พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 16 : ใต้หน้ากาก

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 16 : ใต้หน้ากาก

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

“หนูขวัญนี่เล่นเก่งนะ…ไม่บอกไม่รู้เลยว่าเพิ่งเล่นหนังมาได้เรื่องเดียว” เสี่ยกำจรออกปากชมขวัญชีวากับคมเดชที่ยืนดูการแสดงอยู่นอกฉาก

“ทั้งสวย…ทั้งเก่งแบบนี้ ถ้าไม่ต้องกลับไปเรียนรับรองว่ามีนายทุนมาขวนให้ไปเล่นหนังอีกเยอะแน่ๆ เสี่ยเห็นด้วยไหมครับ” คมเดชชวนคุย

“นั่นสิ น่าเสียดาย”

“อ่อ…ดูเหมือนพี่เทอดจะถ่ายเสร็จพอดี” คมเดชหันมาบอกเสี่ยกำจรเมื่อเห็นเทอดผละจากกล้องถ่ายเดินออกจากฉากตรงมายังจุดที่ทั้งสองยืนคุยกัน

“สวัสดีครับเสี่ย ลมอะไรหอบมาครับนี่”  ชายที่อาวุโสกว่ารับไหว้เทอด รวมทั้งขวัญชีวาและธงรบที่เดินตามออกมา

“ก็อยากมาดู…ไม่บอกไม่รู้เลยนะว่าสองคนนี้เพิ่งเล่นหนังมาเรื่องเดียว” เสี่ยกำจรยิ้มให้ธงรบและขวัญชีวา

“ต้องขอบคุณอาเทอดกับพี่ๆ เลยค่ะที่ช่วยแนะนำขวัญ” หญิงสาวตอบพร้อมผายมือให้เกียรติเทอด

“นี่ผมยังคุยกับคุณคมเดชเลยนะเทอด หนูขวัญ” เสี่ยกำจรมองมาที่เทอดและหญิงสาว “ว่าน่าเสียดายที่หนูต้องไปเรียนต่อ ไม่งั้นผมจะปั้นให้เป็นนางเอกดังของวงการเลย” เสียงหัวเราะด้วยความชอบใจของเสี่ยกำจรทำเอาธงรบหน้าตึงด้วยความไม่พอใจ

“เสี่ยกำจรก็พูดเกินไปค่ะ ขวัญไม่ได้เก่งขนาดนั้น”

“ผมว่าเราไปคุยกันต่อที่ห้องพักดีไหมครับ จะได้ทานข้าวกลางวันด้วยกันด้วย” เทอดตัดบท

“เอาสิ…ไปกันหมดนี่เลย เชิญๆ หนูขวัญ” เสี่ยกำจรเบี่ยงตัวผายมือให้ทุกคนเดินนำหน้าไป ก่อนปิดท้ายขบวนด้วยการเอามืออีกข้างหนึ่งวางแตะแผ่นหลังของขวัญชีวา ธงรบที่จับตามองอยู่รีบตะครุบมือของเสี่ยกำจรที่วางอยู่บนแผ่นหลังของขวัญชีวามากุมแน่นไว้ด้วยมือทั้ง 2 ข้างของตัวเอง จนเสี่ยกำจรหันมามองหน้าชายหนุ่มด้วยความตกใจและไม่พอใจ

“เสี่ยครับ” ธงรบมองหน้าเสี่ยกำจรที่จ้องมองเขาอยู่แล้วอย่างไม่พอใจ

“คือ…” ชายหนุ่มพยามนึกสรรหาคำพูดเหมาะๆ “คือ…ผมยังไม่ได้ขอบคุณเสี่ยอย่างจริงๆ จังๆ เลยครับ ที่เสี่ยให้โอกาสผมได้เป็นพระเอกในหนังเรื่องนี้” พูดจบชายหนุ่มก็รีบค้อมตัวซ้ำๆ เพื่อซ่อนสีหน้าและแววตาที่มีพิรุธตัวเอง เสี่ยกำจรเห็นทีท่าอ่อนน้อมอย่างเอาอกเอาใจของหนุ่มรุ่นลูก ก็ยกมืออีกข้างมาตบหลังมือชายหนุ่มเบา พร้อมหัวเราะเสียงดังด้วยความพึงใจ  “เอ้าๆ พอแล้วๆ ไม่เป็นไรๆ”

 

“ข้าบอกเอ็งตรงๆ นะเจตน์ ข้าไม่ไว้ใจเสี่ยกำจรเลยว่ะ” ธงรบระบายความขับข้องใจและพฤติกรรมของเสี่ยกำจรให้เพื่อนรักฟังในวันที่เขามาเยี่ยมดูอาการของเจตน์ที่ค่อยๆ ดีวันดีคืน

“เอ็งอคติกับเขามากไปเองหรือเปล่าวะธง” เจตน์พยายามยั้งๆ ความคิดเห็นในแง่ร้ายของเพื่อนหนุ่ม เพราะในวงการเสี่ยกำจรถือเป็นคนที่มีอิทธิพลและมีคนนับหน้าที่ตามากที่สุดคนหนึ่ง ขนาดเทอดยังให้ความเกรงใจ “อีกอย่างเสี่ยกำจรเขารักลูกรักเมียเขายังกับอะไรดี”

“ เอ็งต้องเชื่อข้า…มันไม่ใช่คนดี” ธงรบย้ำด้วยอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัว นี่จะให้เขาบอกเจตน์ยังไงว่าตอนนี้เขาไม่ใช่ธงรบในวัย 27 ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่เป็นธงรบในวัย 82 ที่รู้ดีว่าเสี่ยกำจรคิดจะทำอะไร และอะไรกำลังจะเกิดขึ้น และก็รู้ด้วยว่าขืนเขาเข้าไปยุ่งกับอดีตมากอนาคตอาจจะยุ่งเหยิง ที่ผ่านมาแค่ช่วยเจตน์ให้ไม่ต้องเจ็บตัวถึงขั้นต้องออกจากวงการ เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าถ้ากลับไปในปีปัจจุบัน อนาคตของเขาและเจตน์จะเปลี่ยนไปขนาดไหน สุดท้ายธงรบก็ทำได้แค่ก่นด่าด้วยความไม่พอใจ

“เสี่ยนั่นมันพวกตาแก่ตัณหากลับ”

“ธง…เอ็งกล่าวหาเขาแรงไปหรือเปล่าวะ” เจตน์ร้องปราม

“เอ็งคิดดูนะ เวลามันมากองก็ชอบมาชวนน้องขวัญคุยอยู่เป็นนานสองนาน เดี๋ยวก็ซื้อโน่น ซื้อนี่มาให้ เวลาคุยก็มีหลอกจับไม้จับมือบ้างละ แตะไหล่ ลูบหัวบ้างละ…” ธงรบสาธยายด้วยความไม่พอใจจนเจตน์ถึงกับต้องนิ่งคิดและสังเกตอาการของชายหนุ่มเมื่อพูดถึงหญิงสาวที่เขาพึงใจ

“น้องขวัญนี่ก็อีกคน…ข้าเตือนเขา เขาก็หาว่าอคติเหมือนที่เอ็งว่าข้าเลย เขาบอกข้าว่าไงรู้ไหม เขาบอกว่าเสี่ยนั่นมันอายุร่นราวคราวเดียวกับพ่อเขา แต่…ข้ารู้นะเจตน์ ว่าเสี่ยนั่นไม่ได้เอ็นดูน้องขวัญแบบลูกแบบหลานหรอก”

“แล้วเอ็งจะให้ข้าทำไง” เจตน์ถาม

“ข้าก็ไม่รู้ แต่ข้าไม่อยากเล่นไอ้หนังบ้าของเสี่ยนั่นแล้ว ไม่อยากให้น้องขวัญเล่นด้วย เปลืองตัวฉิบ” ธงรบสบถ

“เอ็งใจเย็นๆ หน่อยได้ไหมธง อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม มันอาจจะไม่มีอะไรแบบน้องขวัญบอกก็ได้…ดีไม่ดีเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ซะเปล่าๆ” เจตน์พยายามเตือน “ แล้วถ้าเอ็งเลิกเล่น เอ็งไม่คิดเหรอว่าคนอื่นในกองถ่ายเขาจะไม่ต้องมาพลอยเดือดร้อนไปกับเอ็ง”  นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ชายหนุ่มอยากบอกเพื่อนใจจะขาดว่าสุดท้ายพอถึงเวลาทุกคนก็กระจัดกระจายหายไปเพราะหนังเรื่องนี้ยังไงมันก็เป็นหนังที่ถ่ายไม่จบ

“เอ็งอยากได้ชื่อว่าเป็นพระเอกครึ่งๆ กลางๆ งั้นหรือ” เจตน์มองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก จะผ่านไปกี่ปีๆ นิสัยเจ้าอารมณ์ของชายหนุ่มยังคงเส้นคงวาไม่เคยเปลี่ยน และเขารู้ดีด้วยว่าธงรบนั้นเป็นพวกชอบเอาชนะ “ข้าไม่อยากให้เอ็งถอดใจ หรือยอมแพ้อะไรง่ายๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ตั้งใจเล่นหนังเรื่องนี้ให้มันจบ เพราะข้าจะรอดู”

“เอ็งไม่ต้องสนใจหนังของข้าหรอก…สนใจว่าเขาจะเอาน้องขวัญมาเป็นเมียน้อยเขาหรือเปล่าจะดีกว่า” ธงรบโพล่งออกไปด้วยความโกรธเมื่อนึกถึงมือที่มาสัมผัสตัวขวัญชีวา

“ธงเอ็งฟังข้านะ เรื่องเสี่ยกำจร คนในกองก็เยอะแยะ ถ้าเขาทำอะไรประเจิดประเจ้ออย่างเอ็งว่าจริง คนทั้งกองถ่ายก็ต้องรู้”

“แต่ข้าเป็นห่วงน้องขวัญ” ธงรบไม่ยอมแพ้ จนเจตน์นิ่งไปอย่างคนใช้ความคิดอีกครั้ง ทำไมเขาไม่เคยเอะใจหรือสังเกตความรู้สึกของคนตรงหน้า ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ชอบขวัญชีวา ธงรบเองก็คงเหมือนกัน ท่าทีเป็นห่วงเป็นใย แสดงความเป็นเจ้าของแบบที่เขาไม่เคยเห็นเริ่มสะกิดใจเขา

“เอาเป็นว่าข้าจะลองหาทางช่วยเอ็งดู เอ็งก็ใจเย็นๆ ใช้หัวหน่อยอย่าใช้แต่อารมณ์” จริงของเจตน์ ทำไมเขาคิดไม่ได้ทั้งในตอนนั้นและตอนนี้ เขายังจำความหัวร้อนที่ทำให้ทุกอย่างพังลงในปีนั้นได้ดี

ปี 2512

วันนั้นกล้อง 16 มม.ที่เทอดใช้ในการถ่ายทำอยู่เป็นประจำมีปัญหาในการบันทึกภาพทำให้เทอดต้องตัดสินใจยกเลิกการถ่ายทำเร็วกว่ากำหนดและนำกล้องไปซ่อมด้วยตัวเอง คมเดชขอตามเทอดไปด้วยเพราะไม่มีอะไรทำ ส่วนขวัญชีวาเธอนัดให้ช่างตัดเสื้อมาวัดตัวที่กองถ่ายเลยจำเป็นต้องอยู่รอ ซึ่งเทอดก็รับปากว่าจะรีบกลับมารับเธอไปส่งบ้านเหมือนเช่นที่เคยทำทุกวัน ส่วนเขาเลือกที่อยู่เป็นเพื่อนเธอจนช่างตัดเสื้อมาถึง  ตอนแรกเขาเองก็อยากอยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวเพื่อเทอดกลับมา หากแต่ขวัญชีวาก็ไล่เขาโดยให้เหตุผลว่าเธอดูแลตัวเองได้และเธอก็มีช่างตัดเสื้ออยู่ด้วย เขาขับรถไปได้ครึ่งทางก็ตัดสินใจวกรถกลับมาที่โรงถ่ายด้วยความรู้สึกเป็นห่วง และก็ต้องแปลกใจที่เห็นรถของเสี่ยกำจรจอดอยู่ด้านหน้าแทนที่จะเป็นรถของเทอด

ชายหนุ่มเดินเข้าไปในโรงถ่ายและสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ที่พื้น ที่ถูกก่อสร้างให้เป็นฉากต่างๆ ค้างไว้ เพราะรู้ว่าขวัญชีวาชอบมาเดินดูฉากที่ใช้ในการถ่ายทำ เมื่อไม่เห็นใครเขาก็เบาใจคิดว่าเทอดคงมารับเธอกลับบ้านไปแล้ว แต่ทันทีที่หันหลังกลับเขาก็ได้ยินเสียงหวีดร้องของเธอดังขึ้นจากห้องพักนักแสดงที่อยู่ด้านใน ธงรบรีบวิ่งไปตามเสียไปทันที เขากระชากประตูห้องให้เปิดออก และทันได้เห็นขวัญชีวาที่วิ่งตรงมากอดเขา

“คุณธง…ช่วยขวัญด้วย” ขวัญชีวาร้องบอกเสียงสั่น ร่างเล็กที่กอดอดเขาแน่นจนเขารู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่เธอมี ธงรบค่อยๆ ดึงตัวเธอออก จนได้เห็นว่ากระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนหลุดหายจนเห็นเนินอก ธงรบมองหน้าชายสูงวัยที่อยู่ไม่ไกลด้วยความโกรธ และยิ่งโกรธมากขึ้นมือเห็นผ้าคาดผมของเธอในมือชายสูงวัย เขากำหมัดถลาเข้าไปชกหน้าเสี่ยกำจร หากแต่เสี่ยกำจรก็เหมือนรู้ตัวว่าจะโดนทำร้ายเลยพยายามล้มและสู้กลับ จนทั้งทั้งคู่ล้มลง เขาอาศัยความหนุ่มและความไวกว่าของตัวเองประเคนหมัดใส่ใบหน้าของเสี่ยกำจรแบบไม่ยั้ง จนเสี่ยกำจรต้องปัดป้องเป็นพัลวัน  รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อมีมือมายื้อยุดลากตัวเขาขึ้นมาพร้อมเสียงตวาดของเทอดที่สั่งให้เขาหยุด เมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยและตั้งหลักได้เสี่ยกำจรก็รีบลุกขึ้นและชี้หน้าด่าเขา ตามด้วยประโยคที่ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้เป็นพระเอกอีกเลย

“ต่อไปนี้มึงไม่ต้องมาเป็นพระเอกให้กู” เสี่ยกำจรจ้องชายหนุ่มรุ่นลูกที่ทำร้ายตนอย่างกินเลือดกินเนื้อ ชี้หน้าพร้อมประกาศกร้าว “กูจะคอยดูว่ามึงจะอยู่ในวงการนี้ได้สักกี่น้ำ”

 

ธงรบยังจำสายตาที่เต็มไปด้วยหวาดกลัวของขวัญชีวาในวันนั้นได้ดี ตลอดทางที่นั่งรถมากับเขาหญิงสาวเอาแต่ซุกตัวอยู่ริมประตู จนเขาต้องจอดรถข้างทางและบอกให้เธอร้องไห้ออกมา โดยตัวเขาจะออกไปยืนรอเธออยู่ด้านนอก เสียงร้องไห้ที่ลอดดังออกมาจากตัวรถทำให้ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนพิงสะโพกอยู่ท้ายรถรู้สึกเหมือนคมมีดที่บาดเข้าไปในหัวใจและทำให้เขารู้สึกเจ็บไม่แพ้เธอ เขามองผ่านกระจกท้ายรถไปยังแผ่นหลังบางที่สั่นไหวด้วยเสียงสะอื้นอยู่หน้ารถ ความคิดอยากเข้าไปโอบกอดซับน้ำตาและอยากปกป้องจู่โจมเข้ามาในความรู้สึกและในวินาทีนั้นมันก็มากพอแล้วที่ทำเขารู้ใจตัวเอง ว่าเขารักเธอด้วยหัวใจเขาทั้งหมดที่มี พร้อมๆ รู้ดีว่าหลังจากส่งขวัญชีวากลับบ้าน โอกาสที่เขาจะได้เจอเธอคงน้อยเต็มที เพราะไม่มีเหตุอะไรให้ต้องเจอกัน คงหมดเวลาล้อเล่นโต้เถียงและจริงจังกับความรักที่ใกล้จะหลุดลอยเสียที

เมื่อรถจอดลงหน้าบ้านธงรบก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจ แม้รู้ว่าจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะ แต่หากเขาปล่อยให้เธอลงจากรถไป เขาคงไม่มีโอกาสจะได้พูดอีกเลย

“ขอบคุณคุณธงนะคะ ที่กลับมาช่วยขวัญ”

“ขวัญ…” ธงรบเอื้อมมาจับคว้ามือเล็กที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ

“คะ”

“พี่อยากบอกว่า…พี่ชอบขวัญ” ชายหนุ่มสบตาหญิงสาวโดยไม่หลบ “ ชอบและอาจมากไปถึงรัก” คำว่ารักที่หลุดออกมาทำให้ขวัญชีวาถึงกับสบตาคมด้วยความสายตาค้นคว้า ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอรู้ว่าชายตรงหน้าเป็นคนที่มักทำคิดทำโดยใช้อารมณ์ก่อนเหตุผล และอารมณ์ที่เขากำลังเปิดเผยให้เธอได้รับรู้ตอนนี้มันกำลังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในหัวใจของเธอ

“พี่รู้ว่าเวลานี้มันไม่เหมาะที่จะพูด แต่พี่อยากให้ขวัญรู้…พี่เสียใจที่มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พี่น่าจะปกป้องขวัญได้มากกว่านี้”

“คุณธงเองก็เจ็บตัวเพราะช่วยฉัน” เธอมองรอยแผลใบหน้าชายหนุ่มที่ได้มาเพราะเธอด้วยความห่วงใย

“แผลทางกายไม่นานคงหาย” ธงรบแตะมุมปากของตัวเองเริ่มรู้สึกเจ็บ “คงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ขวัญเจอ”

ขวัญชีวามองชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง แสงยามเย็นกระทบเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มสว่างชัดขึ้นในดวงใจ ดวงตาคมเต็มไปด้วยความหมายดังพูด จนเธอต้องเบือนหน้าหนีเพราะเริ่มกลัวคำตอบในหัวใจตัวเอง

“ถ้าพี่จะขอมาเจอขวัญบ้าง…ขวัญจะว่าอย่างไร เพราะถ้าขวัญลงจากรถไปเราไม่ได้เจอกันอีก พี่อยากให้ขวัญรู้ว่าพี่จริงใจและจริงจัง”

ขวัญชีวานิ่งคิด ตั้งแต่ที่เธอกลับมา ชีวิตเธอก็ขลุกอยู่ในกองถ่ายของเทอด การได้เจอกับเพื่อนๆ พี่ๆ ในกองถ่ายทำให้แต่ละวันของเธอเต็มไปด้วยความสนุก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอคงไม่กลับไปเล่นหนังให้เสี่ยกำจรและคงไม่ได้เจอกับคนที่ช่วยเหลือและเป็นที่พักพิงให้เธออย่างวันนี้อีกแล้วเหมือนที่เขาพูด แค่เพียงนึกว่าจะไม่ได้เจอ ความโหยหาก็แล่นมาให้รู้สึก

ธงรบมองหญิงสาวตรงหน้าที่นั่งนิ่งอย่างคนที่ใช้ความคิด อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้รังเกียจเขาด้วยการปฏิเสธขึ้นในทันทีทันใด

“พรุ่งนี้พี่จะมาหาขวัญที่บ้าน” แววตาคมทำลายภวังค์ความคิดของเธอพร้อมฉายกร้าว “อย่างน้อยถ้าขวัญไม่รังเกียจ พี่ก็ต้องเข้าตามตรอกออกตามประตู” ธงรบรวบรัดมัดมือชกจนหญิงสาวมองเขาตาโตด้วยความตกใจ “และพี่ก็จะทำให้ขวัญบอกชอบพี่ให้ได้”

 

ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่บ่ายวันรุ่งขึ้นเมื่อเขามาหาขวัญชีวาตามสัญญา เขาก็ได้เจอกับสมาชิกในครอบครัวของเธอแบบพร้อมหน้าทั้งปู่เล้ง เสี่ยอาชา คุณแขไข รวมทั้งโมกและไม้ พี่ชายทั้ง 2 คนของเธอ จากที่คิดว่าจะได้พูดคุยกับขวัญชีวาสองต่อสอง เพื่อให้เกียรติเธอและอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ กลายเป็นเขาต้องนั่งสนทนากับทั้งครอบครัวของเธอ จนห้องรับแขกที่เขารู้สึกว่าใหญ่เริ่มคับแคบไปถนัดตา

ปู่เล้งมองชายหนุ่มหน้าตาดีตรงหน้าด้วยความนิยมชมชอบในความกล้าหาญที่กล้าเข้าตามตรอกออกตามประตูมาแนะนำตัวเองถึงบ้านเขา แถมมาในวันที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า หน้าตาหน่วยก้านก็ดูเข้าที ดวงตาคมเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่ยอมคน ทำให้คนที่อาบหน้าร้อนมาก่อนถึงกับยิ้มมุมปาก

“ชื่ออะไร…ทำงานอะไรล่ะเรา” ชายชราซักไซ้ ขณะที่คุณกำจรกับคุณแขไขมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างประเมิน โดยมีโมกและไม้ที่พอรู้จักชายหนุ่มอยู่บ้าง นั่งคุมเชิงน้องสาวอยู่ไม่ห่าง

“ชื่อธงรบครับ…ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่การรถไฟ ตอนนี้เล่นหนังเป็นดาวร้ายครับ” แค่ได้ยินคำว่าดาวร้ายคุณแขไขถึงกับเอามือทาบอก เหลือบตามองบน

“แล้วนี่หน้าตาไปโดนอะไรมา” คุณอาชามองใบหน้าที่มีร่องรอยของบาดแผล

ธงรบเหลียวมองขวัญชีวาที่มองมาที่เขาอยู่แล้วอย่างคนที่กลัวเหตุการณ์เมื่อวานจะบานปลายหากทุกคนรู้ความจริง พร้อมหันมาตอบเสี่ยอาชาตามจริง

“พอดีเมื่อวานนี้มีเรื่องชกต่อยมานิดหน่อยครับ” คุณอาชาหันมองหน้าลูกสาวพร้อมพยักหน้ารับรู้เบาๆ โดยไม่ถามอะไรเพิ่ม เพราะคาดเดาได้ว่าบาดแผลบนใบหน้าของชายหนุ่มอาจมีที่มาจากบุตรสาวของตนเป็นต้นเหตุ  ซึ่งธงรบก็ไม่จำเป็นต้องเล่าอะไรให้ยืดยาว และถึงเล่าเขาก็คงไม่พาดพิงอะไรถึงหญิงสาว มิเช่นนั้นเธอคงเล่าให้ครอบครัวฟังไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ ขณะที่คุณแขไขผู้เป็นภรรยาต้องอกมือทาบอกด้วยความตกใจอีกรอบ พร้อมทั้งยังต้องตอบคำถามอีกมากมายของคุณแขไข จนหญิงสาวต้องคอยส่งยิ้มให้กำลังใจเขาอยู่เป็นระยะๆ และสุดท้ายความกล้าบ้าบิ่นของธงรบก็ทำเอาคนทั้งครอบครัวของเธอถึงกับนิ่งอึ้งไป เหมือนที่เธอเคยเจอ

“ผมมีเรื่องอยากจะเรียนด้วยครับ” ธงรบกวาดสายตามองทุกคนก่อนสบตาขออนุญาตไปยังชายชราที่นั่งมองเขาอย่างพินิจพิจารณาอยู่หัวโต๊ะ

“ผมชอบน้องขวัญชีวาครับ…” ธงรบรู้ดีว่าหากอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าทำเสือ และต้องพร้อมแสดงความจริงใจให้คนครอบครัวของเธอได้รู้

“อะไรนะ” เสียงของผู้เป็นมารดาที่แสดงความตกอกตกใจ แทบจะแทนเสียงของทุกคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เธอต้องตกอกตกใจจนมือทาบอกเพราะชายหนุ่มตรงหน้า

“น้าว่าขวัญยังเด็ก…จะรักจะชอบกันตอนนี้คงไม่เหมาะ” คุณแขไขตอบอย่างไว้เชิง ถึงรูปร่างหน้าตาจะหล่อเหลา แต่เต้นกินรำกินเห็นทีคงไม่ไหว แถมยังเป็นดาวร้ายอีก จะให้ลูกสาวมาคบหากับคนแบบนี้ได้อย่างไร

“ผมรู้ว่าอีกไม่นานน้องขวัญก็ต้องไปเรียนต่อ ระหว่างนี้ผมขออนุญาต…ไปมาหาสู่”  แววตาและคำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นคง แน่วแน่ ทำเอาปู่เล้งถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ขณะที่เสี่ยอาชาคอยมองลูกสาวที่สบตาชายหนุ่มอยู่เป็นระยะด้วยสีหน้าครุ่นคิด หากแต่ก็ไม่ตัดรอนจนทำร้ายจิตใจบุตรสาวเสียทีเดียว อย่างน้อยถ้าชายหนุ่มตรงหน้ามันคิดจะจริงจังอย่างปากว่า ก็ให้มันอยู่ในสายตาเขานี่แหละ

“ถ้าจะไปก็ไปแค่สวนหน้าบ้าน ถ้าจะมาก็มากินข้าวด้วยกันที่บ้านนี่ละ”

“คุณพี่” ผู้เป็นภรรยามองหน้าสามีที่เอ่ยปากอนุญาตชายหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกด้วยความตกใจอีกรอบ

 

ธงรบมารู้ทีหลังจากคมเดชว่า วันนั้นหลังจากเขาออกไป เทอดก็ตัดสินใจปกป้องเขาและขวัญชีวาด้วยการยกเลิกการเป็นผู้กำกับหนังให้เสี่ยกำจร ทั้งเรื่องนี้และเรื่องต่อๆ ไป พร้อมขู่เสี่ยกำจรด้วยว่าให้ต่างคนต่างอยู่ อย่าได้คิดใช้เส้นสายทำอะไรเขา ธงรบ หรือขวัญชีวา แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะไม่ถูกพูดถึงอีกเลย และที่สำคัญจะไม่ถึงหูคุณนายปราณีผู้เป็นภรรยา เสี่ยกำจรจำใจรับปากด้วยความคับแค้นใจ แต่ก็ทำอะไรเทอดไม่ได้มากนัก เพราะเทอดเองก็ไม่ใช่ผู้กำกับธรรมดาๆ พ่อและพี่ๆ ของเขาก็มีอิทธิพลพอตัว วันรุ่งขึ้นหนังเรื่องนี้ก็ถูกเลื่อนถ่ายอย่างไม่มีกำหนด และนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นพระเอกหนังแบบครึ่งๆ กลางๆ

“คุณธงไม่ต้องมาหาขวัญบ่อยๆ ขนาดนี้ก็ได้มั้งคะ”

“ไม่ได้หรอก โบราณว่าไว้ ดักลอบต้องหมั่นกู้ เจ้าชู้ต้องหมั่นเกี้ยว เดี๋ยวน้องขวัญไปชอบคนอื่นพี่ก็แย่เลย” ธงรบตีหน้าเศร้า

“ถ้าฉันชอบคนอื่นฉันบอกคุณธงคนแรกเลยดีไหมคะ” เธอยิ้มหวานใส่ตาเขา

“เมื่อไหร่…น้องขวัญจะเรียกพี่ว่าคุณเสียที…ฟังแล้วดูห่างเหินเหมือนไม่รักกัน”

“รักหรือไม่รักมันเกี่ยวกับคำเรียกด้วยหรือคะ” หญิงสาวแกล้งถาม “เรียกแบบนี้ดีออก…ไม่เหมือนใครดี ฉันชอบ”

“แต่พี่ไม่ชอบ…” ธงรบหน้าบึ้งจนหญิงสาวอมยิ้มขำในอาการแง่งอน

 

เมื่อผู้เป็นบิดาไม่ได้ออกปากไปไล่และให้โอกาส ธงรบก็เดินก็เดินหน้าจีบหญิงสาวเต็มที่ วันไหนที่ไม่ต้องถ่ายหนังให้เทอด หรือผู้กำกับคนอื่นที่เทอดช่วยฝากฝัง ธงรบก็มักจะแวะเวียนมาหาขวัญชีวาที่บ้าน เพราะรู้ว่ามีเวลาอยู่กับหญิงสาวน้อยลง และทุกครั้งเขาก็มักมีของติดไม้ติดมือมาฝากทุกคนภายในบ้านเสมอๆ เขานั่งคุยกับขวัญชีวาอยู่ในสวนอย่างที่คุณอาชาอนุญาต

บางครั้งเขาก็ไปนั่งคุยกับคุณปู่เล้ง ฟังคุณปู่เล่าเรื่องเก่าๆ ไม่ก็ชวนออกไปโรงงิ้วโดยมีขวัญชีวาไปด้วย คุณแขไขเองจากที่เคยตั้งป้อมหวงลูกสาวนานวันเข้าก็เริ่มชอบพออัธยาศัยของชายหนุ่มที่ต่างจากบทบาทดาวร้ายที่เขาได้รับ ส่วนคุณอาชาเองก็ถูกใจในนิสัยตรงไปตรงมาและความจริงใจของชายหนุ่มที่มีต่อลูกสาวเขา เพราะแม้ขวัญจะบินไปเรียนต่อธงรบก็ยังหาเวลาว่างมาทานข้าวร่วมกับครอบครัวของเธออย่างที่เคยทำ จนบางครั้งเมื่อธงรบหายหน้าหายตาไปนานๆ เพราะต้องถ่ายหนัง ถ่ายละครจนแทบไม่มีเวลาคุณแขไขถึงกับต้องออกโรงให้โมก หรือไม้ผู้เป็นลูกชายคอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอยู่เสมอๆ

 

ธงรบยังจำได้ดีในวันที่เขาไปส่งขวัญชีวาไปเรียนต่อและมองส่งเธอจนลับสายตา ใจเขาก็เริ่มเฝ้านับวันเวลาให้เธอกลับมา คำพูดเพียง 2-3 ประโยค และกระดาษในมือ ก็ทำเอาหัวใจเขาพองโต

“เก็บไว้ให้ดีนะคะ” หญิงสาวคว้ามือชายหนุ่ม ขึ้นมาหยิบกระดาษใบเล็กที่พับอย่างดีใส่มือธงรบ

“พี่ธงต้องเขียนจดหมายหาขวัญ” สรรพนามที่เปลี่ยนไปของหญิงสาวตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มยิ้มกว้างก้มลงมองกระดาษในมือ “เล่าทุกอย่างในชีวิตพี่ธงให้ขวัญฟัง…ที่สำคัญห้ามพี่ธงเปลี่ยนใจ” หญิงสาวส่งรอยยิ้มหวานพร้อมขู่สำทับ

“พี่สัญญา”

 



Don`t copy text!