เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 5 : จุดนัดพบ
โดย : ประดับยศ
เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco
สายลมที่พัดวนอยู่แค่ตรงใบหน้าทำให้มิรามาลินทร์รู้สึกหายใจไม่สะดวกจึงพยายามเบี่ยงหน้าหลบลมที่รบกวนนั้น และดูเหมือนว่าอาการที่เธอแสดงออกจะทำให้ผู้สร้างลมรู้ตัว เพราะตอนนี้ทุกการเคลื่อนไหวรอบตัวกลับหยุดชะงักทันที ก่อนที่ทุกอย่างจะนิ่งสนิทและแสงสว่างรอบตัวพลันเจิดจ้าขึ้นจนหญิงสาวต้องยกมือขึ้นมาบังและค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือตัวเองนั่งพิงประตูร้านดอกไม้อยู่ พร้อมกับที่ชายชราผมขาวโพลนกำลังยืนจ้องเธอด้วยสายตาประหลาดใจ แต่ก็เอ่ยต่อกันอย่างเป็นมิตร
“เธอช่วยขยับไปนั่งที่อื่นได้ไหม ฉันจะเปิดร้านแล้ว”
“ขอโทษค่ะ…” มิรามาลินทร์ว่าพลางมองสำรวจรอบตัวและตัวเองอย่างงุนงงในขณะที่พยายามลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก
ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดความอบอุ่นยามเช้าทักทายดอกไม้ทุกดอกด้านหน้าร้านค้าที่เป็นตึกแถวสีสันจัดจ้าน ทำให้หญิงสาวมั่นใจว่าเธอเดินทางมาถึงสถานที่นัดพบแล้ว เพียงแต่…ร่างกายที่ตรากตรำมาทั้งคืนคงรับไม่ไหว แม้สภาพภายนอกของเธอยังคงไม่ต่างจากเดิมแต่อาการบาดเจ็บภายในนั้นเรียกได้ว่าย่ำแย่จนแทบจะล้มพับไปอีกรอบได้เลย ดังนั้นหญิงสาวจึงกลั้นใจเดินไปหาบุรุษชราผู้นั้น พลางเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกมา
“B Bougainvillea (เฟื่องฟ้า) A Azalea (กุหลาบพันปี) C Cattleya (กล้วยไมคัทลียา) K Kalanchoe (กุหลาบหิน)”
มิรามาลินทร์เอ่ยชื่อดอกไม้กับชายชราหัวขาวโพลนที่กำลังเปิดร้านในยามเช้าตรู่ แววตากระจ่างใสผิดกับใบหน้าที่เหี่ยวย่นนั้นจ้องหญิงแปลกหน้าอย่างพิจารณา ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยอัธยาศัยไมตรี
“แม่หนูมาหาซื้อดอกไม้ถูกร้านแล้ว แต่ว่าร้านเพิ่งเปิด ฉันคงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อหาดอกไม้ที่แม่หนูอยากได้ ไปนั่งรอข้างในก่อนดีไหม”
“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
มิรามาลินทร์เอ่ยพร้อมกับฝืนใช้แรงเฮือกสุดท้ายเดินเข้าร้านดอกไม้ที่เป็นห้องแถวเล็กๆ หลังตลาดกลางเมืองมหิศรปุระไป ก่อนที่ชายชราเจ้าของร้านจะออกมาติดป้ายว่า ‘วันนี้ร้านปิด’ และทำแบบเดียวกันกับร้านค้าข้างๆ ทั้งตึกแถว
ด้านในของร้านดอกไม้ถูกจัดไล่เรียงตามสีสันของพรรณไม้ดอกนานาชนิด ทั้งแดง ชมพู ขาว เขียว เหลือง แต่โซนที่ถือว่าเป็นจุดเด่นและขายดีที่สุดก็คือดอกดาวเรือง ที่มีทั้งแบบร้อยเป็นมาลัยเส้นยาวและแบบที่ตัดขายเป็นดอกแบบยกเข่ง มิรามาลินทร์ยืนรออยู่ครู่เดียวเจ้าของร้านก็เดินมาหาก่อนจะเดินนำไปยังด้านหลังร้าน ที่เมื่อเดินทะลุไปเกือบห้าประตูจนถึงบานสุดท้าย หญิงสาวก็มาถึงลานปูนกว้างขนาดเท่าสนามฟุตบอลในร่มที่มีทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์พร้อมใช้งานจอดอยู่จำนวนหนึ่ง อีกด้านเป็นกลุ่มทีมแพทย์พยาบาลและเครื่องมือเครื่องใช้ทันสมัย ที่แค่มิรามาลินทร์ก้าวเข้าไปทุกคนก็พร้อมเข้าถึงตัวเธอและพาไปรักษาทันที
“ท่านหญิง!”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตชายยาวถึงเข่าที่ปรี่เข้ามาหาเธอคนแรกหลังจากที่หมอทำการรักษาเบื้องต้นเรียบร้อยนั้นมีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลอย่างยิ่งยวด พร้อมกับก้มศีรษะจดจรดพื้นในยามที่เอ่ยกับหญิงสาวที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“อภัยให้ผมด้วย ที่ไม่อาจคุ้มครองท่านหญิงได้”
“ลุกขึ้น คามิน แล้วพูดให้ชัดเจนที”
หญิงสาวเอ่ยพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ใบหน้าซีดขาว ทีมหมอและพยาบาลต่างพยายามจะห้ามปรามทว่ามิรามาลินทร์เพียงแค่ปรายตามองทุกคนก็พร้อมใจกันหยุดมือและปิดปากเงียบ
“หลังจากที่ท่านเตโชช่วยผมออกมาจากคุกและล่อพวกทหารไปอีกทาง ผมก็ลอบกลับเข้าไปเทวสถานเพื่อนำของจากท่านเตโชไปมอบให้องค์อมราวดี และเทวนารีที่ถูกทหารคุมตัวอยู่ที่วิหารเทพ แต่พอท่านทราบข่าวว่าท่านเตโชถูกจับ ก็ไม่ยอมหนีและมีบัญชาให้ผมตามมาคุ้มครองท่านหญิงครับ”
“คามิน! เธอทิ้งอาจารย์ได้อย่างไร!” มิรามาลินทร์เผลอขึ้นเสียงใส่อย่างโกรธจัด ทำให้ชายหนุ่มยิ่งก้มหน้าจนแทบจะมุดพื้นอย่างละอายใจ
“ผมไม่อาจขัดบัญชาองค์เทวนารี ท่านหญิงโปรดอภัย ทุกคนล้วนลงเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านหญิงที่สุด ผมเลยมาที่นี่”
ชายหนุ่มตอบเสียงสั่นด้วยความรู้สึกอัดอั้น เหตุการณ์มากมายที่พลิกผันนั้นยากเกินกว่าจะรับมือได้ ดังนั้นแม้ไม่มีทางเลือกก็จำต้องเลือกเข้าสักทาง ซึ่งข้อนี้มิรามาลินทร์ก็เข้าใจทุกอย่าง โดยเฉพาะบัญชาจากองค์เทวนารีที่แม้ว่าคามินจะเคยถูกยกย่องในฐานะ ‘คนในพระอุปถัมภ์’ ของอดีตพระชายาเมธาสินี แต่เมื่อคามินถูกส่งให้มาเป็นผู้พิทักษ์ที่วิหารเทพตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่นตามพระประสงค์ของพระชายา เขาก็ไม่อาจขัดบัญชาของนักบวชหญิงผู้ดำรงตำแหน่งเทวนารีที่ปกครองผู้อุทิศตนนับร้อยนับพันแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้
“เราเองก็ไม่ต่างจากผู้อื่น ชีวิตของท่านอาจารย์ ท่านเตโช และผู้อุทิศตนอีกหลายชีวิตที่วิหารเทพก็สำคัญเช่นกัน ดังนั้น ถ้าไม่ช่วยพวกเขาออกมาที่นี่ด้วยกัน เราก็จะกลับไปที่สินธุรัฐ”
“ท่านหญิงได้โปรดทบทวน หากทำแบบนั้นสิ่งที่องค์เทวนารีและท่านเตโชทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า”
“ที่เรายอมหนีมาถึงศิขราชก็เพราะทุกคนบอกว่า เราจะรอดไปด้วยกัน แต่ถ้าทำไม่ได้อย่างที่บอก เราก็จะกลับไปช่วยทุกคนเอง”
มิรามาลินทร์ว่าพลางลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยว ทุกคนในที่นั้นจึงได้แต่คุกเข่าลงเพื่อขอร้องไม่ให้หญิงสาวไปอย่างเซ็งแซ่ ยกเว้นเพียงชายชราเจ้าของร้านดอกไม้ที่ยังคงใช้แววตาเอื้ออารีจับจ้องมายังบุคคลสำคัญต้นเรื่องพลางเอ่ยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้อีกฝ่ายตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
“ขออภัยที่ต้องขัดขึ้นกลางคัน แต่ผมมีความเห็นที่อยากจะเสนอท่านหญิงเล็กน้อย หากท่านหญิงต้องการกลับไปช่วยคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดจึงไม่หาคนช่วย นครปูชาเทวาลัยแห่งนี้มีผู้คนมากมายที่พร้อมจะช่วยท่านหญิงอีกแรง”
ถ้อยคำของชายชราทำให้มิรามาลินทร์หันไปจ้องอีกฝ่ายอย่างสนใจ และเพียงแค่มองตาก็ราวกับรู้ทะลุถึงจิตใจเมื่อหญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างมีความหวัง
“นครปูชาเทวาลัย มหาวิหารกลาง ท่านอาจารย์เป็นเทวนารีจากมหาวิหาร ย่อมร้องขอผู้พิทักษ์เพื่อคุ้มครองได้”
“และถ้าท่านหญิงต้องการผู้พิทักษ์ ผมพร้อมจะช่วยได้เล็กๆ น้อยๆ” ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทำให้มิรามาลินทร์เพิ่งยิ้มออกเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
“ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ และขอโทษที่เสียมารยาท แต่ดูเหมือนว่าเราจะยังไม่ได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการเลยนะคะ”
“ท่านหญิงเรียกผมว่า ‘โมรา’ ก็ได้ครับ พวกผมทุกคนในที่นี้รู้จักท่านหญิงมิรามาลินทร์เป็นอย่างดี พวกเราเป็นสหายร่วมรบของท่านเตโช หากเปรียบท่านเตโชคือ ผู้พิทักษ์ พวกผมก็คือผู้รักษา”
“ขอบคุณค่ะคุณลุงโมรา โชคดีเหลือเกินที่เราได้เจอกัน ถ้าอย่างนั้น หญิงรบกวนคุณลุงเป็นธุระจัดเตรียมคนไว้ แล้วเรามาประชุมกันตอนเย็นนี้อีกครั้งดีไหมคะ”
“ได้ทุกอย่างตามประสงค์ท่านหญิง แต่ตอนนี้ท่านหญิงต้องรักษาตัวก่อน มิเช่นนั้นแล้ว ทั้งผมและทุกคนคงไม่สบายใจจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่ๆ ครับ”
มิรามาลินทร์พยักหน้าน้อยๆ อย่างอนุญาตตามที่ขอ โมราจึงโค้งคำนับพลางถอยออกไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์และพยาบาลอีกครั้งที่กลุ้มรุมเข้ามาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของหญิงสาวให้ทุเลาลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และก่อนที่หมอจะให้ยาระงับปวดอย่างแรงแก่คนไข้ หญิงสาวก็หันมาเอ่ยกับคนของตัวเองด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“คามิน เราก็จะต้องไปช่วยอาจารย์ให้ได้”
“แต่มันอันตราย…ผมเป็นห่วง”
“ถ้าเธอเป็นห่วงเรา เราเองก็รู้สึกเป็นห่วงอาจารย์ไม่ต่างกัน”
คามินอยากจะเอ่ยคัดค้านในสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมาเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะอาจเอื้อมต่อหญิงสาวมากไปกว่าที่เป็นอยู่ได้ ถ้าหากอดีตพระชายาเมธาสินีไม่ทรงรับอุปการะเขาไว้ แม้แต่ในฐานะผู้พิทักษ์เขาก็มิอาจได้เป็น คามินจึงได้แต่เตือนตัวเองว่า ไม่ควรทำให้เธอผิดหวังในตัวเขามากไปกว่านี้
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะติดตามท่านหญิง เราจะไปช่วยท่านอาจารย์ด้วยกัน”
“ขอบใจมาก คามิน”
มิรามาลินทร์เอ่ยต่อเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันในเขตวิหารเทพ ในขณะที่สองตาค่อยๆ ปิดลงด้วยฤทธิ์ยาหญิงสาวกลับมองเห็นภาพความฝันในอดีตอย่างแจ่มชัด…
ในเขตวิหาร ณ วังหลวง เมืองสินธารา ห้องทรงศึกษายามวัยเยาว์ของพระโอรสธิดาของสมเด็จพระราชาธิบดี พระอาจารย์อมราวดีเทวนารีกำลังสอนให้ทุกคนรู้จักวิธีถนอมอาหารและแบ่งปันสิ่งของที่มีอย่างจำกัดให้เพียงพอต่อทุกคน ในเวลานั้น กุมารีน้อยที่ห่มส่าหรีสีขาวกระจ่างดุจปุยเมฆยามคิมหันต์กลายเป็นจุดสนใจจากทุกสายตา เมื่อบรรดาเจ้าชายรวมทั้งคามินต่างหยิบแผ่นแป้งและเนื้อตากแห้งตรงหน้าตนเองวางแบ่งไปยังถาดอาหารที่ว่างเปล่าของเด็กหญิงที่งดงามราวกับเทพสร้าง ก่อนที่ทุกคนจะต้องยอมถอยให้กับเจ้าชายธัชธาราพระรัชทายาทที่ทรงหันไปห้ามคามินและรับสั่งกับเด็กหญิงอย่างเอื้อเฟื้อ
“สำหรับมิรามาลินทร์เราจะดูแลเอง…กินเยอะๆ นะ จะได้โตไวๆ”
“แต่หม่อมฉันไม่กินเนื้อสัตว์”
“เธอก็จะได้รับสารอาหารไม่ครบห้าหมู่น่ะซี”
“ครบเพคะ หม่อมฉันกินถั่วกับนมด้วย”
“เห็นทีวันหน้าเธอจะตัวสูงกว่าพี่แน่”
“หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ”
กุมารีน้อยรีบทูลตอบละล่ำละลักเมื่อได้ยินคำแทนตัวอย่างเอ็นดูต่อเธอเป็นพิเศษ นั่นยิ่งทำให้เจ้าชายหนุ่มน้อยยิ่งทรงสรวลก่อนจะรับสั่งตอบเด็กหญิงตรงหน้าเป็นการเฉพาะอย่างอ่อนโยน
“ถ้าจะมีใครบังอาจ ก็คงจะเป็นพี่นี่แหละที่บังอาจเรียกเธอว่า ‘น้องหญิง’ ทั้งๆ ที่พี่ไม่มีสิทธิ์”
“เสด็จกลับไปที่โต๊ะทรงอักษรดีกว่าเพคะ หม่อมฉันจะสอนต่อแล้ว”
พระอาจารย์อมราวดีเดินมาเตือนกลุ่มบรรดาเจ้าชายและพระรัชทายาท หลังจากที่เหลือบไปเห็นว่าในอีกฟากหนึ่งของตำหนักใน มีสายพระเนตรที่ฉายความไม่พอพระทัยตรงมายังเด็กหญิงอย่างชัดเจน ก่อนที่พระอาจารย์จะกระซิบกับเจ้าชายด้วยน้ำเสียงวิงวอนแกมลำบากใจ
“เทวกุมารีเป็นคนของวิหารเทพ ทรงทำแบบนี้จะยิ่งทำให้พระราชินีชโลธรและพระชายาเมธาสินีลำบากพระทัยนะเพคะ คามินเองจะพลอยโดนตำหนิไปด้วย”
“เราก็แค่แบ่งปันและเอื้อเฟื้ออย่างที่ท่านอาจารย์สอนเท่านั้น และการแบ่งปันไม่ควรแบ่งแยกว่าต้องเป็นคนในวังหลวงหรือวิหารเทพ ท่านอาจารย์อย่าได้กังวลไปเลย”
สุรเสียงนุ่มนวลและกิริยาเอื้ออาทรที่ทรงปฏิบัติต่อมิรามาลินทร์ตั้งแต่เล็กจนโตนั้นทำให้หญิงสาวได้แต่ทอดถอนใจ เพราะความพระทัยดีนี้เองที่ทำให้พระรัชทายาททรงถูกพระมารดาดุเอาอยู่บ่อยครั้ง จนสุดท้ายเจ้าชายธัชธาราก็ถูกควบคุมความประพฤติพร้อมๆ กับที่มีพระราชเสาวนีย์ตัดไฟแต่ต้นลม ห้ามมิให้เธอเข้าเรียนร่วมชั้นด้วย ก่อนที่ต่อมาจะลามไปถึงทุกคนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ห้ามย่างกรายเข้ามาในเขตพระราชฐานชั้นในโดยเด็ดขาด! นับจากนั้นมา คนจากในวังหลวงและวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ขีดเส้นแบ่งกันชัดเจน แม้แต่ในฝันก็ดูเหมือนว่าเธอและเจ้าชายธัชธาราก็มิอาจพบเจอกันได้หากมิทรงได้รับอนุญาตจากองค์ราชินี
ดวงเนตรคมกริบบนพักตร์เข้มนั้นฉายแววสับสนและครุ่นคิดอย่างหนักในยามทอดพระเนตรหญิงสาวที่กำลังหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาของทีมแพทย์ ร่างกายที่อ่อนแอส่งผลให้อาการบาดเจ็บยังคงหนักหนาจากการฝืนใช้ร่างกายอย่างสาหัส จอมพลตุลธรฯ ได้แต่ทรงวิตกกับความจริงที่เพิ่งรับรู้ มิรามาลินทร์
คือ เทวกุมารี หนึ่งในผู้นำทางจิตวิญญาณของเหล่าผู้อุทิศตนต่อวิหารเทพทั่วทุกอาณาจักรในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเชื่อกันว่ากุมารี คือ เทพีจากสวรรค์ที่จะมาช่วยบำบัดความทุกข์ให้แก่เหล่ามนุษย์ แม้ว่าขณะนี้เธอยังไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดอย่างเทวนารีได้ด้วยเธอยังเป็นเพียงกุมารี ที่ครองศีลไม่ครบบวช 20 ปี แต่เธอก็ถูกยกย่องเป็นเทวกุมารีที่ถูกวางในฐานะเทพีศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนพร้อมเคารพเทิดทูน แต่…ท่านลุงของเขากลับพาเธอออกมาจากเทวสถานวิหารเทพและส่งข้ามมายังศิขราช!
“ท่านลุงคิดจะเปิดศึกกับสินธุรัฐหรืออย่างไร ถึงส่งมิรามาลินทร์มาที่นี่”
จอมพลตุลธรฯ รับสั่งถามทั้งๆ ที่ยังพินิจดวงหน้าซีดขาวที่ราวกับไร้ชีวิตคล้ายรูปปั้นในวิหารเข้าไปทุกที ทว่าลมหายใจแผ่วเบาที่ยังคงสม่ำเสมอนั้นทำให้พอจะเบาใจได้ว่าคนตรงหน้ายังสู้ไหว
“ทั้งใช่และมิใช่กระหม่อม ท่านเตโชมิได้คิดจะทำสงครามกับสินธุรัฐจึงพยายามพาตัวท่านหญิงออกมาด้วยวิธีที่รวบรัดที่สุด แต่สินธุรัฐต่างหากที่พยายามจะก่อสงครามด้วยการคิดจะรวบอำนาจและอาณาเขตของวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปไว้ในมือตัวเองเพียงผู้เดียว ด้วยวิธีการเดิมๆ อย่างที่เคยใช้กับพระชายาเมธาสินีเทวนารี”
“หมายถึงแต่งงาน?”
“ถูกต้องกระหม่อม มีการยืนยันข่าวจากสินธุรัฐว่าพระรัชทายาทต้องการให้กุมารีมาร่วมราชวงศ์ หากองค์รัชทายาทสามารถยึดโยงสายสัมพันธ์กับคนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็ย่อมเปิดทางต่อการยึดโยงอำนาจที่เทวนารีมีทั้งหมดโดยเฉพาะเทวสถานที่มีอยู่ใจกลางเมืองทุกเมือง การครองราชย์บัลลังก์ในสินธุรัฐก็จะยิ่งมั่นคง ส่วนราชินีชโลธรก็ต้องการอาณาเขตของวิหารเทพเพื่อแผนการบางอย่าง แต่ท่านอาจารย์อมราวดีเทวนารี ท่านเตโช และทุกคนยอมไม่ได้กระหม่อม”
“ทำไม” คราวนี้เจ้าชายตุลธรธิบดี ทรงสงสัยจริงๆ เพราะถ้าหากตกลงกันได้ ทุกอย่างน่าจะจบสวย แต่จากแววตาของท่านโมราแล้วทางนี้คงมิอาจยอมรอมชอมได้เด็ดขาด
“เพราะท่านหญิง คือ ‘ญาณเทวี’ เทวกุมารีที่มีญาณพิเศษตามคำทำนายของตระกูลมหิราชผู้ครองมหาวิหารแห่งเมืองมหิศรปุระพระเจ้าค่ะ ญาณเทวีห้ามมิให้ผู้ใดอาจเอื้อมครอบครอง ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องพาท่านหญิงกลับมาที่นครปูชาเทวาลัยกระหม่อม”
“ญาณพิเศษ?” สมเด็จจอมพลทรงเปรยขึ้นอย่างเอะพระทัย แม้จะทรงเคยได้ยินตำนานเรื่องเทพและเทวนารีมามากมาย หากเรื่องนี้เป็นเรื่องลับที่มีเพียงผู้ที่กุมอำนาจเบื้องหลังราชบัลลังก์เท่านั้นที่จะทราบได้ ศิขราชเป็นประเทศเล็กๆ ทว่าที่ยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจทั้งหลายได้อย่างมั่นคงตลอดหลายศตวรรษ ก็เพราะเมืองศักดิ์สิทธิ์อย่างมหิศรปุระที่กุมอำนาจแห่งศรัทธาไว้
เทวนารีมีอยู่มากมาย หาก ‘ญาณเทวี’ มีเพียงศิขราชเท่านั้นที่ครอบครอง!
“ท่านหญิง คือผู้มีญาณหยั่งรู้จิตใจผู้คนที่ยากจะปรากฏ ร้อยปีมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ความพิเศษนี้จะเป็นทั้งอำนาจและภยันตรายหากตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่ประสงค์ดี ดังนั้นเราต้องรีบพาท่านหญิงกลับมาทำพิธีรับตราพันธาภรณ์กับตระกูลมหิราชก่อนที่คนอื่นจะรู้ความลับกระหม่อม”
เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงคิดว่าพระองค์เองน่าจะกำลังมึนงงกับเรื่องประหลาดใจต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาในคราวเดียว จนมิอาจตอบพระองค์เองได้ว่า เหตุใดพระองค์จึงทรงมีพระอาการผิดแปลกที่พระหทัย ความรู้สึกใจหายปนเปไปกับความรู้สึกผิดหวังแปลกๆ ในยามทอดพระเนตรหญิงสาวที่ยังคงหลับสนิท ความจริงที่ทรงปรารถนาจะรับรู้มาตลอดกลับกลายเป็นกำแพงที่หนักหนายิ่ง ทั้งๆ ที่ทรงประทับอยู่ใกล้กันเพียงเอื้อม แต่มิอาจ…เอื้อมมือถึง
“กระหม่อมขอประทานอภัยด้วยที่ตัดสินใจบอกกล่าวแนะนำท่านหญิง โดยที่ไม่ได้กราบทูลปรึกษาก่อนพระเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ท่านโมราทำตามแผนได้เลย ถ้ามิรามาลินทร์อยากไปร่วมด้วย เราก็พร้อมอำนวยความสะดวกให้ แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องหาทางพาตัวท่านลุงเตโชกลับมา จะมัวรอให้กุมารีเจรจาฝ่ายเดียวไม่ได้”
“ท่านเตโชคงไม่ยอมกลับมาง่ายๆ หากองค์อมราวดีเทวนารีมิยอมกลับมาด้วยกระหม่อม”
“ดื้อ! ถ้าหนีออกมาคนเดียวแต่แรกก็ไม่วุ่นวายขนาดนี้”
ทรงบ่นไปอย่างนั้นเพราะรู้นิสัยลุงของตัวเองดี ท่านลุงไม่มีทางทิ้งเพื่อนอย่างท่านหญิงอมราวดีที่ต้องเดินทางไปทำหน้าที่เทวนารีต่างเมือง ในขณะที่ท่านหญิงเมธาสินีก็ต้องสละตนเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศ และทั้งยังทรงรู้แก่พระทัยดีว่า คนที่ทำให้ทรงวุ่นวายได้ขนาดนี้นั้น…หมายถึงใครอีกคนด้วย
“แต่กระหม่อมและคนที่เตรียมไว้ก็เคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้ ถ้าทางสินธุรัฐรู้ว่าเรายื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ทะนุถนอมกันมานานก็คงจบกันคราวนี้แน่นอนพระเจ้าค่ะ”
“รอดูไปก่อน ถ้าจำเป็นจริงๆ รบก็ต้องรบ!”
สุรเสียงเด็ดเดี่ยวนั้นทำให้ท่านโมราถึงกับหันหน้าไปพินิจดวงพักตร์ขององค์จอมพลอีกครา จึงได้ทันเห็นว่าสายพระเนตรนั้นยังจับจ้องใบหน้าคนเจ็บคล้ายกับทรงปลงใจเลือกข้างไปแล้ว บุรุษชราถึงกับลอบถอนใจเบาๆ ฟ้าก็ช่างกลั่นแกล้งเสียจริง จะส่งเสริมให้คนเริ่มมีความรัก แต่ก็ตั้งกำแพงหนักหนาถึงเพียงนี้ คนที่เพิ่งก้าวตกหลุมลงไปจะหาทางปีนขึ้นมาได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ ดูท่าแล้วเจ้าชายตุลธรฯ คงจะต้องรบกับสิ่งที่อยู่ในพระทัยไปอีกนาน
อาการตาพร่ามัวหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งนั้น ทำให้มิรามาลินทร์ต้องหลับตาลงใหม่และตั้งสมาธิอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้ร่างกายปรับตัว ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงเดินมาใกล้ๆ หญิงสาวจึงค่อยเงี่ยหูฟังและพยายามจับใจความสำคัญจากผู้มาใหม่ที่กำลังสนทนากัน
“ผมมั่นใจว่าข่าวที่ได้ยินมานั้นไม่ผิด ถึงอย่างไรราชินีชโลธรก็ไม่มีวันยอมสั่งให้ทหารออกจากพื้นที่ เมืองอัมพุเด็ดขาด หากท่านอาจารย์ยืนยันที่จะอยู่ที่นั่นจะมีแต่อันตราย เราต้องเอาตัวท่านอาจารย์ออกมาให้เร็วที่สุด”
“สิ่งที่ราชินีต้องการไม่ใช่แค่ยึดอำนาจเมืองอัมพุจากเหล่าเทวนารี แต่ทรงต้องการทำลาย เพราะสิ่งที่ทรงปรารถนาอยู่ภายใต้วิหารศักดิ์สิทธิ์นั่น”
“ท่านอาจารย์จะไม่มีวันยอมให้ราชินีแตะต้องวิหารจึงปักหลักอยู่ที่นั่น หากท่านอาจารย์ยังคงขัดขืน พวกทหารใช้กำลังเข้ายึดแน่ และท่านเตโชจะกลายเป็นแพะรับทุกอย่างในฐานะตัวอย่างของคนที่ขวางทางราชินีชโลธร”
“ใจเย็นๆ ก่อน เรายังพอมีเวลาเพราะเจ้าชายรัชทายาทกำลังเสด็จที่ชายแดนเมืองอัมพุ อย่างน้อยก็ยังมั่นใจได้เปลาะหนึ่งว่า จะไม่ทรงใช้ความรุนแรง เพราะสิ่งที่พระรัชทายาททรงต้องการคือ ผูกไมตรีกับคนของวิหารเทพ เพื่อท่านหญิงมิรามาลินทร์”
“ผมก็ได้แต่หวังว่ามหิราชจะยอมยื่นมือเข้ามาช่วย เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ท่านหญิงมิรามาลินทร์คงไม่ยอมอยู่เฉยและกลับไปสินธุระแน่”
“ใช่…เราจะกลับไปสินธุรัฐอย่างแน่นอน”
หญิงสาวเอ่ยแทรกขึ้นมาพลางลืมตาจ้องผู้ที่กำลังสนทนาอยู่ทั้งคู่ เป็นคามินและท่านโมรา ที่แม้ว่าทั้งคู่จะสนทนากันเบาแสนเบา แต่ความพิเศษของมิรามาลินทร์ให้ได้ยินทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง
“เราจะไม่ปล่อยให้ท่านอาจารย์ต้องสู้เพียงลำพัง”
“ผมคิดว่าท่านอาจารย์จะไม่ยอมกลับมาพร้อมกับนักรบเทวาของตระกูลมหิราชแน่ๆ” คามินแย้งอย่างรู้นิสัยของอาจารย์ตัวเองดี มิรามาลินทร์จึงเอ่ยเสริม
“เพราะฉะนั้นเราถึงต้องไปด้วยตัวเอง” มิรามาลินทร์ว่าพลางหันไปพูดกับโมรา
“หญิงจะไปพบตระกูลมหิราช ที่มหาวิหารกลางค่ะ”
“ผมเตรียมรถไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านหญิงเลือกใช้ได้ตามประสงค์ครับ”
“ขอบคุณท่านลุงโมราที่เอื้อเฟื้อ หญิงจะไม่ลืมน้ำใจนี้เลยค่ะ”
มิรามาลินทร์เอ่ยตอบด้วยแววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและเจิดจ้าจนคามินไม่กล้าทัดทานแม้จะเป็นห่วงหญิงสาวที่ยังไม่แข็งแรงดี สิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือ ภาวนาให้ตระกูลมหิราชเกื้อกูลไมตรี หาไม่แล้วมิรามาลินทร์คงไม่ยอมอยู่เฉยๆ ที่ศิขราชเป็นแน่