พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 12 : รอยแผลเป็น

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 12 : รอยแผลเป็น

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

หลังเหตุการณ์วุ่นวายเริ่มคลี่คลาย เทอดนำข่าวดีที่เสี่ยกำจรตัดสินใจเลือกธงรบเป็นพระเอกมาบอกแก่ชายหนุ่ม

“ผมขอปฏิเสธได้ไหมครับ” ธงรบบอกเทอดตรงๆ “บทนี้ควรจะเป็นของเจตน์มากกว่า”

“พี่รู้ว่าธงเป็นห่วงเจตน์…เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่ความผิดธง และเจตน์เองก็ยังต้องรักษาตัว…” เทอดตบไหล่ธงรบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ และเลือกคำพูดจบที่ทำร้ายความรู้สึกของธงรบให้น้อยที่สุดและพูดมันออกมา “…อีกสักระยะ…”

“ให้เสี่ยกำจรเขาหาพระเอกใหม่ก็ได้นี่ครับ…ผมไม่อยากได้ชื่อว่าแย่งบทพระเอกของเจตน์ ทั้งๆ ที่เพื่อนก็ยังนอนเจ็บอยู่”

“ใครบอกธงว่าบทนี้เป็นเจตน์” คำถามของเทอด กลายเป็นความสงสัยในสีหน้าของธงรบจนทำให้คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันก่อนฟังเทอดอธิบาย

“เสี่ยเขาตั้งใจเลือกธงให้มารับบทพระเอก ตั้งแต่ก่อนวันที่เราจะถ่ายฉากสุดท้ายกันซะอีก…ที่เสี่ยกำจรเขามากองถ่ายเราบ่อยๆ ก็เพราะเขาอยากเห็นเวลาพวกเอ็งแสดงอยู่หน้ากล้อง” เทอดพยายามชี้แจงเรื่องราวให้ชายหนุ่มตรงหน้าเข้าใจ “จริงอยู่ ว่าเสี่ยเขาก็มองเจตน์มันไว้ แต่เขาก็ไม่ได้มองเจตน์มันคนเดียว เสี่ยเขาก็มองทั้งเอ็ง แล้วก็ชาติไว้ด้วย”

“มีชาติด้วยหรือครับ” ธงรบประหลาดใจเมื่อได้ยินชื่อชาติ

“ใช่…มีชาติด้วย” เทอดพยักหน้าให้ “แต่เสี่ยเขาก็เลือกเอ็ง ตอนแรกเขาก็จะให้พี่เลือก แต่พี่ไม่เลือก สุดท้ายเขาก็เลือกเอ็ง” เทอดเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเสี่ยกำจรให้ธงรบฟัง

“ช่วงหลังๆ พี่ก็ยุ่งๆ เลยไม่ได้บอกเอ็งก่อน ไหนจะงานในกอง ไหนจะคุยกับขวัญให้มาเป็นนางเอก ไหนจะไปขออนุญาตจากพ่อขวัญเขาให้มาเล่นหนังให้เสี่ยเขาอีกสักเรื่อง เอ็งก็รู้บ้านนี้เขาหวงลูกสาวขนาดไหน” เทอดทำท่าขนลุกเมื่อนึกถึงเสี่ยอาชา พ่อของขวัญชีวา ที่ทำให้เขาต้องเข้านอกออกในบ้านขวัญชีวาอยู่พักใหญ่

“ขวัญรู้ไหมครับว่าผมจะมาเล่นเป็นพระเอก” ธงรบถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

“รู้สิ….พี่ถึงอยากให้ธงได้เล่นเป็นเพื่อนขวัญด้วย”

“แล้วเขายังยอมเล่นเหรอครับ” ธงรบอดที่จะแปลกใจไม่ได้ที่ขวัญชีวายอมตอบตกลงทั้งๆ ที่รู้ว่าจะต้องมาเล่นนางเอกให้เขา

“อืมม…เอ็งคงเห็นเขาไม่ค่อยพูดจาดีๆ กับเอ็งละสิ” เทอดมองหน้าธงรบก่อนส่ายหัว “เอาจริงนะ…ถ้าพี่เจอคนมาว่าพี่ขนาดนั้นพี่ก็โกรธว่ะ”

“พี่เทอดรู้” ชายหนุ่มเริ่มมีท่าทีละอายใจ ขนาดผู้ใหญ่อย่างเทอดยังรู้เรื่องความปากพล่อยของเขา ที่เขาว่าความลับไม่มีในโลกเห็นทีจะจริง

“เขาก็รู้กันทั้งกองแหละ เอ็งคิดว่าคมมันเก็บความลับได้รึไง” เทอดหัวเราะเมื่อนึกถึงสิ่งที่คมเดชเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างธงรบกับขวัญชีวา ในวันที่เทอดนัดให้พวกเขามาทำความรู้จักกัน ข้อดีของคมเดชคือความเป็นคนไม่คิดอะไรมาก และชอบทำเรื่องยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องเดียวกันนี้ถ้าเขาได้ฟังจากคนอื่นเขาคงเรียกธงรบมาตำหนิ เพราะขวัญชีวาเองก็เปรียบเสมือนลูกหลานของเขาคนหนึ่งที่เขาต้องคอยดูแล

“แล้วก็รู้ด้วยว่าเอ็งพยายามง้อเขา แต่ไม่สำเร็จสักที” เทอดหัวเราะขำเบาๆ แต่ธงรบกลับมองหน้าเทอดด้วยความระแวดระวัง เพราะไม่อยากคิดไปไกลว่าตอนนี้เทอดรู้ลึกไปถึงความรู้สึกในใจเขาไปแล้วมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างเทอดก็อ่านความรู้สึกของชายตรงหน้าออก เขาทำได้แต่ยิ้มน้อยๆ และไม่พูดอะไรให้มากความ เพราะหัวใจใคร คนนั้นก็ต้องจัดการเอง

“ใจจริงขวัญเขาไม่มีอะไรหรอก รู้ไหมเวลาพวกเอ็งทะเลาะ เถียงกัน ไม่มีใครแทงข้างเอ็งเลยนะ พี่จะบอกให้…โดยเฉพาะไอ้คมที่มันบอกว่าอยู่ข้างเอ็ง” เทอดวางมือบนบ่าธงรบพร้อมหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ ก่อนวกกลับมาพูดคุยเรื่องเดิม

“…พี่อยากให้ธงรับเล่นหนังเรื่องนี้ของเสี่ยกำจรนะ…อย่าปฏิเสธเลย อย่างน้อยมันก็เป็นโอกาส”

“ผมอาจจะไม่ใช่พระเอกอย่างที่พี่กับเสี่ยกำจรคาดหวัง” ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่ว

“แต่เอ็งก็เป็นพระเอกที่เจตน์มันคาดหวังนะ…ตอนมันรู้ว่าเสี่ยกำจรเลือกเอ็ง มันดีใจแทบแย่ มันนะอยากเห็นเอ็งเป็นพระเอก คิดซะว่าทำให้เจตน์มันสมหวัง…”

“เจตน์ก็รู้…”

“ใช่…ก็วันที่พี่คุยกับขวัญให้มาเล่นเรื่องนี้ เจตน์เขาก็อยู่ด้วย” คำบอกเล่าง่ายๆ ของเทอดที่น่าจะเป็นกำลังใจ กลายเป็นหินก้อนใหญ่ที่ถ่วงความรู้สึกมากมายในอกให้ยิ่งหนักอึ้ง เมื่อได้รับรู้ถึงความปรารถนาดีที่เจตน์มีให้เขาตลอดเวลา วินาทีนั้นเขารู้สึกไม่อยากทำให้เจตน์ผิดหวังในตัวเขา พร้อมกับความรู้สึกลึกๆ ที่ว่าเขายังอยากอยู่ใกล้ๆ ขวัญชีวา ชายหนุ่มรีบตกปากรับคำ

“ครับพี่…ผมจะเล่น”

“ต้องให้มันได้อย่างนี้สิ ธงรบ ชนะชัย พระเอกของพี่” เทอดตบไหล่เขาด้วยความพอใจ

 

นับตั้งแต่ที่เจตน์นอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แต่ละวันจะมีทีมงาน เพื่อนนักแสดงแวะเวียนกันมาเยี่ยมให้กำลังใจ และอวยพรให้ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ตอนนี้นอนเข้าเฝือกทั้งแขนและขา ต้องนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงมาเป็นอาทิตย์ ให้กลับมาแข็งแรงอย่างไม่ขาดสาย โดยไม่มีใครพูดถึงบาดแผลบนโหนกแก้ม ที่มีผ้าปิดแผลปิดไว้ให้เจตน์ได้ยิน อาจเพราะมีเพียงแค่เพียงเขา คมดช ขวัญชีวา และเทอดที่รับรู้เรื่องนี้ก็เป็นได้เลยไม่มีใครถามไถ่อะไรให้คนป่วยต้องสะเทือนใจ ซึ่งทั้งหมดก็เห็นพ้องต้องกันว่ารอให้ร่างกายเจตน์ดีขึ้นสามารถย้ายกลับไปรักษาต่อในกรุงเทพฯ ได้เสียก่อนจึงค่อยบอก ธงรบเองก็เห็นดีด้วยที่เจตน์จะได้ไม่ต้องคิดมากเป็นกังวล

หลังเกิดเหตุ เทอดได้ให้ตำรวจเข้าตรวจสอบพื้นที่และนำรถที่ใช้ในการถ่ายทำไปตรวจสอบ จนพบว่าเครื่องยนต์บางส่วนของรถที่เจตน์ขับถูกปรับแต่ง ตำรวจจึงสอบปากคำทุกคนที่เกี่ยวข้องในกองถ่าย โดยเฉพาะเจตน์ที่เป็นผู้ขับขี่รถคันดังกล่าว ซึ่งเจตน์ก็ให้การไปตามจริงว่าเขาไม่สามารถบังคับพวงมาลัยได้ จนทำให้รถเกิดอาการเสียหลัก จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้ในห้องโดยสาร และเห็นควันเริ่มพวยพุ่งขึ้นมาจากกระโปรงหน้ารถ พอรถตกลงข้างทางและพลิกคว่ำ เขาเลยตัดสินใจกระแทกประตูรถและคลานออกมาจนได้รับบาดเจ็บ เพราะกลัวว่ารถจะระเบิดและตัวเขาถึงแก่ชีวิต

“ข้าว่าเอ็งต้องโกนหนวดโกนเคราบ้างนะธง แล้วก็กลับบ้านไปพักบ้าง ไม่ต้องเป็นห่วงข้าให้มากนัก ข้าอยู่ของข้าได้ ไม่งั้นเอ็งจะได้เป็นโจรก่อนได้เป็นพระเอก” เจตน์ออกปากไล่ชายหนุ่มที่มากินนอนอยู่กับเขาทุกวันจนใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ทำให้สภาพดูโทรมยิ่งกว่าเขาที่เป็นคนป่วย

“ทำไมเอ็งไม่บอกข้า ว่าเอ็งรู้ว่าเสี่ยกำจรจะให้ข้าเป็นพระเอก” จู่ๆ ธงรบก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้

“บอกเอ็ง? บอกทำไม บอกก็ไม่ตื่นเต้นสิวะ…” เจตน์ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนที่ธงรบชอบทำให้เขา “ทำไม…ข้าผิดหรือที่ข้าอยากให้เอ็งได้ลองเป็นพระเอกดูบ้าง เผื่อเอ็งจะเบื่อบทดาวร้าย”

ธงรบถอนหายใจ “ข้าว่าบางทีข้าอาจไม่เหมาะ”

“เฮ้ย! อะไรวะ คนอย่างเอ็ง กล้าได้กล้าเสีย จะมาใจเสาะปอดแหกอะไรตอนนี้…ข้าเชื่อว่าเอ็งทำได้” เจตน์ช่วยเรียกความมั่นใจ

“ทำไมเอ็งถึงมั่นใจในตัวข้านัก”

“ก็เอ็งเป็นเพื่อนรักข้าไง” ก่อนที่ธงรบจะทันได้ตอบอะไร คนที่เขาเคยสงสัยตั้งแต่วันที่พาเจตน์ขึ้นรถมาพยาบาล ก็โผล่เข้ามาทักทายเจตน์ด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเขาเองเริ่มไม่แน่ใจนักว่าชาติมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะตำรวจก็ยังสอบปากคำทุกคนไม่หมด และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าชาติรู้หรือยังว่าสุดท้ายเสี่ยกำจรยกบทพระเอกให้กับเขา

“เป็นไงมั่งวะเจตน์” ชาติเดินเข้าไปทักทายและสำรวจตามร่างกายของเจตน์พร้อมแซว “สงสัยต้องพักยาวละมั้งเนี่ย”

“เออ…สิวะ เอ็งดูขากับแขนข้าซะก่อน จะขยับไปไหนได้” เจตน์พยายามขยับแขนขาข้างที่เข้าเฝือกให้ชาติดู

“แล้วเอ็งล่ะวะธง ทำไมสภาพเอ็งดูไม่ได้อย่างนี้วะ” ชาติมองหน้าที่รกไปด้วยหนวดเคราของธงรบพร้อมหัวเราะขัน

“นี่เขาเรียกสภาพพระเอก…แบบ พระเอกตอนตกอับ” เจตน์ตอบชาติขำๆ

“พระเอกอะไรวะ…” ชาติถามด้วยความสงสัย จนเจตน์ต้องรีบเฉลยแทนเพื่อนด้วยความดีใจ

“ก็พระเอกหนังเรื่องใหม่ของเสี่ยกำจรไง”

“ฮ้า!” ชาติมองหน้าธงรบด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง ที่เขามาเยี่ยมเจตน์วันนี้เพราะต้องการมาดูให้แน่ใจว่าเจตน์จะพักรักษาตัวอีกนาน แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับรู้เรื่องที่ธงรบได้เป็นพระเอกหนังเรื่องใหม่ของเสี่ยกำจรด้วย เหมือนทุกอย่างที่ลงทุนไปมันสูญเปล่า

“ข้าดีใจกับเอ็งด้วยว่ะธง…” ชาติบอกธงรบโดยที่ใจไม่ได้หมายความตามปากพูด “อย่าลืมที่เอ็งสัญญากับข้าล่ะ…” ชาติเอ่ยเป็นนัยกับธงรบ

“สัญญาอะไรวะ” เจตน์ถามด้วยความอยากรู้

“ก็สัญญาว่าเมื่อไหร่ที่ธงมันได้เป็นพระเอกดัง อย่าลืมให้ข้าเป็นดาวร้ายไง”

“ทำไมวะ เป็นผู้ช่วยพระเอกไม่ดีตรงไหน”

“ก็ตรงที่ตอนนี้พระเอกนอนเจ็บอยู่นี่ไง…จะให้ข้าไปช่วยใครได้” ชาติแสร้งหัวเราะร่วมพร้อมเอานิ้วจิ้มไปที่เฝือกของเจตน์

 

“ขออนุญาตครับ” เสียงชายในเครื่องแบบตำรวจ 1 ใน 3 นาย ที่เดินนำเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยพร้อมเทอด เอ่ยขัดจังหวะการสนทนา และเดินไปตรงหน้าชาติเพื่อใส่กุญแจมือชาติ จนเจ้าตัวตกใจโวยวายเสียงดัง

“เดี๋ยวๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน มาจับผมทำไม” ชาติโวยวาย

“มีพยานเห็นว่าคุณชาติ เป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับรถยนต์ที่คุณเจตน์ใช้ และมีความเป็นไปได้ว่าคุณอาจแก้ไข ดัดแปลงเครื่องยนต์บางอย่างจนทำให้รถเกิดอุบัติเหตุ” คำบอกเล่าของตำรวจทำให้เจตน์ถึงกับนิ่งไปด้วยความคาดไม่ถึง ยกเว้นธงรบที่มีความสงสัยชาติอยู่เป็นทุนเดิมแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก

“ไม่จริง…วันนั้นผมก็ให้การไปแล้วไง ว่าผมไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ…ปล่อยผมนะ” ชาติพยายามขัดขืนตำรวจ 2 นายที่เข้ามากระนาบข้างซ้ายขวาเขาไว้

“ถ้าคุณชาติไม่ผิดก็จะได้รับการปล่อยตัว ตอนนี้ไปกับเราก่อนเถอะครับ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเกลี้ยกล่อมให้ชาติยอมตามไป

“ไปกับคุณตำรวจก่อนเถอะชาติ เดี๋ยวมีอะไรพี่ช่วยจัดการให้” เทอดช่วยพูดอีกแรง หากแต่ชาติที่เริ่มร้อนตัวถึงความผิดตนหันมองหน้าธงรบด้วยความคับแค้นใจ

“มึง…ไอ้ธง ทั้งหมดก็เพราะมึง มึงอยากเป็นพระเอก” ชาติชี้หน้าธงรบด้วยความโกรธ

“…เพราะแผนที่มึงกับกูวางไว้ แล้วทำไมกูต้องมาเป็นแพะรับบาปเรื่องพวกนี้ให้มึงคนเดียว” ชาติระบายความเจ็บแค้นใส่หน้าธรงรบ จู่ๆ เขาก็ต้องเสียบทพระเอกให้กับม้านอกสายตาแก่ชายหนุ่มที่เพิ่งเล่นหนังเรื่องแรก ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะโด่งดังเป็นที่รู้จักในวงการได้ แถมเขายังต้องถูกจับ แต่เขาจะไม่ยอมถูกจับคนเดียวแน่ๆ

“ไอ้ชาติ! ไอ้เลว! กูไปวางแผนกับมึงตอนไหน” ธงรบปรี่เข้ามาด้วยความโกรธ หมายจะทำร้ายชาติ หากแต่เทอดและตำรวจอีกนายก็รีบเข้ามายึดตัวเขาไว้

“ก็ตอนที่กูคุยกับมึงว่าถ้าทำให้เจตน์บาดเจ็บนิดๆ หน่อยๆ จนต้องพักรักษาตัว มันก็เป็นพระเอกเล่นหนังให้ใครไม่ได้ไง” ชาติพล่ามทุกสิ่งทุกอย่างออกมาอย่างคนเสียสติ “เจตน์มันเจ็บขนาดนี้…สมใจมึงแล้วนี่ เพราะมันคงเล่นหนังไม่ได้ไปอีกนาน มึงก็ได้เป็นพระเอกแทนมันสมใจ”

“มึงหยุดพูดพล่อยๆ นะชาติ” ธงรบตวาดใส่ชาติ พร้อมหันไปพูดกับชายหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงและสายตามองตรงมาที่เขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ ขณะที่ธงรบเองก็เต็มไปด้วยความรู้สึกร้อนรุ่มในใจ เพราะกลัวเพื่อนจะเข้าใจผิด

“ เอ็งอย่างไปฟังมันนะเจตน์ ข้าอธิบายได้” ธงรบชี้หน้าชาติอย่างเอาเรื่อง “ มึงหยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยนะชาติ”

“ กูไม่หยุด หรือไม่จริง วันที่เขาเตรียมรถกันไม่ใช่หน้าที่มึง มึงยังไปช่วยกูเช็กรถ มึงจำได้ไหม” ชาติมองไปยังเจตน์และเทอด ก่อนจะเล่าเรื่องที่เขาเชื่อว่ามันเป็นความจริงทั้งหมดออกมาและเขาก็คิดว่าเขาเห็นความลังเลไม่มั่นใจในตัวธงรบบนใบหน้าของเจตน์และเทอดปรากฏขึ้น

“ ถ้ากูติดคุก มึงก็ต้องติดคุกกับกูด้วย มึงนั่นแหละเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด” ชาติหันไปมองหน้าเจตน์ที่นิ่งฟังเรื่องทั้งหมด ก่อนจะพูดในสิ่งที่ทุกคนพยายามปกปิดและไม่อยากให้เขาได้ยิน

“…มึงรู้ไว้นะเจตน์ ว่าเพื่อนที่แสนดีของมึงเป็นคนทำให้มึงเป็นแบบนี้ ต่อให้แขนขามึงหายเดินได้ แต่มึงก็จะเล่นหนังไม่ได้อีกไปตลอดชีวิต เพราะแผลเป็นบนหน้ามึง” ชาติพูดใส่หน้าเจตน์

“ไอ้ชาติ…” ธงรบตะโกนลั่น คราวนี้เขาสะบัดตัวหนีจากแรงยื้อยุดของเทอดและตำรวจที่จับแขนของเขาไว้ และปรี่เข้าไปชกใบหน้าชาติอย่างที่อยากทำได้สำเร็จ จนใบหน้าของชาติสะบัดไปตามแรงและริมฝีปากเต็มไปเลือด หากแต่ก่อนที่เขาจะได้ชกหมัดต่อไป เทอดและตำรวจนายเดิมก็ออกแรงคว้าแขนและตัวเขาไว้

“จริงหรือวะธง…จริงหรือครับพี่เทอด…” เจตน์ใช้มือแตะตรงผ้าปิดแผลบนโหนกแก้มด้านซ้ายของตัวเอง พร้อมมองหน้าคนที่เรียกว่าเพื่อนและคนที่นับถือดังพี่ชาย เพื่อรอฟังคำตอบถึงสิ่งที่ชาติพูดเกี่ยวกับบาดแผลบนใบหน้าของเขา ความเงียบของทั้งคู่เหมือนเป็นคำตอบที่ดังที่สุด เจตน์หลับตาลงครุ่นคิดเขาน่าจะเอะใจตั้งแต่แรกว่าเขาแทบไม่ได้ส่องกระจกดูตัวเอง รู้แค่ว่ามีบาดแผลบนใบหน้าเมื่อถึงเวลาพยาบาลก็เข้ามาทำแผล ไม่มีใครพูดแผลบนใบหน้า จนเขาคิดว่ามันคงไม่เป็นไร เมื่อลืมตาขึ้น ก็ได้เห็นเทอดพยักหน้าเบาๆ น้ำตาของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

ตำรวจนำตัวชาติออกไปนานแล้วโดยมีเทอดตามไปด้วย ภายในห้องพักฟื้นคนไข้ที่เคยดูกว้างขวาง ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกคับแคบและอึดอัด ในใจชายหนุ่มทั้งคู่ต่างก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่วางซ้อนทับกันอย่างสะเปะปะ จนไม่รู้จะเริ่มต้นจัดการกับความรู้สึกไหนก่อน

“เอ็งทำแบบนี้กับข้าได้ไงวะธง…เอ็งยังเห็นข้าเป็นเพื่อนอยู่ไหม” เจตน์ทำลายความเงียบด้วยการตะโกนใส่คนตรงหน้าที่เขาเคยเรียกว่าเพื่อนด้วยความเสียใจ

“ข้าอยากให้เอ็งฟังข้าอธิบาย” ธงรบพยายามใจเย็นเพื่อไม่ให้ทุกอย่างมันแย่ลง

“เอ็งจะอธิบายว่าอะไร เจตน์ระเบิดอารมณ์ใส่ธงรบด้วยความโกรธ “อธิบายว่าเพราะเอ็งอยากเป็นพระเอกจนต้องวางแผนกับชาติเพื่อทำร้ายข้า” เจตน์พูดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด “หรืออธิบายว่าเอ็งไม่รู้ไม่เห็นในสิ่งที่ชาติมันพูด” ธงรบหลบตาคล้ายยอมรับ ใช่…เขารู้ในสิ่งที่ชาติคิดจะทำ แต่เขาคิดว่าเขาเคลียร์กับชาติได้ จนชะล่าใจว่ามันจะไม่มีเรื่องร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้น

“ข้ามันโง่เอง ที่นึกไม่ถึงว่าชาติจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้” ธงรบตอบด้วยความละอายใจ ขณะที่เจตน์มองหน้าเพื่อนด้วยความผิดหวัง เขารู้ทันทีที่เทอดพยักหน้ายอมรับในสิ่งที่ชาติพูด ว่าชีวิตการเป็นดาราของเขามันจบลงในวินาทีนั้น ไม่มีใครอยากได้พระเอกที่มีแผลเป็น แต่สิ่งที่เจ็บปวดไม่แพ้กันตอนนี้คือคนที่เขาคิดว่าเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายมาหันมาทำร้ายเขาเพียงเพราะอยากเป็นพระเอก

“ต่อไปนี้เอ็งกับข้าเราขาดกัน ข้าไม่เคยมีเพื่อนอย่างเอ็ง” เจตน์ชี้นิ้วไล่ธงรบไปทางประตู

“เจตน์…เอ็งใจเย็นฟังข้าก่อนได้ไหม” ธงรบพยายามขอร้อง

“ข้าฟังมาพอแล้ว และจะไม่ฟังอะไรอีก….”

“เจตน์…เอ็งจะตัดเพื่อนกับข้าแบบนี้ไม่ได้นะโว้ย” ธงรบโวยวายด้วยความกลัวที่จะเสียเพื่อนไป

“ข้าไม่เคยมีเพื่อนชื่อธงรบ…และไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก….ตลอดชีวิต” เสียงเด็ดขาดของเจตน์ทำให้ธงรบมองหน้าคนที่เคยสาบานว่าจะเป็นเพื่อนรักกันไปตลอดชีวิตด้วยความตกใจ

“เจตน์…เอ็งอย่าพูดแบบนี้…ขอเวลาให้ข้าได้อธิบาย…” เจตน์มองหน้าธงรบด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแค้นเคือง และไม่พร้อมจะรับฟังสิ่งใดๆ อีกต่อไป จนเขาจำต้องลากขายาวๆ ของตัวเองให้ก้าวเดินออกจากห้อง และหวังว่าพรุ่งนี้หากเจตน์อารมณ์เย็นลงกว่านี้ เขาอาจมีโอกาสอธิบายทุกอย่างให้เจตน์เข้าใจ ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาอย่างที่เจตน์เข้าใจเลย และเขาไม่ได้อยากเป็นพระเอกจนคิดร้ายกับเพื่อน

 

“ให้ข้าช่วยอธิบายให้เจตน์เข้าใจไหม…” คมเดชพูดกับธงรบที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกจากห้องพักผู้ป่วยด้วยความเห็นใจ เสียงดังที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธของเจตน์ทำให้เขากับขวัญชีวาเลือกที่จะหยุดรออยู่หน้าห้อง เพราะรู้ว่าสถานการณ์ภายในห้องไม่น่าใช่เวลาเหมาะที่เขาจะทะเล่อทะล่าเข้าไป และเขาก็รู้ดีว่าธงรบไม่ได้เป็นอย่างที่เจตน์เข้าใจ และชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนก็พยายามทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น โดยที่เขาสามารถเป็นพยานให้ได้

“ไม่เป็นไรคม เอ็งช่วยข้ามาเยอะแล้ว ข้าเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ให้ได้ ขอบใจเอ็งมากนะ” แววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจของธงรบทำให้ขวัญชีวาคลี่ยิ้มให้กำลังใจชายหนุ่ม เพราะรู้ว่าวันนี้คงหนักสำหรับเขา

“ไว้คุณเจตน์ใจเย็นลง ขวัญว่าเดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นนะคะ” ธงรบมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกขอบคุณ คมเดชและขวัญชีวามองตามร่างสูงของธงรบที่ค่อยๆ เดินห่างไป ไหล่ที่เคยยืดตรงอย่างสง่าในยามก้าวเดิน บัดนี้ดูสิ้นเรี่ยวแรงจนทั้งคู่ต้องหันมาสบตากันอย่างไม่รู้จะช่วยเหลือเช่นไรดี

 



Don`t copy text!