เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 8 : ตราพันธาภรณ์

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 8 : ตราพันธาภรณ์

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

รถยนต์ติดฟิล์มทึบแล่นออกจากมหาวิหารเพื่อมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวง ณ เมืองสักกะ โดยที่ไม่คิดจะจอดตามที่นักรบเทวาส่งสัญญาณขอให้ชะลอความเร็วลง ทำให้มิรามาลินทร์เพิ่งตระหนักว่าบุคคลที่ประทับข้างๆ นั้นเอาแต่พระทัยเพียงใด อันที่จริงหญิงสาวก็พอจะได้รู้ได้เห็นมาบ้างในระยะเวลาสั้นๆ รวมกับที่ได้ยินกิตติศัพท์ขจรขจายยามที่อยู่ฝั่งสินธุรัฐ หากเมื่อได้ประสบกับตัวเองแล้วจึงกระจ่างแจ้ง…ที่เขาเล่าลือกันนั้นไม่เกินจริง!

“เราจะไปเข้าเฝ้าพี่ชายสักเดี๋ยวก่อน อลินาจะพาเธอไปรอที่ตำหนักรับรอง ถ้าทรงให้เข้าเฝ้าเมื่อไหร่เราจะให้อารัญไปตาม”

“หม่อมฉันขอไปรอที่หอสวดมนต์ได้ไหมเพคะ”

“ได้สิ มีวิหารเทพอยู่ไม่ไกลจากตำหนักรับรอง แต่ว่าทำไมจะสวดมนต์ เป็นกุมารีก็ต้องสวดหรือ”

“คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่านักบวชชั้นสูง ผู้ครองศีลจารีต หรือแม้แต่ผู้ล้างศีลแล้วเป็นผู้ครองเรือนทั่วๆ ไปก็สวดมนต์ได้ทั้งนั้นแหละเพคะ เราสวดเพื่อสงบจิตใจ ไม่ใช่สวดเป็นพิธี”

“แล้วเราต้องสวดด้วยไหม”

“หากทรงว้าวุ่นพระทัยก็สวดได้เพคะ”

“งั้นแวะสวดสักหน่อยก็ดี”

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ทรงตัดสินพระทัยง่ายๆ พลางหันไปบอกอารัญให้เปลี่ยนปลายทางเป็นวิหารเทพแทน ทำเอามิรามาลินทร์ถึงกับหันไปจ้องพระพักตร์คมคายที่ดูไม่ออกเลยว่ากำลังว้าวุ่นพระทัยจนอยากสวดมนต์ แววพระเนตรนั้นกำลังชื่นมื่นเสียด้วยซ้ำจนหญิงสาวได้แต่ลอบถอนใจเบาๆ จะยกเลิกพันธะขอถอนตัวตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วแน่ๆ

รถยนต์พระที่นั่งขับไปจอดเทียบที่ศาลาจตุรมุขด้านหน้าอาคารหินอ่อนสีขาวที่ขอบหลังคาและขอบประตูหน้าต่างเป็นทรงโค้งขนาดสองชั้น เบื้องหลังกำแพงปูนที่ยาวเหยียดล้อมรอบอาณาเขตพระราชวังและวิหารเทพ กั้นเป็นเขตพระราชฐานชั้นในที่มีการอารักขาอย่างแน่นหนาโดยทหารภายใต้บังคับบัญชาของจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าตุลธรธิบดี ทำให้มิรามาลินทร์ค่อยคลายกังวลใจว่าจะไม่มีใครตามมาจับตัวเธอได้ง่ายๆ ก่อนจะก้าวตามวรองค์สูงสง่าที่ทรงพระดำเนินอยู่ด้านหน้าไปติดๆ

หญิงสาวเหลียวมองชื่นชมศิลปะที่สลักอยู่บนเสาหินอ่อนแต่ละต้นตั้งขนานเป็นคู่ๆ ตลอดแนวทางเดิน บอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศศิขราชอย่างงดงามวิจิตร และยิ่งเดินเข้าไปถึงโถงมนตราด้านในลวดลายบนเสาก็จะเปลี่ยนเป็นอักขระมนตราและตำนานเทพและเทพีต่างๆ ที่คอยปกปักรักษาชาวเมืองศิขราชมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

“วิหารเทพที่นี่ทำไมไม่ค่อยมีคนเลยเพคะ”

“ปกติที่นี่จะปิดเอาไว้ จะเปิดให้คนเข้ามาสักการะมหาเทวนารีปีละสองครั้งเท่านั้น”

“แล้วทรงอนุญาตให้หม่อมฉันเข้ามาจะไม่เป็นไรหรือเพคะ”

“ไม่เป็นไร ก็เธอเป็นเทวกุมารีและกำลังจะเป็นพระชายาปติแห่งเรา ย่อมเข้าออกวิหารเทพได้ไม่มีใครว่า”

รับสั่งพลางเสด็จนำไปยังแท่นสวดบูชามนตรา ทั้งยังมีน้ำพระทัยเอื้อเฟื้อจุดเทียนเผื่อเธอเสียด้วย

“อยากขอพรอะไรด้วยไหม”

“หม่อมฉันเป็นเทวกุมารี เป็นผู้ให้พรแก่ผู้อื่นย่อมต้องภาวนาจิตเอง ลงมือทำด้วยตนเอง”

“ดี…ถ้าอย่างนั้นเราจะภาวนาและลงมือทำเองเหมือนกัน เป็นภาระสิ่งศักดิ์สิทธิ์มามากพอแล้ว”

“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยินดีเป็นอย่างยิ่งเพคะ”

มิรามาลินทร์ตอบหน้าตายจนคนข้างๆ ทรงพระสรวลเสียงกังวานไปทั่วห้องโถง จนหญิงสาวเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจากที่จะมาสวดมนต์เพื่อสงบใจ จะยิ่งกลายเป็นทำให้ใจเบิกบานจนยากจะควบคุมได้
เสียมากกว่า

 

เสียงหัวเราะที่แว่วออกมาจากห้องมนตรา ทำให้ฝ่าพระบาทที่กำลังรีบเสด็จอยู่ถึงกับชะงักและทรงหันไปถามอารัญอย่างไม่แน่ใจ

“นี่เราไม่ได้หูฝาดใช่ไหม เสียงตุลธรหัวเราะ”

“พระเจ้าค่ะฝ่าพระบาท ทรงสำราญพระทัยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อเช้ามืดแล้วพระเจ้าค่ะ”

“แบบนี้เอง ถึงมาเร่งให้เรารีบจัดการ”

“ให้เกล้ากระหม่อมเข้าไปกราบทูลเลยไหมพระเจ้าค่ะ”

“เรียกแค่ตุลธรมาพบเราที่เฉลียงก่อน ส่วนคนอื่นให้ไปรอเราที่ห้องพิธีการ เจ้ากรมพระอาลักษณ์และพนักงานพิธีการต้องพร้อมสำหรับร่างราชสาสน์ทันทีที่เราไปถึง”

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”

 

หน้าแท่นบูชาร่างหนึ่งสูงร่างหนึ่งต่ำกว่านั่งเคียงกัน นอกซุ้มหน้าต่างไกลออกไป ทิวเขาโค้งทอดตัวลดหลั่นเขียวขจีแซมสีดอกไม้แดงสลับชมพูของกุหลาบป่าลาลีกูรันส์ มิรามาลินทร์เก็บทุกอณูภาพความสวยงามและบรรยากาศสงบร่มเย็นเอาไว้เต็มหัวใจ ก่อนจะหลับตาลงอธิษฐานให้ความสงบงามอยู่จีรัง และชวนให้บุรุษเคียงข้างร่วมด้วยช่วยกันภาวนา

“ท่านอาจารย์สอนว่า ถ้าเราสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ปักใจอยู่กับสิ่งที่ภาวนาทุกวันๆ ใจเราที่แน่วแน่แล้วจะสั่งให้ร่างกายทำตาม แล้วสิ่งที่ภาวนาก็จะเป็นจริง”

แม้ขุนเขาเบื้องหน้าไกลๆ จะไม่ตอบรับ แต่ขุนเขาใกล้ๆ ตัวกลับตรัสตอบด้วยน้ำเสียงไร้ความเชื่อถือโดยสิ้นเชิง

“นิทานหลอกเด็ก”

“พูดแล้วทำนั่นคือจริง พูดแล้วไม่ทำถึงจะเรียกว่าหลอก”

หญิงสาวเอ่ยอย่างแน่วแน่ ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับประสานมือเอ่ยคำอธิษฐานต่อผืนฟ้าและขุนเขาที่ตระหง่านมั่นคงไม่หวั่นไหว

“ขอให้ท่านอาจารย์ปลอดภัยและได้กลับมาอยู่ด้วยกัน”

“แล้วถ้า…กลับมาอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้วล่ะ”

“ลงมือทำ จะไม่มีคำว่าถ้า…” มิรามาลินทร์ยิ้มอย่างปลอบประโลมคนตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าเป็นครั้งแรกที่ใบหน้าคมเข้มนั้นเผือดลงอย่างน่าใจหาย ดวงตาแกร่งกร้าวแดงก่ำขึ้นเพราะคำที่ผุดขึ้นในใจทิ่มแทงซ้ำย้ำจนแผลเดิมปริแตก

ถ้าวันนั้น ไม่มีคำว่า…ถ้า

พระองค์จะทรงได้อยู่พร้อมหน้ากับพระมารดาหรือไม่ และในวันพรุ่งนี้ ทรงมีคำว่า…ถ้า

ชะตาชีวิตของท่านลุงจะเป็นเช่นไร

“หม่อมฉันจะช่วยฝ่าบาทภาวนาเองเพคะ”

กุมารีเอ่ยขยับกายที่นั่งคุกเข่า หันมาเผชิญหน้ากับเจ้าชายนักรบแห่งศิขราช แพขนตาหนาหลุบต่ำซ่อนนัยเนตรในยามที่ท่องทำนองมนตราขับขานรายล้อมระหว่างคนทั้งสอง เสียงเสนาะที่เคล้าคลอดุจสายลมที่ผ่านพัดหัวใจจนคล้ายกับได้กลิ่นไอแห่งคิมหันตฤดูโอบล้อมทั้งๆ ที่ยามนี้คือวสันตกาล

เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงคุกเข่าต่อหน้าหญิงสาวเช่นกัน แต่ไม่ได้สวดมนต์เพราะเอาแต่พินิจดวงหน้าละมุนที่เปี่ยมด้วยอารีต่อพระองค์อย่างไร้กังขา หัตถ์แห่งนักรบเอื้อมหยิบฉลองพระองค์คลุมผืนใหญ่ที่พาดพระอังสาไว้ ค่อยคลี่กันลมหนาวที่บังอาจล่วงเกินความตั้งใจภาวนาจิตของเทวกุมารี ก่อนจะตัดใจรั้งสองหัตถ์ของพระองค์เองให้กลับมาประสานกันอยู่แนบพระอุระ และเอ่ยคำภาวนาของตนเองที่ดังก้องในทุกองคาพยพหฤทัย

“ตราบชีวันจะหาไม่ จะรักษ์ดวงหทัย ถนอมไว้มิพรากลา”

 

“ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ

เจ้าฟ้าตุลธรธิบดีถวายคำนับสมเด็จเจ้าหลวงอย่างง่ายๆ ก่อนจะเสด็จไปนั่งที่พระเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามและรับกาแฟดำจากพระหัตถ์พระเชษฐามาเสวย

“ตอนแรกตั้งใจว่าจะถาม…ทำไมรีบนัก แต่เดินผ่านไปเมื่อกี้ได้ยินเสียงนายหัวเราะ พี่ก็ไม่แปลกใจแล้ว”

“เรื่องมันซับซ้อน ไม่รู้จะทูลเรื่องไหนก่อนดีพระเจ้าค่ะ”

“งั้นเรื่องที่จะไปสินธุรัฐก็แล้วกัน…ไปเพราะใคร”

“ท่านลุงเตโชพระเจ้าค่ะ”

“ระวัง…ใช้เธอเป็นเครื่องมือ สุดท้ายจะจบไม่สวย”

“เรื่องนี้มิรามาลินทร์ก็รู้”

“แล้วนายล่ะ รู้ใจตัวเองไหม ก่อนจะทำอะไรถามใจตัวเองให้ดี ถ้าหากว่าไปเพราะท่านลุงเตโชจริงๆ เมื่อภารกิจจบ ทุกอย่างก็ต้องจบ”

องค์เจ้าหลวงทรงเตือนในฐานะพี่ชาย เพราะรู้ดีว่าห้ามผู้เป็นน้องไม่เคยได้ และอันที่จริงแล้วทรงเห็นด้วยกับสิ่งที่พระอนุชาทำเสียด้วยซ้ำโดยเฉพาะเรื่องการแต่งงาน อย่างน้อยการผูกพันธะกับญาณเทวี ก็ช่วยเพิ่มน้ำหนักถ่วงดุลอำนาจให้ฝั่งราชวงศ์ มิเช่นนั้นแล้วตระกูลมหิราชจะกุมอำนาจศรัทธามากเกินไปจนอาจทำบัลลังก์ศิขราชสั่นคลอนได้

“กระหม่อมทราบดี และยังรู้ตัวเองอีกด้วยว่าเป็นคนโลภมาก แต่ถ้าไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้ กระหม่อมก็คงไม่อาจรักษาสิ่งสำคัญไว้ได้”

“ถ้าตัดสินใจแล้ว พี่ก็จะไม่คัดค้านอะไรอีก ขอแค่อย่าให้ถึงกับเกิดสงคราม พี่ไม่อยากให้ประชาชนของเราต้องมาเดือดร้อนด้วย”

“กระหม่อมจะพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ และรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุดพระเจ้าค่ะ”

“ราชสาสน์ของพี่ก็คงถ่วงเวลาได้ไม่นาน ช่วยคนแล้วรีบออกมา อย่าเปิดช่องให้ทางนั้นหาเรื่องอื่นโยนใส่เราได้”

“แต่ถ้าปล่อยให้คนของราชินีชโลธรยึดเมืองอัมพุไป คนที่วิหารศักดิ์สิทธิ์และชาวบ้านจะพลอยถูกจับตัวไปด้วยไม่ต่างจากท่านลุงเตโช”

“หน้าที่ของจอมพลแห่งศิขราช คือปกป้องคนศิขราช ไม่ใช่คนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ของอัมพุ”

สุรเสียงราบเรียบแต่สายพระเนตรคมปลาบปรายเตือนพระอนุชาเบาๆ น้อยครั้งนักที่เจ้าหลวงจะทรงใช้ท่าทีแบบนี้ หากครั้งนี้จำต้องปราม…เพราะหาไม่แล้วแม่ทัพจะกลายเป็นผู้ชักศึกเข้าบ้านเสียเอง

“เรายอมให้แค่มิรามาลินทร์และพระอาจารย์อมราวดีเทวนารี ทหารของศิขราชจะต้องไม่ถูกสังเวยให้เกมการเมืองของสินธุรัฐ”

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”

“ระวังตัวด้วยตุลธร อย่าทำอะไรที่เสี่ยงเกินไป พี่ยังรอนายกลับบ้านเสมอนะ”

“ผมจะระวังตัว ไม่ต้องห่วงครับ”

เจ้าหลวงภวินทราชทรงยิ้มกว้างกับประโยคแสนธรรมดาและเรียบง่ายจากปากของน้องชาย ก่อนจะกอดไหล่อีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ ครอบครัวของพระองค์มีกันแค่นี้ และก็ได้แต่ทรงภาวนาว่าหญิงสาวที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของตุลธรธิบดี จะเป็นโชคดีให้กับชีวิตที่โดดเดี่ยวของชายหนุ่มที่คอยแต่ปกป้องคนอื่นจนแทบจะลืมไปแล้วว่าชีวิตของเขาเองก็ต้องการใครสักคนมาคอยเคียงข้างเช่นกัน

 

เสียงหัวใจตัวเองที่เต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะทำให้มิรามาลินทร์พยายามสวดมนต์สงบใจไปพลางสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ไปพลาง อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังซุ้มเสาประตูด้านข้างที่เจ้าชายตุลธรธิบดีถูกเชิญไปเข้าเฝ้าองค์เจ้าหลวงเป็นการส่วนพระองค์เมื่อครู่นี้ เวลาคล้ายกับเดินไปแช่มช้าจนโถงหินอ่อนที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับเป็นห้องพิธีการสำคัญดูเย็นเยียบและอ้างว้างอย่างน่าประหลาด

พรมสีชาดปูลาดระหว่างทางเดินขนาบด้วยเสาหินอ่อนเป็นคู่ๆ จรดแท่นบูชาที่ถูกจัดวางอยู่กลางโถง เมื่อเงยขึ้นจะเห็นหลังคาทรงโดมที่สลักอักขระมนตรารายล้อมภาพตำนานเทพและเทพีที่ปกปักรักษาเมืองศิขราช ชวนให้บรรยากาศเต็มไปด้วยมนตร์ขลังราวกับอยู่กลางมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์

แสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านช่องประตูและหน้าต่างเข้ามากระทบตรงแท่นพิธีการคล้ายดังแสงประทานพรจากสรวงสวรรค์ แม้สว่างจ้าหากอบอุ่นยิ่ง มิรามาลินทร์คลี่ผ้าคลุมสีขาวปักดิ้นทองปกศีรษะตนเอง ก่อนจะรวบชายกระโปรงที่กรุยกรายให้เรียบร้อย ชุดนี้อลินานำมาให้ เป็นชุดพื้นเมืองของศิขราชที่ประกอบด้วยเสื้อไหมปักลายทองและกระโปรงผ้าไหมแพรสีแดงปักลวดลายด้วยทองและอัญมณีหลากชนิด แม้ว่าปกติแล้วเธอจะมีผ้าประดับฐานันดรอีกผืน หากเจ้าชายตุลธรฯ ทรงขอเป็นสินสอดทองหมั้นไปเสียแล้ว

หญิงสาวตั้งจิตแน่วแน่ก่อนคุกเข่าบนแท่นสวดมนต์ เธอนึกถึงอาจารย์และอธิษฐานขอพรอย่างที่ไม่เคยทำ

‘ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี’

มิรามาลินทร์เฝ้าแต่ย้ำถ้อยคำเหล่านี้วนเวียนอยู่ในใจ ในขณะที่ความคิดไพล่ไปถึงเจ้าชายตุลธรฯ จะทรงลำบากพระทัยหรือไม่กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ แม้ว่าเธอเองจะเห็นชอบกับวิธีการนี้และยินยอมตกลงปลงใจ แต่ลึกๆ แล้วก็ยังไม่อาจเมินเฉยต่อความรู้สึกแปลกๆ ในใจได้ ดังนั้นเธอจึงเฝ้าถามตัวเองว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นแรงเกินไปนักในยามที่ตามเสด็จกลับไปสินธุรัฐในฐานะพระคู่หมั้น และเธอจะเอ่ยปากทูลขอพระเมตตาเช่นไรหากต้องเอ่ยสัตย์สาบานในยามทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อขัตติยะตรัสแล้วไม่คืนคำ

กุมารีได้แต่หลับตาลงพลางทอดถอนใจ ลืมไปเช่นกันว่า ฐานะเทวาก็มิอาจกล่าววาจาเท็จ เห็นทีก็คงสุดแล้วแต่ฟ้าจะเมตตา โชคชะตานำพาเธอมาอยู่ตรงนี้แล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนผ่านการไตร่ตรองย่อมดีเสมอ มิช้าน้ำเสียงใสกังวานก็เอื้อนวาจาตั้งสัจจะอธิษฐาน

“ข้ายินดีล้างศีลเพื่อครองเรือน ยินดีวางดาวเดือนเคลื่อนจากฟ้า

ยินดีวางเกียรติยศปลดพันธา ยินดีวางทุกอัตตาเพื่อคุ้ม…ครองคน”

หญิงสาวก้มศรีษะ แบฝ่ามือรับแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ก่อนจะยกสองมือแตะหน้าผากตน อธิษฐานสัจจากับไออรุณที่อาบไล้จนเกิดประกายรัศมีเรืองรองจับองค์ กุมารีในชุดกระโปรงแดงเจิดจ้ายิ่งเฉิดฉายขึ้นเมื่อแสงอาทิตย์สะท้อนประกายอัญมณีบนผ้าคลุมเศียร ดั่งเทพีจากยอดบรรพตศักดิ์สิทธิ์เสด็จมาประทานพรด้วยตนเอง…ทุกสิ่งที่ขอย่อมเป็นไปโดยสวัสดี หากมิรีรอที่จะทำ

 

“เจ้าหลวงเสด็จฯ” เสียงขานของราชองครักษ์ทำให้ผู้ที่อยู่หน้าแท่นรีบขยับลุกขึ้นถวายการต้อนรับ มิรามาลินทร์ลอบมององค์ประมุขสูงสุดแห่งศิขราช วรองค์สูงเพรียวพระพักตร์ขาวละมุนดั่งเทพจำแลงที่ไม่ว่าเสด็จที่ใดสาวน้อยสาวใหญ่ก็ต้องเห็นพ้องกันว่ารูปงาม ผิดกับอีกองค์ที่เสด็จมาประทับข้างๆ เธอ วรองค์สูงใหญ่เปลี่ยนมาทรงชุดผ้าไหมตัวยาวสีแดงเข้มเข้าชุดกับเธอ มีผ้าประดับอาภรณ์พาดพระอังสาสีเดียวกับพระสนับเพลาสีนวล เผยรูปทองที่หล่อเหลาทว่าแกร่งกร้าว เพราะพักตร์เข้มคมและพระเนตรดุดัน ก็ทำให้ความงามถูกเปรียบเทียบกันไปคนละแบบ

“ถวายบังคมเพคะ”

“คนกันเอง จะมากพิธีทำไม”

สมเด็จเจ้าหลวงภวินทราชฯ รับสั่งพลางเสด็จไปประทับพระเก้าอี้ ณ มุมประธานพิธีริมห้องโถง บุคคลทั้งหมดจึงต้องตามเสด็จไป พลางเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องสำคัญที่ทรงเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนหลังจากที่อารัญขอเข้าเฝ้าเป็นการด่วน

“ก่อนอื่นก็ขอแสดงความยินดีกับทั้งคู่ด้วยที่จะหมั้นหมายกัน แต่เห็นว่าตุลธรจะพามิรามาลินทร์ไปทำพิธีล้างศีลที่วิหารอัมพุพิมานก่อน แล้วถึงค่อยกลับมาเข้าพิธีอภิเษกที่ศิขราช”

“เพคะใต้ฝ่าพระบาท เทวกุมารีต้องได้รับอนุญาตจากเทวนารี ทำพิธีคืนผ้าครองศีลและแลกตราพันธาภรณ์ จึงจะสามารถครองเรือนได้เพคะ”

“เช่นนั้นเราจะมอบตราพันธาภรณ์ของราชวงศ์ศิขราชให้เธอเสียก่อน เป็นเครื่องยืนยันการหมั้นหมายจากฝั่งเรา”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”

มิรามาลินทร์ว่าพลางย่อตัวถวายคำนับ ยื่นมือไปรับเข็มกลัดเพชรสีชมพูทรงช่อดอกกุหลาบพันปีขนาดครึ่งฝ่ามืออันเป็นตราประจำราชวงศ์แห่งศิขราช ทว่าพระหัตถ์ใหญ่กว่าของว่าที่พระคู่หมั้นก็แบออกตรงหน้าเธอ พลางรับสั่งเสียงนุ่มนวล

“เราติดให้”

มิรามาลินทร์ชะงักมือ พลางหันมองพระพักตร์ของจอมพลตุลธร ฯ อย่างเกรงพระทัย หากพอเห็นผ้าผืนยาวสีขาวนวลปักมุกแบบเดียวกับที่ทรงพาดบนพระอังสาในพระหัตถ์แล้วหญิงสาวก็ได้แต่ตะลึง ไม่กล้าแม้แต่จะรับ จนกระทั่งมีพระกระแสรับสั่งจากองค์เจ้าหลวงทรงสำทับมา

“ตามสบาย”

องค์เจ้าหลวงพระราชทานอนุญาตก่อนจะหันไปยิ้มกับอารัญและคนอื่นๆในห้องพิธีการ ที่บัดนี้มีแต่บรรยากาศแห่งความอ่อนหวานชื่นมื่นไปทุกอณูอากาศ เมื่อเจ้าชายนักรบทรงค่อยคล้องผ้าฐานันดรประดับให้แล้วนำเข็มกลัดตราพันธาภรณ์จากมือหญิงสาวมากลัดบนอกเสื้อของกุมารีด้วยอาการประหม่าแต่ก็ตั้งพระทัยเป็นอย่างยิ่ง

“สวยมาก” สุรเสียงสั่นน้อยๆ หากแววพระเนตรที่พราวระยับและรอยแย้มพระสรวลแสนอ่อนหวานนั้นทำให้หญิงสาวรีบก้มหน้า หัวใจเต้นโลดทะยานจนพานให้เธอยากจะระงับมิให้ใจสั่นไหว ทรงปฏิสันถารแบบนี้เธอไม่คุ้นชินเลยจริงๆ

“ขอบพระทัยเพคะ”

มิรามาลินทร์ถวายคำนับเต็มพิธีการ ก่อนจะหันมาทางอลินาที่เตรียมผ้าคลุมไหล่ปักอัญมณีพร้อมกับเข็มกลัดเพชรซึ่งเป็นตราประจำเทวกุมารีของเธอ เป็นตราพันธาภรณ์เพื่อมอบให้เจ้าชายตอบแทน

“หม่อมฉันขอถวายผ้าไหมปักผืนนี้และตราพันธาภรณ์ของเทวกุมารีเพคะ”

“เรายินดีรับผ้าผืนนี้แทนสินสอดทองหมั้นทั้งหมด”

“แต่ว่า…”

“เรายินดี…” สุรเสียงทุ้มอ่อนหวานนั้นหนักแน่นราวกับจะมิมีวันแปรผันเป็นอื่น แต่ประโยคถัดมาที่รับสั่งถามหญิงสาวตรงหน้ากลับเบาลงราวกับประหวั่นลังเลใจ

“แล้วเธอ…ยินดีหรือไม่”

มิรามาลินทร์เงยหน้าขึ้นมองสบพระเนตรคู่คมที่รอคอยคำตอบ ทรงอยากรู้แต่ใจหนึ่งก็ทรงลังเลที่จะรับฟัง เพราะเกรงว่าคำตอบที่ได้รับ จะทำให้ทุกอย่างพังทลายลง

เทวกุมารีอมยิ้มน้อยๆ เมื่อทุกอย่างบนพระพักตร์เข้มนั้นบอกความในใจออกมาจนหมดสิ้น ความสัตย์ซื่อแห่งน้ำเนื้อพระหทัยนั้นทำให้หญิงสาวมิอาจแกล้งรังแกให้บอบช้ำได้ ได้แต่น้อมรับความปรารถนาดีอย่างจริงใจเอาไว้ และวางตราพันธาภรณ์ลงบนหัตถ์ที่ยื่นรออยู่อย่างไร้ซึ่งข้อแม้ใดๆ

“หม่อมฉันยินดีเพคะ”

“ขอบใจ”

จอมพลตุลธรฯ ทรงเอ่ยพลางแย้มพระสรวลกว้าง ก่อนจะหันไปถวายคำนับสมเด็จเจ้าหลวงที่ทรงพระราชทานคำอวยพรให้อีกครั้ง

“ยินดีด้วยอย่างยิ่งกับทั้งสองคน นับจากนี้ไป มิรามาลินทร์ คือ พระชายาปติในจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าตุลธรธิบดี พระอนุชาธิราชแห่งเรา เจ้าหลวงภวินทราชแห่งศิขราชราชอาณาจักร”

เจ้าพนักงานพิธีการเป่าสังข์รับพระบรมราชโองการในขณะที่เจ้ากรมพระอาลักษณ์เข้ามาถวายพระราชสาสน์ให้องค์เจ้าหลวงประทับตราพระราชลัญจกรพระปรมาภิไธยให้เรียบร้อยสมบูรณ์ เพื่อมอบให้กับพระอนุชาธิราชและพระชายาปติที่ถวายคำนับลงพร้อมกันอย่างเต็มพิธีการ

“ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง ไม่เกินครึ่งชั่วโมงนี้ชาวศิขราชทุกคนจะรู้ข่าวดีที่สุดแห่งปี รวมถึงชาวสินธุรัฐด้วย”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” / “เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมเพคะ”

มิรามาลินทร์เอ่ยพร้อมกับถวายคำนับอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นไปอย่างรวบรัดจนแทบไม่ทันได้ตั้งตัว ทว่าความรู้สึกตื่นเต้นและหัวใจที่เอมอิ่มเบิกบานนั้นก็ทำให้หญิงสาวต้องคอยตักเตือนตัวเองไม่ให้เตลิดไปกับความรู้สึกที่ท่วมท้นนี้ การหมั้นหมายที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบแต่ทุกอย่างช่างเรียบง่ายจริงใจ จนเธอชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่า การหมั้นหมายนี้จะเป็นเพียงแค่ฉากหน้าชั่วคราวที่จะเข้าไปทำภารกิจช่วยเหลือตัวประกันที่เมืองอัมพุเท่านั้น เพราะวรองค์สูงใหญ่ที่ประทับเคียงข้างนี้ต่างหากที่ทำให้เธอไม่อาจระงับใจได้ยามสบเนตรคมกล้าที่บ่งบอกชัด ทุกอย่างจริงแท้จากใจ…ชั่วนิรันดร์



Don`t copy text!