หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

“เตคิดถึงบ้านไหม” ยายเฒ่าลงผีถามขึ้น ยกขุนออกจากช่องมุมของกระดาน

“อือ” ศศินพยักหน้า ระบายลมหายใจเชื่องช้า “เมื่อใบไม้ถูกปิดปากมิให้มันคายน้ำ ลมหายใจย่อมชะงักลง ปลิดปลิวลงสู่พื้น หวนคืนสู่ราก สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเกิดมาล้วนแล้วแต่มีรากเหง้าของตนเอง อัญหวนคิดถึงกระท่อมน้อยชายป่าเมื่อใด ก็อดทอดถอนใจไม่ได้”

“จะว่าไป…ก่อนหน้านี้เตเคยถามถึงการนำผลึกเศษะไปปรุงเป็นผงพิษ แต่ผลึกชนิดนี้กลับปรุงไม่ง่าย”

“ทันพิธีโหมกูณฑ์ในวันมะรืนฤๅไม่” ชายหนุ่มเดินเบี้ยถอยร่นหลอกล่อ ไอสังหารเข้มข้น

กระดานจตุรงค์ที่วางอยู่ตรงกลางระหว่างหญิงชรากับศศินมีทั้งหมดหกสิบสี่ตา ดั้งเดิมดังปรากฏในคัมภีร์ภวิชยปุราณะ

อันที่จริงจตุรงค์มีตัวหมากสี่ชุดสำหรับผู้เล่นสี่คน แต่ยามนี้หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษวางหมากเพียงสองชุดสำหรับสองคนเดิน และแต่ละชุดประกอบด้วย ขุน ม้า เรือ โคน และเบี้ยอีกสี่ รวมเป็นแปดตัว ฝ่ายหนึ่งดำฝ่ายหนึ่งขาว

“คงทัน” หญิงชราเดินขุนชิดขอบกระดานอีกครั้ง “แต่อัญรู้จักคนผู้หนึ่ง เชี่ยวชาญเรื่องผลึกชนิดนี้นัก”

“ผู้ใด” ศศินหลุบตามองกระดาน ขนตาดำสนิทประหนึ่งขนกา

“อีสา” หญิงชราตอบ “ตระกูลมันรับจ้างร่อนแร่มาตั้งแต่ยายย่าตาปู่ ครั้งกระโน้นก็พวกมันนั่นละที่ร่อนผลึกเศษะได้”

ศศินตัดสินใจเคลื่อนม้าเข้าไปวางบีบ พลันเนื้อหนังรู้สึกคันยุบยิบจากเถ้าถ่านของคนตาย

ชายหนุ่มสะอิดสะเอียนเมื่อไพล่นึกถึงหัวกะโหลกชาวรุ้งพรายที่หลงเหลือจากการไหม้ขณะที่มันเดินย้อนกลับเข้าไปดูสภาพหมู่บ้าน กลิ่นคาวเลือดปนเปกับดอกซ้อนฉุนกึกติดจมูก

มหาเสนาปติจักต้องตายอย่างทรมาน

ศศินเงยหน้าขึ้น หลังให้คำมั่นกับตัวเองอย่างแน่วแน่

“ชื่อนี้คงไม่ใช่สาวรุ่น”

“รุ่นราวคราวเดียวกับอัญ” ยายเฒ่าลงผีผงกศีรษะ

“หากยายสาสามารถปรุงผลึกเศษะให้ข้าได้ แผ่นดินศกุนตะจักกลายเป็นนรกแห่งองค์รุทร เป็นสถานที่ที่มีแต่ความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน เกินกว่าจินตนาการของพวกมันจักนึกถึง อัญจักบีบบีฑาจนกว่าพวกมันจักรู้ซึ้ง กระทั่งต้องละทิ้งความหวังทั้งมวลเพราะมิอาจทนดิ้นพล่านอีกต่อไป ก่อนลากร่างพวกมันทั้งหลายเข้าสู่ประตูโลกันตร์” น้ำเสียงชายหนุ่มฟังดูแหบพร่า

สตรีสูงวัยส่งเสียงยินดีในลำคอ

“อยู่กับสตรีวิปลาสเป็นอย่างไร” ศศินเปลี่ยนเรื่อง หลังนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ “นางคุ้มครองยายเฒ่าดีฤๅไม่”

“ตอนที่บานเมืองถูกจับแยกกับแม่เตใหม่ๆ ดูแล้วนางก็ยังมีความหวัง จึงใช้อิสรภาพของตนต่อรองกับนายจำกอบ แลกความปลอดภัยของเผ่ารุ้งพราย ทว่า…” ยายเฒ่าลงผีเดินขุนหลบ “พอได้ยินข่าวเรื่องนางเดือนเมื่อสามปีก่อน สภาพก็เป็นอย่างที่เตเห็น”

สีหน้าของศศินยังคงไม่เปลี่ยน แม้นึกถึงสิ่งที่บานเมืองต้องแบกรับ หยิบเบี้ยสีดำขึ้นมาคลึงเล่นในมือ จากนั้นเงียบงันไปอีกครั้ง

“หวังว่าหลังความทุกข์ยากทั้งมวล นางจักพบพานความสุขเสียที” ศศินขยับริมฝีปาก

ช่างเป็นความคิดที่น่าสังเวช ทั้งที่กายของสตรีชาวศกุนตะส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในขุมนรกของบุรุษ ถึงเช่นนั้นพวกนางกลับยังคงหวัง หวังว่าสักวันจะมีคนช่วยดึงร่างให้หลุดพ้นออกมาได้ แต่วันเวลาที่ต้องอยู่ในกรงแห่งปิตายาวนานเกินไป ในที่สุดพวกนางก็กระหนักได้ว่าแนวคิดแดนสุขาวดีนั้นช่างโง่เง่า

“นางคงไม่รู้ว่าเรือนของไอ้หาญเป็นสถานที่เช่นไร มีเพียงผู้ชายโสโครกเท่านั้นที่จะอยู่ที่นั่นได้” ยายเฒ่าลงผีเอ่ยอย่างเวทนา “ไม่ว่าสตรีใด หากเข้าไปในนั้นแล้ว ออกมาย่อมต้องเสียสติ”

ศศินปิดเปลือกตาลงเชื่องช้า ถอนใจอย่างเศร้าสลด ปลายนิ้วเรียววางเบี้ยปิดทางขุนของยายเฒ่า

ยายเฒ่าลงผีพินิจกระดานหมากจตุรงค์ เบี้ยทุกตัวคล้ายเป็นชีวิตมนุษย์ การวางขุนวางเบี้ยสามารถบ่งบอกอุปนิสัยของผู้เล่นได้

เบี้ยดำในมือของศศินเดินบีบก่อนฟาดฟันศัตรูอย่างเฉียบขาด มิหนำซ้ำยังไม่สนใจความเป็นความตายของเบี้ยแม้แต่น้อย

“ยายเฒ่าแพ้แล้ว”

เบี้ยของชายหนุ่มถูกกินไปเกือบทั้งกระดาน แต่มันเป็นฝ่ายกำชัย

ความโหดเหี้ยมเช่นนี้ แม้แต่ปลายนิ้วของหญิงชรายังอดสั่นระริกไม่ได้ คล้ายมีไอยะเยือกปริศนาคืบคลานมาลูบไล้ให้ขนลุก

“เมื่อได้ศาลิครามศิลามาฝังไว้ในกาย อัญคงวิปลาสมิต่างกับนางบานเมืองกระมัง” ชายหนุ่มเอ่ยคล้ายพึมพำให้ตนฟัง

“ไม่ดอก เรื่องผ่าและเย็บหนังคนนี่ อัญถนัดนัก” ยายเฒ่าลงผีหวัวร่อคิกคัก “รับรองว่าเรื่องราวของเตจักไม่ชวนให้เผ่ารุ้งพรายสิ้นหวังถึงเพียงนั้น”

 

สงครามไม่เคยสิ้นสุด ทุกสิ่งถูกแบ่งแยกด้วยความขัดแย้งเรื่องชนชั้นและการเมืองแสนอันตราย

การต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธและความแข็งแกร่งของแม่ทำให้ปูรณิมประทับใจเสมอมา ขณะที่ชายอื่นต่างหวาดผวา พ่อของมันกลับพึงใจที่ได้เห็นเมียรักไม่ยอมนอนแบ็บอยู่กับพื้นหลังถูกเหวี่ยงลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า

ชาวศกุนตะทุกคนได้ยินเรื่องเล่าจากเหมือง เรื่องดำฤษณาระหว่างเดือนเผ่ารุ้งพรายกับบานเมือง ทำให้ชาวบ้านร้านตลาดจับจ้องนางเขม็ง พลางปกป้องความเป็นชายจริงหญิงแท้ของพวกมันยามต้องเสวนากับลูกสาวนายจำกอบผู้นี้

แม้ยามนั้นปูรณิมยังอยู่ในวัยที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่เด็กน้อยจดจำสีหน้าชาวสรุกได้ดี กลิ่นลมหายใจเหม็นเปรี้ยวเจือความรังเกียจและความกลัวขณะพ่อค้าแม่ขายไม่ใคร่เต็มใจจะขายของให้นาง ถึงกระนั้นบ่าของบานเมืองก็ยังเหยียดตรงอยู่เสมอ เวลาเดินเฉียดผ่านกลุ่มคนในตลาดอย่างระแวดระวัง

มารดาของปูรณิมเป็นเช่นนั้นเสมอมา

ยิ่งเป็นสถานที่โสโครกมากเท่าใด ก็ยิ่งดึงดูดให้บานเมืองย่ำเท้าเข้าไปหา

นางชื่นชอบการควบคุมและอ่านใจชาวสรุกยามจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตา เล่นเอาประดาตาแก่ปาดเหงื่อเช็ดหน้า ขณะพึมพำด่าว่า ‘อีนางวิปริตผิดเพศ’

บานเมืองกลับหัวเราะเยาะพวกมัน คอยลอบอ่านสีสันแห่งอาการหวาดหวั่นอย่างไม่ใคร่เต็มใจนักของพวกมัน

‘พวกมันล้วนทึ่มทื่อ’ บานเมืองหันไปกระซิบบอกลูกชายที่ข้างหู นางรู้ดีว่าลึกๆ แล้วตาแก่พวกนี้ล้วนเอ็นดูตนตราบเท่าที่เนินอกยังเต่งตึง

พฤติกรรมของพวกมือถือสากปากถือศีลเหล่านี้ชี้ให้นางเห็นว่าสภาพการณ์เมื่อก้าวของออกจากบ้านจะเป็นอย่างไร และคาดหวังสิ่งใดได้บ้างตามถนนหนทาง

‘ชาวสรุกสั่งให้ผู้หญิงอย่างแม่หุบปาก’

ใบหน้าบานเมืองแดงก่ำยามบอกเล่าเรื่องราวให้เด็กชายวัยห้าขวบฟัง กำชับว่ายังมีเรื่องวิกลจริตของบุคคลเหล่านี้ให้ปูรณิมเรียนรู้อีกมาก

นอกเหนือไปจากคำสอนสั่งของแม่บังเกิดเกล้า เด็กน้อยปูรณิมยังได้ยายเฒ่าลงผีจากเผ่ารุ้งพรายเป็นแม่นม ส่วนบิดาของเด็กชายมิใคร่อยู่เรือนนัก หากมันกลับเรือนเมื่อใดก็ดึกดื่นค่อนคืน เป็นเวลาที่เด็กชายหลับปุ๋ยในกระต๊อบข้างหญิงชราไปเสียแล้ว

บานเมืองรู้ว่าตนมีอำนาจอยู่อย่างหนึ่งเหนือชายแท้ทั้งมวล นั่นคือการสังวาส นางสามารถทำให้ชีพจรของไอ้หาญผู้รั้งตำแหน่งมหาเสนาปติ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดทางทหาร เต้นรัวตามแนวสันหลังไล่ลงไปจนถึงนิ้วเท้า นางรู้ว่าตนต้องการสิ่งใด สรุปแล้วใครเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

เมื่อยายเฒ่าลงผีหนีตายลงเขา บอกเล่าเรื่องราวที่ไอ้หาญเพิ่งกระทำย่ำยีเผ่ารุ้งพราย บานเมืองจึงให้หญิงชราปรุงยาหมดสติ ฉาบไล้ริมฝีปากและเนื้อตัว จากนั้นมุ่งมั่นรั้งรอให้ไอ้หาญมาดื่มกิน

สุดท้ายไอ้หาญมันก็ลงเอยที่ป้อมแดงแสนต่ำช้าอย่างง่ายงาย

‘ดีแล้วละที่แม่ฝากฝังพ่อณิมให้แคนดงดูแลตั้งแต่อายุย่างเข้าเจ็บขวบ’ บานเมืองยกมือลูบศีรษะลูกชายพลางเอ่ย ‘แม้รายนั้นมิได้ดองกับสาวใด แต่ใจเอ็นดูเด็กนัก บ้างส่งเด็กกำพร้าหน่วยก้านดีเข้าเรียนเขียนอ่านกับพราหมณาจารย์ บ้างจับฝึกใช้งานในหน่วยเฉลาญ์’

‘แล้วช่วงนี้พ่อ…’

‘อย่าพูดถึงมันอีก!’ สายตาบานเมืองเย็นเยือกในฉับพลัน สีหน้าแปรเปลี่ยนคล้ายสัมภเวสีที่ยังไม่ยอมไปเกิด นับแต่นางวางยาไอ้หาญ แล้วจัดแจงแจ้งหน่วยสาลิกาให้พาตัวมันไปจองจำ นางมักมีอาการเช่นนี้เสมอ ‘นับแต่นี้ต่อไปลูกอย่ามาที่เรือนหลังนี้อีก เพื่อความปลอดภัยของตัวพ่อณิมเอง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะมา’

‘แต่…’

‘ไม่มีแต่ เมื่อทุกอย่างจบลงแม่จักไปหาลูกเอง เข้าใจฤๅไม่’ นัยน์ตาภายใต้หน้ากากดูเฉียบขาด

ปูรณิมผงกศีรษะแกนๆ

บานเมืองโน้มตัวไปข้างหน้า ทอดสายตาไปไกลแสนไกล จากนั้นก็โยกตัวไปมาเนิบนาบ ‘หากคนที่ลูกช่วยสามารถช่วยชีวิตจากเงื้อมมือของไอ้หาญได้…เป็นศศินคงดี’

ปูรณิมไม่กล้าปริปากเอ่ยอะไร ในหัวใจยามนี้ช่างว่างเปล่าและสิ้นหวัง

ชายหนุ่มยันกายลุกขึ้นจากตักของมารดา รู้ดีว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด แต่เล็กจนเติบใหญ่มันมักได้ฟังเรื่องราวจากปากยายเฒ่าลงผีมาไม่น้อย

ทั้งเรื่องความรักของมารดา เรื่องตากับยาย เรื่องโขลญคลางสิคาลถูกใส่ไคล้ และที่สำคัญคือเรื่องที่มันลืมตาดูโลกเพราะการกระทำชำเราของบิดา แทนที่ปูรณิมจะเกลียดพ่อบังเกิดเกล้า ชายหนุ่มกลับชิงชังเนื้อหนังของตัวเอง เพราะสังขารครึ่งหนึ่งประกอบขึ้นจากเลือดและเส้นเอ็นของมหาเสนาปติ

‘เพราะคนที่ลูกช่วยออกมาได้คืออินทรธนู ยายเฒ่าลงผีก็เลย…’ เสียงของปูรณิมแผ่วเบา

‘มิว่าช่วยผู้ใดให้รอดเงื้อมมือไอ้หาญก็ดีทั้งนั้น’

บานเมืองกำมือทั้งสองข้างแน่นแล้วปลดหน้ากาก ริมฝีปากบางซีดเซียวเม้มสนิท ไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงปล่อยให้ความเงียบงันลอยเอื่อยอยู่อย่างนั้นนานเนิ่น

นางไม่ยอมบอกสิ่งที่ยายเฒ่าลงผีลงข่าวมาบอกว่าพบผู้ใดหลบลี้อยู่ในถ้ำหลังม่านน้ำตก ข้อมูลนี้นางจงใจเก็บเป็นความลับขั้นสูงสุด ไม่อาจปริปากบอกใคร ไม่อาจไว้ใจใครได้

‘เดือน’ บานเมืองคล้ายคนกำลังเพ้อ ‘ผีเสื้อยักษ์รัตติกาลที่รอดชีวิตจักกลับมาบอกเล่าเหตุการณ์ในคืนวันวิปโยค ขับขานเรื่องราวในค่ำคืนมืดมนดั่งเขม่ามินหม้อ ก่อเพลิงเผาไหม้ผืนแผ่นดินศกุนตะ’

‘แม่…’ ริมฝีปากชายหนุ่มกำลังสั่นระริก

‘พ่อณิมไปเถอะ แม่อยากอยู่ผู้เดียวเงียบๆ อีกไม่นานยายเฒ่าลงผีคงกลับมาถึง’

หยาดน้ำใสไหลลงอย่างอ้อยอิ่งจากหางตาของปูรณิม ขณะมองใบหน้าเหม่อลอยของบานเมือง

แม่เคยบอกชายหนุ่มว่าดวงตาของมนุษย์คือสิ่งที่อ้างว้างที่สุด เป็นไปได้อย่างไรที่หลายสิ่งหลายอย่างบนโลกเดินทางผ่านนัยน์ตา แต่มันไม่เคยครอบครองสิ่งใดไว้ได้ ดวงตาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวภายในเบ้า ไม่เคยรู้เลยว่ามีลูกตาอีกข้างที่เหมือนกันทุกประการอยู่ห่างออกไปไม่ถึงข้อนิ้ว โหยหาเพราะว้าเหว่เฉกเช่นกัน

แม่บอกว่านั้นคือเรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อบานเมืองกับเดือนเผ่ารุ้งพราย

ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นความทรงจำที่หล่นหายไปในคืนแห่งการพัดพรากของผีเสื้อยักษ์รัตติกาล ความเดียวดายจึงถูกถักทอเข้ากับเนื้อหนังของบานเมืองนับแต่นั้น

‘ฉันถูกย่ำยีให้เป็นแม่คนแล้ว แต่ฉันก็ยังเป็นสัตว์ประหลาด’ บานเมืองกระซิบกระซาบขณะโยกกาย

“แม่มิใช่สัตว์ประหลาดสักหน่อย!” ปูรณิมโกหก

ชายหนุ่มโพล่งละเมอทั้งที่นอนแบ็บสลบไสลในประทุนระแทะ ศรดอกหนึ่งยกคงเสียบคาอยู่ใต้ไหปลาร้าข้างซ้าย ภาพความทรงจำกำลังวูบไหวอยู่ในเงามืด

ความจริงปูรณิมอยากบอกแม่ว่าการเป็นสัตว์ประหลาดแบบแม่ไม่ใช่เรื่องเสียหาย การเป็นอมนุษย์คือสัญญาณของการผสมผสานหลากหลาย เป็นความสร้างสรรค์และสีสันในคราเดียว

“หมั่นเช็ดตัวให้มันหน่อย อีกไม่นานก็ถึงศกุนตะ” อารักษ์ที่ยังรอดชีวิตนายหนึ่งร้องบอกอีกคน ขณะสะกิดปลายแส้ลงบนแผ่นหลังวัวซึ่งกำลังห้อตะบึงอยู่เบื้องหน้า

“หวังว่ามันจักรอดชีวิต” อารักษ์อีกนายกำลังจุ่มผ้าบิดน้ำ เช็ดหน้าให้ปูรณิม

อารักษ์ที่กำลังเร่งควบขับระแทะไม่รู้ว่าเกลอหมายความถึงสิ่งใด

เมื่อเอ่ยถึงผู้รอดชีวิต ผู้ที่ยังมีลมหายใจอาจเป็นคนสุดท้ายที่ได้กลับบ้าน อาจเป็นผีเสื้อตัวหนึ่งที่ร่อนลงบนปลายหญ้าซึ่งรับน้ำหนักของภูติผีจากสนามรบ อันเกิดจากการเข่นฆ่าด้วยความเกลียดชังอยู่ก่อนแล้ว

 



Don`t copy text!