พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 10 : ชาติชาย

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 10 : ชาติชาย

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

“อีกไม่กี่วันเราก็จะถ่ายหนังเรื่องนี้จบแล้ว ส่วนฉากบู๊ฉากสำคัญพี่จะเก็บไว้ถ่ายวันสุดท้าย ตอนนี้ก็ออมแรงถ่ายฉากสบายๆ กันไปก่อน” เทอดพูดกับน้องๆ นักแสดงในบ่ายวันหนึ่งขณะพักกองทานข้าวร่วมกัน

“หมดเรื่องนี้พี่เทอดจะไปถ่ายหนังให้เสี่ยกำจรหรือครับ” นักแสดงประกอบคนหนึ่งถามขึ้น

“คงเดาจากที่เสี่ยกำจรมากองถ่ายพี่บ่อยๆ ละสิ” เทอดยิ้ม “พี่ก็คิดๆ อยู่ ยังไม่ได้ตัดสินใจ กะว่าจะทำหนังของตัวเองเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน”

“ถ้าพี่เทอดได้กำกับหนังของเสี่ย อย่าลืมคมเดชนะครับ ดาวร้ายดวงนี้พร้อมรับใช้” คมเดชลูบหนวดงามทำเสียงออดอ้อนเหมือนที่ชอบทำ

“เรื่องหน้าดาวร้ายตายตั้งแต่ต้นเรื่องเลยนะ พี่คงไม่ต้องใช้ดาวร้ายมากฝืมืออย่างคมหรอก” เทอดพูดเรื่อยๆ ด้วยความหมั่นไส้ จนทีมงานที่นั่งฟังอยู่หัวเราะอย่างครื้นเครง

“ถ้าถ่ายหนังจบแล้วพี่ขออนุญาตไปหาน้องขวัญบ้างได้ไหม…จะได้ไปสวัสดีคุณพ่อคุณน้องขวัญด้วย” เสียงถามของเจตน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขวัญชีวา ทำให้ธงรบที่กำลังตักอาหารในจานของตัวเองอยู่ฝั่งตรงข้ามกันแทบกลั้นหายใจรอฟังคำตอบ

“ได้สิคะ ชวนพี่คม พี่ชาติ เลขาไปด้วยกันหลายๆ คนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวขวัญทำอาหารเลี้ยงทุกคนเอง” ขวัญชีวาหันไปชวนทุกคนด้วยรอยยิ้มสดใส เธอรับรู้ได้ถึงไมตรีดีๆ ที่ชายข้างหนุ่มข้างตัวมีให้เสมอมา ผิดกับชายหนุ่มอีกคนตรงหน้าที่เธอมักทำให้เธออารมณ์ขุ่นมัว อยากเอาชนะ จนเธอละที่จะเอ่ยชื่อเขาอย่างตั้งใจ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นสบสายตาเธอ เธอก็แกล้งมองเมินและส่งยิ้มหวานให้เจตน์ จนคมเดชอดแซวขึ้นไม่ได้ เพราะรู้ว่านับตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรกที่บ้านเทอด และธงรบพูดถึงเธอด้วยความคะนองปาก ทั้งคู่ก็มีเรื่องให้ไม่ลงรอยกันทุกครั้ง จนเขาทั้งขำและทั้งสงสารธงรบที่จู่ๆ ก็กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาเธอ

“น้องขวัญไม่ชวนไอ้ธงไปด้วยเหรอครับ” คมเดชชถามขึ้นอย่างคนไม่คิดอะไรเพราะเห็นหญิงสาวไม่ได้เอ่ยชื่อธงรบออกมา

“คุณธงต้องทำงานประจำ ขวัญเกรงใจหากทำให้คุณธงต้องเสียงานอีก ที่ขวัญทราบ แค่นี้คุณธงก็ลางานมาถ่ายหนังให้พี่เทอดหลายวันแล้ว…ใช่ไหมคะ” ขวัญชีวามองหน้าธงรบด้วยแววตาท้าทาย และคิดว่าอย่างไรเสียเขาคงปฏิเสธที่จะไปด้วย หากแต่ธงรบก็ตอบกลับเธอด้วยสายตาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่ยอมแพ้ จนหญิงสาวต้องเบือนหน้าหนีด้วยความขัดใจ

“ครับ…น้องขวัญชวนทั้งที พี่ลางานเพิ่มอีกวันคงไม่เป็นไร ขอบคุณน้องขวัญล่วงหน้าด้วยเลยละกัน”

“งั้นเดี๋ยวเรานัดวันกันดีไหม…เดี๋ยวพี่ช่วยซื้ออาหารสดไปให้น้องขวัญด้วย จะได้ไม่รบกวนที่บ้านน้องขวัญมากเกินไป” เจตน์อาสา

“ด้วยความยินดีเลยค่ะ” ขวัญชีวาส่งรอยยิ้มละไมให้เจตน์ จนคมเดชถึงกับสะกิดและแอบกระซิบกับธงรบ

“เอ็งว่ามะ…เจตน์นี่มันร้ายไม่เบาเลยนะ เป็นพระเอกมันดีอย่างนี้นี่เอง ทำอะไรก็ดูดีไปหมด ผิดกับตัวร้ายอย่างเอ็ง”  สิ่งที่คมเดชพูดทำให้ธงรงเหลียวมองคนทั้งคู่ที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย สิ่งที่เจตน์ทำมันคือความอ่อนโยนและความจริงใจ ที่เพื่อนเขาเป็นมาตลอดอย่างไม่ต้องสงสัย ตรงข้ามกับหญิงสาวตรงหน้า นอกจากรอยยิ้มและความสดใสร่าเริงที่สะกดใจเขาตั้งแต่แรกพบ  ขวัญชีวามักทำให้อารมณ์ของเขาพร้อมที่จะขุ่นมัว และทำให้หัวใจของเขาเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาด้วยความเจ็บปวดจากการถูกมองเมิน จนเสียงหนึ่งที่อยู่ในหัวใจก้องดังขึ้น

‘ถ้าเธอชอบพระเอกนัก งั้นฉันก็จะเป็นพระเอกให้เธอ’

 

อาจเพราะความอยากเอาชนะขวัญชีวาที่ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา ปนเปไปกับความฝันอยากเป็นพระเอกทำให้ธงรบเริ่มคล้อยตามคำโน้มน้าวของชาติ จนกระทั่งได้ฟังสิ่งที่ชาติคิดวางแผน

“ตามแผนการถ่ายทำที่พี่เทอดเขาวางไว้ พี่เขาตั้งใจจะให้ฉากสุดท้ายเป็นฉากที่พระเอกกับผู้ร้ายได้บู๊กันเต็มที่ วันนั้นมันก็จะมีทั้งฉากที่ต้องสู้กันทั้งแบบตัวต่อตัว ทั้งขี่มอเตอร์ไซค์ ทั้งขับรถไล่ล่ากันไปมาตามถนน เราก็อาจทำให้เจตน์มันบาดเจ็บจากการถ่ายทำพวกนั้นได้…”

“ยังไงวะ” ธงรบถามด้วยความสงสัย

“ข้าคิดว่าถ้าเราทำให้เจตน์มันต้องพักสักอาทิตย์สองอาทิตย์ เคี่ยวๆ อย่างเสี่ยกำจรคงเลือกคนที่พร้อมกว่ามาเป็นพระเอก” ชาติเล่าง่ายๆ เพราะคนสุขภาพดีแข็งแรงแบบเจตน์ขืนรอให้ป่วยเอง เขาคงไม่มีวันได้เป็นพระเอกที่มีชื่อเสียงแบบพระเอกคนอื่นๆ ขอแค่ให้เจตน์บาดเจ็บ ต้องใช้เวลารักษาตัว โอกาสของเขาก็อยู่ไม่ไกล เพราะอย่างไรดาวร้ายอย่างธงรบก็ไม่ใช่คู่แข่งของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่เขาต้องมีแพะรับบาปไว้สักคนเผื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน

“ถ้าเราทำให้ลมยางรถยนต์ที่จะใช้มันไม่เท่ากันดีไหม หรือทำให้อะไหล่รถยนต์บางชิ้นมีปัญหาดี” ชาติลองหยั่งเชิงธงรบ

“เฮ้ย…มันอันตรายเกินไปปะวะชาติ ถ้าเจตน์มันต้องเอารถไปขับ”

“เอ็งจะตกอกตกใจทำไมวะ ข้าก็คิดไปเรื่อยเปื่อย…เพราะเห็นเอ็งเป็นช่างก็น่าจะรู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกดี” ชาติทำใจดีสู้เสือ เพราะไม่อยากให้ธงรบโวยวายหรือเอะใจจนเสียแผน “แล้วข้าเห็นว่ามันมีฉากที่เอ็งกับเจตน์ต้องขับรถไล่ล่าเบียดกันตนตกถนนอยู่แล้ว เอ็งก็รู้เจตน์มันขับรถเก่งจะตาย…ที่สำคัญไม่มีนายทุนหรือผู้กำกับที่ไหนยอมให้ใครเป็นอะไรหรอก…แล้วเขาก็ไม่ได้ให้นักแสดงมาขับรถเร็วแข่งกันจริงๆ สักหน่อย” ชาติเล่าตามความจริง

“…ฉากไหนที่ต้องขับเร็วมากๆ พี่เทอดเขาก็มีพวกตัวแสดงแทนหรือคนที่ขับรถเก่งๆ มาขับแทนให้ ก็จะเป็นการจับภาพกว้างๆ ไล่ล่ากันไปมาไม่เห็นคนขับหรอก” ชาติพยายามอธิบาย “ยกเว้นถ้าถ่ายภาพแคบลงมาหน่อยแบบเห็นนักแสดงด้วยเห็นรถด้วย เขาก็ไม่ได้ขับเร็วกันจริงๆ หรอก เอ็งก็รู้นี่พี่เทอดแกชอบถ่ายเก็บภาพหลายๆ มุม พอเอาฟิล์มทั้งหมดไปตัดสลับปุ๊บปั๊บ…ปุ๊บปั๊บไปมาคนดูก็ไม่รู้แล้ว มีแต่อารมณ์ลุ้นแล้วก็ตื่นเต้นไปกับการไล่ล่า” ความลังเลที่ปรากฏอยู่ในสีหน้าและแววตาของธงรบ ทำให้ชาติรีบโยนไม้ตายสุดท้ายใส่ชายหนุ่มตรงหน้า

“อีกอย่างนะ…น้องขวัญเองก็ต้องกลับไปเรียนต่อ เสี่ยคงอยากรีบเปิดกล้อง”  ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันในกองถ่าย ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าชายตรงหน้าคิดยังไงกับขวัญชีวา ถึงจะมีเรื่องขัดแย้งให้เห็นกันตลอดในกองจนทุกคนคุ้นชิน แต่สายตาที่ชายหนุ่มมองขวัญชีวามันไม่ใช่แววตาของคนเกลียดกัน ถ้าความเป็นเพื่อนแบบธงรบทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดและผิดหวังขนาดนี้  เป็นเขาเขาคงไม่ทนแบบธงรบแน่นอน

“น้องขวัญมาเกี่ยวอะไรด้วย”  ชื่อนั้นทำให้ธงรบต้องถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“อ้าว…ข้าไม่ได้บอกเอ็งหรือ ว่าพี่เทอดเขาไปขอพ่อน้องขวัญให้มารับเล่นเป็นนางเอกหนังเรื่องนี้อีกเรื่อง” ชาติตอบกลับด้วยความใจเย็น และหวังว่าชื่อนั้นจะทำให้ธงรบยอมรู้เห็นเป็นใจกับแผนการที่เขาวางไว้

ภายในบริเวณโรงถ่ายขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมชานเมืองกรุงเทพฯ เวลานี้ กำลังถูกปรับเปลี่ยนโฉมจากพื้นที่โล่งๆ ให้กลายเป็นห้องรับแขกเสมือนจริง ด้วยการนำเฟอร์นิเจอร์ แจกัน กระถางต้นไม้และอุปกรณ์นานาชนิดเข้ามาตกแต่งจัดวาง ส่วนอีกฟากไม่ไกลกันผู้คนจำนวนหนึ่งก็กำลังขะมักเขม้นกับการนำฉากไม้มาตั้งบนฐานรับเพื่อกั้นเป็นห้องและตกแต่งให้กลายเป็นอาคารสถานีตำรวจ มีห้องผู้ต้องขัง มีโต๊ะรับเรื่องร้องเรียนและโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่ เสมือนยกโรงพักทั้งโรงมาวางไว้ เพื่อใช้เป็นฉากสำหรับการถ่ายทำและบอกเล่าเรื่องราวของตัวละครที่จะดำเนินไป

ขวัญชีวายืนมองทีมงานหลายคนวิ่งวุ่นจัดเตรียมอุปกรณ์เข้าฉากด้วยความสนใจและรู้สึกทึ่ง ที่เทอดสามารถเนรมิตโรงถ่ายที่ว่างเปล่าให้กลายเป็นฉากต่างๆ ได้อย่างเหมือนจริง ครั้งหนึ่งเธอเคยถามเจตน์ว่าทำไมพี่เทอดไม่ถ่ายภายในบ้านคนจริงๆ ไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาจัดเตรียมอะไรให้ยุ่งยาก ซึ่งพอได้ฟังเหตุผลที่เจตน์ให้ เธอก็ยิ่งเข้าใจการทำงานในกองถ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของถ่ายทำที่นักแสดงต้องเล่นฉากเดิมซ้ำๆ เพื่อให้ผู้กำกับได้เปลี่ยนขนาดภาพเพราะใช้กล้องตัวเดียว หรือเรื่องของการจัดแสง การกะระยะของภาพที่ผู้กำกับสามารถกำหนดได้หลายมุมมากกว่า โดยไม่มีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านเป็นสิ่งกีดขวาง ซึ่งก็มีผู้กำกับจำนวนไม่น้อยที่ชอบสร้างฉากเองเพราะสามารถออกแบบให้ตรงกับสิ่งที่คิดได้ แต่หากผู้กำกับคนใดไม่อยากใช้โรงถ่าย อยากใช้สถานที่จริงเพื่อถ่ายทำก็ไม่ผิด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของนายทุนและผู้กำกับเป็นสำคัญ

ระหว่างที่หญิงสาวร่างเล็กกำลังเพลิดเพลินไปกับการเฝ้ามองทีมงานขนย้าย ติดตั้งข้าวของภายในฉาก จู่ๆ ร่างของเธอก็เซถลาถอยหลังไปตามแรงดึง ตกเข้าไปอยู่ในวงแขนอุ่นอย่างไม่ทันตั้งตัว ชั่ววินาทีที่ความตกใจคลายลงหญิงสาวรีบใช้ 2 มือดันตัวเองออกจากอกกว้าง หมายจะดูหน้าคนที่ดึงตัวเธอและถือวิสาสะโอบกอดโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย

หากแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเจ้าของแผงอกว้างนั้นเพ่งมองมาที่เธออยู่แล้วพร้อมความนัยที่ซ่อนอยู่ในดวงตาคม ที่เธอไม่ก็อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันเปิดเผยให้เห็นถึงความรักและความห่วงใย จังหวะที่ริมฝีปากเล็กกำลังจะอ้าปากทักท้วง ใบหน้าคมตรงหน้าก็ส่งยิ้มและแววตาเจ้าเล่ห์ พร้อมก้มค่อยๆ ก้มหน้าต่ำลงมาหาใบหน้าเล็ก ทำเอาจังหวะในหัวใจเธอถึงกับสั่นสะเทือนและเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ที่ชายหนุ่มจะเสใบหน้าไปข้างหูจนแก้มแทบจะแนบชิด แล้วกระซิบดุเบาๆ

“ระวังหน่อย จะมายืนเกะกะเขาทำงานแบบนี้ไม่ได้หรอกนะขวัญชีวา…” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความใกล้ชิดที่มากจนเกินไป หรือเพราะดวงตาคมที่ไม่ยอมละไปจากใบหน้าเธอ ทำให้สมองหญิงสาวเริ่มว่างเปล่า จนไม่รู้ว่าจะตอบโต้ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไรดี สุดท้ายเธอก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี จนทันเห็นทีมงาน 4-5 คนกำลังช่วยกันยกโซฟาและตู้ตัวใหญ่ที่แทบจะบดบังร่างคนยกจนเห็นแต่ขาผ่านหน้าไป เธอจึงเบือนหน้ากลับมามองเขาอีกครั้ง

“คุณธงปล่อยฉันได้แล้วค่ะ”

“อ่อ…” ธงรบทำทีเหมือนเพิ่งนึกได้ เขายิ้มใส่หญิงสาวตรงหน้า พร้อมยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกตรงหน้าเธอให้รู้ว่าเขาไม่ได้กอดเธอไว้แล้ว

“อีกข้างค่ะคุณธง” หญิงร้องเตือนพร้อมเหลือบตามองวงแขนอีกข้างของชายหนุ่มที่ยังโอบเธอไว้ น่าประหลาดที่วงแขนเพียงข้างเดียวที่โอบกอดเธอไว้ด้วยความแนบชิดจากชายหนุ่มที่แทบจะไม่เคยพูดคุยดีๆ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันในกองถ่ายไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเขากำลังล่วงเกิน หากแต่ทำให้เธอรู้สึกถึงการปกป้องดูแล

“อ่อ…” เขามองวงแขนอีกข้างของตัวเอง “ไม่ขอบคุณพี่หน่อยหรือ” ชายหนุ่มส่งรอยยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดให้เธอโดยเพิกเฉยกับแขนอีกข้างที่กำลังโอบตัวเธอไว้

“แล้วคุณธงจะไม่ขอโทษฉันหน่อยหรือคะ ที่ดึงฉันแรงขนาดนี้ ” หญิงสาวเริ่มขุ่นเคือง และเชิดหน้ามองเขาด้วยสายตาที่ท้าทายไม่แพ้กัน โดยลืมไปว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบเพราะยังอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม “ดูเหมือนคุณธงจะติดค้างคำขอโทษฉันเหมือนกันนะคะ” เธอพูดใส่หน้าธงรบ ด้วยแววตาและสีหน้าที่ไม่ได้หมายความถึงเรื่องนี้เรื่องเดียว หากแต่ยังซ่อนนัยความหมายไปถึงเรื่องเก่าที่เขาปรามาสเธอไว้มากมาย ซึ่งธงรบก็แปลความหมายในคำพูดนั้นได้โดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ และมันทำให้เขาต้องรีบปล่อยแขนที่โอบเธอไว้พร้อมก้าวถอยหลังยกมือ 2 ข้าง ชูขึ้นเสมอตัวตรงหน้าเธอประหนึ่งยอมแพ้

“งั้นเราหายกัน” ชายหนุ่มสรุปสั้นๆ พร้อมยักคิ้วหลิ่วตาให้เธอด้วยท่าทางยียวน และก่อนที่ขวัญชีวาจะทันได้ต่อว่าอะไร เขาก็หมุนตัวเดินหันหลังหนีไปแบบที่หญิงสาวชอบทำ พร้อมๆ กับเสียงร้องเรียกชื่อเขาด้วยความขัดใจ

“คุณธง! กลับมาคุยกันใหม่เดี๋ยวนี้เลย คุณธง!”

 

“ฉากนี้จะเป็นที่อาจ ลูกชายกำนันนพแห่งบ้านดงมะไฟ พยายามทำให้นางเอกชอบ ด้วยการให้ลูกน้องขนข้าวสาร และผักผลไม้ในสวนที่รีดไถมาจากชาวบ้าน เอามาให้นางเอก…ฉากนี้พอคมกับเพื่อนมันยกข้าวสารในกระสอบกับแข่งส้มมาวางลง ขวัญก็ทำท่าไม่พอใจ…ธงก็พยายามจับไม้จับมือนางเอก อ้อนวอนให้นางเอกรับไว้ ขวัญก็ปัดมือธงมันออกแบบคนถือเนื้อถือตัว ด้วยความรังเกียจ แล้วก็เดินไปตักน้ำในตุ่มสาดใส่ธงมัน ไล่ให้มันเอาของกลับไปคืนชาวบ้าน…”

ขณะที่ทุกคนรวมทั้งขวัญชีวาตั้งใจฟังในสิ่งที่เทอดอธิบาย ธงรบนิ่งฟังด้วยสีหน้าแห่งความเหนื่อยหน่าย เวลาเจอฉากที่ตัวร้ายอย่างเขาต้องโดนนางเอกทำร้ายทีไร ทำไมเขารู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้ามักลงมือลงแรงเล่นซะเหมือนจริง แล้ววันนี้เขาต้องโดนเธอสาดน้ำใส่อีกเหรอเนี่ย ชายหนุ่มเหลือบมองหน้าขวัญชีวา จนทันได้เห็นรอยบวูบไหวแห่งความสนุกในดวงตาและรอยยิ้มเล็กๆ บนเรียวปากบางที่ส่งมาให้เขา เมื่อได้ยินสิ่งที่ต้องทำจากเทอด

“…ทีนี้พี่อยากให้ขวัญผลักเข่งส้มจนล้ม คมเอ็งก็ไปวิ่งตามเก็บส้มมาใส่เข่ง…”

“โห…เก็บทั้งหมดที่ขวัญคว่ำน่ะเหรอ..ไม่คว่ำได้ไหมพี่เทอด…” คมเดชโอดครวญเมื่อเห็นส้มกองใหญ่ในแข่งที่เขาต้องตามเก็บ

“พี่เอาแค่ขวัญสาดน้ำไอ้ธงได้ไหม…หรือไม่ก็ให้ธงมันช่วยเก็บด้วย” คมเดชพยายามต่อรองแต่เมื่อเห็นสายตาดุของเทอด จนเขาต้องรีบเปลี่ยนคำพูดแก้เก้อ “..เก็บก็ดี คนดูจะได้เอาใจช่วยคมตอนเก็บ”

“เอาละ…เดี๋ยวอีกห้านาที พอของที่จะเข้าฉากครบแล้วเราก็เริ่มถ่ายได้เลย” พูดจบเทอดและนักแสดงที่ต้องเข้าฉากร่วมกันก็ถอยห่างออกไปเตรียมตัว ยกเว้นธงรบที่ก้าวเข้าไปประชิดขวัญชีวาพร้อมกระซิบเตือนให้ได้ยินกันเพียงสองคน

“อย่าสนุกให้มันมากนักขวัญชีวา”

“คุณธงหมายถึงสนุกเรื่องอะไรคะ” หญิงสาวทำหน้าตาไขสือ เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้ารู้ทันความคิดเธอ

“ก็เรื่องที่ขวัญสนุกกับการได้ทำร้ายพี่ ถึงมันจะเป็นแค่ฉากในหนังก็เถอะ”

“คุณธงเอาอะไรมาพูดคะ…ฉันก็แค่ตั้งใจทำงานให้มันออกมาดี นี่มันหนังเรื่องแรกของฉันนะคะ คุณธงคิดมากไปหรือเปล่า” หญิงสาวย้อนถาม หากแต่ก็ปิดบังแววตาที่เต็มไปด้วยความสนุกของตัวเองไม่มิด เมื่อถูกชายตรงหน้ากล่าวหาด้วยความจริง

“เอาเป็นว่า…อย่าเล่นให้มันเหมือนจริงให้มากนักนะ ขวัญชีวา” ธงรบเตือนอีกคำรบ พร้อมสบตาหญิงสาวตรงหน้านิ่งจนเธอประหม่า “เพราะเมื่อไหร่ที่พี่ได้เป็นพระเอก และขวัญได้เป็นนางเอกพี่ก็จะเล่นจริงเหมือนกัน”

“งั้นก็คงยากละค่ะ เพราะคุณธงเป็นดาวร้าย และขวัญเป็นนางเอก” ขวัญชีวาส่งเสียงไล่หลังชายหนุ่มที่หันหลังเดินหนีเธอไปทันทีเมื่อพูดจบ และเธอก็ไม่คิดด้วยว่าวันหนึ่งเธอกับเขาจะได้มีโอกาสเป็นพระเอกนางเอกร่วมกัน

 



Don`t copy text!