพินิจพิเคราะห์คนป่วยตรงหน้าอย่างจริงจัง พระองค์ไม่เคยเชื่อเรื่องความบังเอิญมาแต่ไหนแต่ไร แต่การที่จู่ๆ หญิงสาวคนนี้มาปรากฏตัว ณ สถานที่และเวลาที่ทรงนัดหมายกับท่านลุง แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะนางนกต่อหรือสายลับแล้ว อีกเหตุผลเดียวที่ทรงมั่นใจว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ผู้หญิงคนนี้ คือ บุคคลสำคัญรหัส S ที่ทุกคนกำลังตามหา!
“รีบฟื้นขึ้นมาเร็วๆหน่อย อย่าทำให้เราผิดหวังล่ะ”
ถ้อยรับสั่งที่แม้จะแผ่วเบาทว่าหนักแน่นและเด็ดขาดนั้นทำให้ร่างแบบบางขยับตัวน้อยๆ ราวกับรู้ความ หากดวงตาบนใบหน้านั้นยังคงปิดสนิทราวกับไม่กล้าเผชิญกับดวงเนตรคมกริบที่จับจ้องมาอย่างไม่วางตา แม้จะมิมีคำอื่นใดรับสั่งให้ได้ยินอีกแต่ความหวังอันแรงกล้าที่มีต่อหญิงสาวบนเตียงคนไข้นั้นกลับยิ่งเพิ่มพูน เมื่อทรงเหลือบไปเห็นผ้าคลุมสีนวลปักประดับไข่มุกที่พันแทรกอยู่ด้านในผ้าสีหม่นผืนเก่า แม้จะชุ่มด้วยเลือดแต่อัญมณีที่ปักตรึงยังคงเด่นชัด โดยเฉพาะเข็มกลัดทรงหยดน้ำที่ทำจากเพชรน้ำหนึ่งนั้นแม้จะถูกซุกซ่อนไว้ในกองผ้าสกปรกเช่นไรก็ยังส่งประกายเตะตาออกมาอยู่ดี
เห็นทีว่าจะต้องกลับไปเปิดแฟ้มรายชื่อนักโทษไล่ดูเสียใหม่ แม้อาจจะเคยมองข้ามไป แต่คราวนี้จะไม่ปล่อยให้ความหวังเดียวนี้หลุดมือไปเป็นอันขาด!