หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าหอสังคีต กษณะนี้โดยรอบเงียบสงบ ไร้ลมพัดโชย การเคลื่อนไหวใดๆ ที่อยู่ด้านในสถานบำเรอก็ไม่อาจส่งผ่านผนังอิฐเก็บเสียงออกมาให้มันได้รับรู้
ศศินสูดหายใจเข้าลึก นึกขยะแขยงผู้ชายหลายคนจากหน่วยสมิงที่ดอดลูกเมียมาหาความสำราญกับลูกสวาทโดยอีกฝ่ายมิได้รับรู้และยินยอม
ผู้ที่มีคู่ครองอยู่แล้วยังประพฤตินอกกายนอกใจได้เช่นนี้มักเกิดจากการเสพติดความภาคภูมิใจของบุรุษ ต้องการสรรหาหนทางทำให้ตนเหนือกว่า ทั้งมีหน้าที่การงานที่ดีกว่า เป็นที่ยอมรับทางสังคมมากกว่า เหนือสิ่งอื่นใดคือคนประเภทนี้นิยมชมชอบการข่มเหงและควบคุมบงการสตรี เมื่อใดที่มันสามารถเหยียบอีกฝ่ายให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้า เมื่อนั้นมันจึงรู้สึกได้ถึงความภาคภูมิแห่งบุรุษ
นั่นไม่ใช่ความรัก
มันคือเครื่องมือด้อยคุณค่าและศักดิ์ศรีของคู่ครองลงต่างหากเล่า
“สวัสติ” เมื่อผู้อยู่หลังประตูพินิจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอกและนึกออกว่าเป็นใคร จึงแง้มประตูเชื้อเชิญ “เข้ามาซี”
ร่างสูงหลุบตามองแม่เล้าวัยต้นห้าสิบ เรือนผมดำขลับถูกรวบเป็นมวย โครงหน้าเหลี่ยม จมูกเป็นสันตรง นางดูเหมือนสตรีที่สามารถรับราชการทหารโขลญแทนบุรุษอกสามศอกอย่างไม่กระดากเขิน
แม่เล้าเดินนำเข้าภายใน ผ่านโถงรับรองและห้องรวมอันแออัด ชายร่างท้วมผู้หนึ่งกำลังขับร้องเนื้อหาสัปดน สองแง่สองง่าม ขณะที่เหล่าเด็กสาวและเด็กหนุ่มหน้าตาสะสวยไร้อาภรณ์กำลังคลอเคลียคลึงเคล้าอยู่เคียงข้าง มุมมืดมีสตรีกับสตรี บุรุษกับบุรุษ เงาตะคุ่มหลายคู่กำลังกอดรัดปัดป่ายไปทั่วทุกหนแห่ง
เด็กหนุ่มหอสังคีตล้วนเชี่ยวชาญศิลปะการเย้ายวนชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้อ่อนไหว ขลาดกลัว อย่างเหล่าอาลักษณ์ที่ไร้ความสำคัญ โขลญทหารที่ยังไม่ออกเรือน บางคราวก็เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสที่ใจแอบโหยหามิตรภาพลูกผู้ชาย คู่ขา และความรักจอมปลอม
ทว่ากษณะนี้ไม่มีผู้ใดใคร่สนใจชายหนุ่มผู้มาใหม่แม้แต่น้อย
นัยน์ตาฉาบสีรุ่งของศศินเห็นบรรยากาศเต็มไปด้วยสีสันหลายหลาก มันจึงหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีจากสีสันที่ไหลหลั่ง สายตาเผ่ารุ้งพรายมักมีอาการเช่นนี้เมื่อล่วงเข้าสู่ช่วงหริณจันทร์ คืนบุหลันสีโลหิต ที่กินเวลาราวสิบห้าราตรีนับแต่ข้างขึ้นแปดค่ำไปจนถึงข้างแรมแปดค่ำ
ศศินมองตรงไปเบื้องหน้าดุจมนุษย์ไร้วิญญาณ
ชายหนุ่มย่ำไปตามระเบียงทางเดิน ก่อนลอดผ่านวงกบประตูบานหนึ่งเข้าไปในห้องที่ลึกที่สุด
“ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผันผ่าน อันได้ยินเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวรุ้งพรายที่รอดชีวิตมาไม่น้อย” ลูกสวาททักทายด้วยน้ำเสียงยากจะเข้าใจ
“ณ ห้วงเวลาแห่งความมืดมิด นัยน์ตาผู้ถูกกระทำย่ำยีจักเริ่มมองเห็นแสงสว่าง”
“เตหลอกล่อให้ผู้หญิงคนนั้นจัดบ่วงหลามให้สิคาลดื่มได้อย่างไร” ลูกสวาทบุ้ยใบ้ให้ศศินนั่งลงที่ตั่งเตี้ย ตรงข้ามแคร่ซึ่งมันเอนกายอิงหมอนขิดทรงสามเหลี่ยม บนร่างแบบบางของมันมีเพียงผ้าแพรผืนบางวางปิดแถวสะเอวเท่านั้น
“มิใช่อัญ แต่เป็นบานเมือง ได้ยายเฒ่าลงผีเป็นคนปรุง” ร่างสูงกึ่งยอมรับกึ่งปฏิเสธ
สายลมกรีดร้องโหยหวนอยู่ข้างนอก พาบรรยากาศภายในห้องหอสังคีตบูดบึ้งและสิ้นหวังไม่ต่างกับสภาพอากาศ ปราศจากวี่แววของการมองโลกในแง่ดีแบบชาวเผ่ารุ้งพรายที่เคยเชื่อมั่น
“หมายความว่าอย่างไร” ลูกสวาทถามพลางเลิกคิ้ว
กิริยาท่าทางของเด็กหนุ่มดูอ่อนโยน ปลอบประโลมใจ ทำให้คู่สนทนารู้สึกสบายใจที่จะเปิดปากจนหมดเปลือก
“การที่สตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งลุกขึ้นมาขบถด้วยความคับแค้นใจ หากเงี่ยหูฟังให้ดีย่อมได้ยินเสียงสะท้อนแห่งความอยุติธรรมที่เกาะกินผู้หญิงในสรุกนี้ทุกผู้ทุกนาง ชายใดที่เอาแต่สนใจลำลึงค์ตน คงหนีไม่พ้นความทึบทึมในปัญญา” ร่างสูงถอนหายใจ “สิคาลรู้มากเกินไป…”
“อัญไม่เห็นด้วย ไม่เข้าใจว่าอดีตโขลญคลางต้องลงเอยเช่นนั้นได้อย่างไร”
“ส่วนใดที่เตไม่เห็นด้วย?”
“สิคาลก็ไม่ต่างกันกับหมู่เรา เพียงแต่ซื่อตรงในหน้าที่เกินไป กระทั่งถูกนายจำกอบใส่ร้าย ไม่แปลกที่มันจักอาฆาตแค้นถึงเพียงนั้น เกิดเป็นชาวศกุนตะทว่านิยมชมชอบวิถีเผ่ารุ้งพราย สิคาลคงโดดเดี่ยวเปราะบางไม่น้อย อัญไม่เห็นจำเป็นต้องลงมือกับเป้าหมายที่ไม่ให้ผลประโยชน์” เด็กหนุ่มอธิบาย พยายามไม่เอ่ยข้อมูลมากเกินไป กำแพงมีหูประตูมีช่อง
ศศินตัดสินใจนิ่งเงียบ สัญชาตญาณบอกว่ามันสามารถเปิดอกพูดกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้
“เตพูดถูก” ร่างสูงหัวเราะในลำคอหลังกาลผ่านไปครู่ใหญ่ “ยายเฒ่าลงผีเป็นห่วงอัญ เลยลงมือเกินเลยไปสักหน่อย ยิ่งรู้น้อยยิ่งดีต่อการใหญ่”
“อย่างนี้นี่เอง” เด็กหนุ่มเม้มปากสนิท
“แม่เล้าเล่าถึงสาเหตุที่อัญต้องเข้าพบเตในวันนี้แล้วกระมัง” ศศินมองใบหน้าเด็กหนุ่มและแม่เล้าที่กำลังจ้องตนอย่างประเมิน เริ่มเหนื่อยหน่ายกับคำยอกย้อนและการประดิดประดอยบทสนทนาอันเป็นลักษณะเฉพาะของชาวหอสังคีต
กลิ่นกระแจะจันทน์อบร่ำด้วยกำยานอบอวลทุกอณูของลมหายใจ ขณะที่ทั้งห้องเงียบกริบ
“บุรุษหน่วยสมิงที่กินดองออกเรือนไปแล้วหลายนายเป็นลูกค้าประจำของหอสังคีต” แม่เล้าเอ่ย มุมปากกระตุกยิ้มบาง “อัญส่งนกเขาออกไปขับขานเรียบร้อยแล้ว ยิ่งประดาเมียของพวกมันก็รู้สึกระแคะระคายเป็นทุนเดิม เพนียดที่วางไว้คงไม่เสียเปล่า”
“พวกมือถือสาก แต่ปากชอบอมลึงค์” โฆษิตหัวเราะ ผละจากหมอนขิด ยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างนุ่มนวลชดช้อย
“วันก่อนโขลญตูบแวะมานั่งเล่นในหอสังคีตครู่ใหญ่เทียว” หน้าตาแม่เล้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “และนั่นก็ทำให้เมียของไอ้ตูบสั่งสมอาการหวาดระแวงแคลงใจตัวผัวจนจวนเจียนจะล้นทะลัก”
“แล้วเตก็ควรขอบคุณอัญ เพราะระหว่างที่อัญปรนนิบัติวัตถาก มันก็เผลอหลุดปากบอกความลับของหน่วยสมิงด้วยความสุขสม” ลูกสวาทเสริม “มันเคยได้ยินว่ามหาเสนาปติคนก่อนได้ริบหินสีดำอันเป็นปูชนียวัตถุของเผ่ารุ้งพรายเมื่อครั้งกวาดต้อนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรามาใช้แรงงานในเหมือง และยามนี้น่าจะถูกเก็บงำเอาไว้ที่เทวาลัยมหาอุมาเทวี”
ศศินถึงกับเบิกตาโพลงไปชั่วขณะหนึ่ง
“โขลญหน่วยสาลิกาลือกันว่าหินสีดำคือพลอยสาแหรก ใครผู้ใดเผลอสัมผัส จักถูกหินแผดเผากระทั่งกระดูกก็ไม่เหลือ” แม่เล้าเสริม
“ผิว์หริณจันทร์หวนคู่สุริยัน ดึกดำบรรพ์ก่อเกิดสูรยกานต์!”
ทั้งศศินและเด็กหนุ่มลูกสวาทต่างเอ่ยออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มันคือคำผู้เฒ่าผู้แก่ที่เผ่ารุ้งพรายรู้จักดี
“ยายเฒ่าลงผีเคยเล่าว่าสูรยกานต์คือแสงสว่างจากโลกบรรพกาล เป็นก้อนแสงที่ร่วงหล่นจากแมนสรวงลงสู่โลกมนุษย์ ก่อนสรรพสิ่งสูญสลาย คล้ายสายฝนชำระล้างความเหลื่อมล้ำต่ำต้อย” เด็กหนุ่มเล่า
แม่เล้ากวาดตามองหน้าบุรุษทั้งสองอย่างสนใจใคร่รู้ “ข้ารับเอ็งมาชุบเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะ ไม่นึกว่าเอ็งจักรู้เรื่องราวของเผ่าตน”
“อัญภูมิใจในตัวตนของอัญ” เด็กหนุ่มเอ่ย “อันที่จริงสูรยกานต์ที่ฝังอยู่ใจกลางศาลิครามศิลามิได้มีคุณสมบัติแผดเผาเนื้อหนังคน แต่มั่นช่วยยกระดับจิตสมาธิให้บรรลุฌานขั้นสูงก่อนเข้าสู่ภาวะไกวัลยะ ส่วนข่าวลือเกี่ยวกับหินที่สามารถไหม้สังขารคนได้นั่น อัญว่าน่าจะเป็นผลึกเศษะที่ร่อนได้แถวตีนเขาวนํรุงเสียมากกว่า”
“ไกวัลยะ?” แม่เล้ากลอกตา กระเซ้าแซว “เอ่ยถึงภาวะนิพพานในหอสังคีตหาสมควรไม่”
“ปิศาจร้าย…” ศศินไม่นำพา “เกล็ดงูนำพาแต่ความเศร้าโศกมาสู่ผู้ใดก็ตามที่ครอบครอง”
“คงจริงอย่างเอ็งว่า เพราะคนที่นำผลึกนั่นมาเก็บไว้ล้วนตายไปแล้วทั้งหมด” แม่เล้าพยักหน้า นึกถึงโปญองค์ก่อน นายจำกอบ และสิคาล
“และยามนี้มันอยู่ที่อัญทั้งหมด”
หัวใจศศินเต้นแรงขณะจินตนาการถึงองรุทรผู้พิโรธเหยียบย่ำแผ่นดินศกุนตะ ร่ายคำสาปทั่วทุกตารางโยชน์ประหนึ่งห่าฝนจากเมฆพิษ
ศศินเอ่ยต่อ ส่วนอีกสองคนเป็นฝ่ายเงียบ
“ผลึกเนียนละเอียดดุจการบูร สีสันสวยจับใจ เย้ายวนชวนให้ครอบครอง ทว่าอานุภาพของมันร้ายกาจเหลือคณานับ”
“ชักอยากเห็นเสียแล้วซี ว่าเกล็ดงูที่ว่าจักมีหน้าตาเป็นอย่างไร” แววตาลูกสวาทเปล่งประกาย
“เก็บข้าวของออกจากศกุนตะเสีย ไปให้ไกลจากที่นี่” ร่างสูงสั่ง ผินหน้าไปหาเด็กหนุ่ม “ถือเสียว่าอัญได้ตอบแทนคนที่เตอุตส่าห์ช่วยสืบข่าวและในฐานะเผ่ารุ้งพรายที่ยังเหลือรอด ส่วนเต…คือมารดาผู้มีพระคุณ ขอบใจนักที่คอยส่งข้าวส่งน้ำให้อัญถึงป่าช้า…”
แววกังวลฉายชัดบนใบหน้าแม่เล้า ริมฝีปากแต้มเฉดแดงกำลังไหวถี่ “แผนของเอ็งสากรรจ์ถึงเพียงนั้น?”
ศศินผงกศีรษะ เชื่องช้าแต่หนักแน่น
แม้มีคนมากมายและส่งเสียงอึกทึก โขลญตูบกลับชอบเพิงขายแกงอ่อมแห่งนี้ ด้วยรสมือเผ็ดร้อนและกลิ่นหอมของกระแจะจันทร์ที่แม่ค้าใช้ชโลมผิวเตือนใจมันให้คิดถึงเด็กหนุ่มที่หอสังคีต แต่ที่ดีกว่ามื้อเที่ยงแสนแซบเบื้องหน้าคือการที่มันได้โอกาสร่วมตั่งร่วมโต๊ะกับชายชาวสรุกแปลกหน้า บางคราวเด็กหนุ่มน่ารักที่นั่งตรงข้ามก็ยิ้มให้มันเป็นครั้งคราว ราวกับว่ามาด้วยกันกระนั้น
ความจริงเป็นเป็นเช่นไรไอ้ตูบมิทราบ แต่อย่างน้อยมันก็พึงใจที่จะคิดเองเออเองของมันไปอย่างนั้น
ระหว่างที่โขลญหนุ่มกำลังชั่งใจว่าจะชวนบุรุษอายุราวสิบห้าตรงหน้าพูดคุยเรื่องอะไรดี ชายแปลกหน้าที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มก็ผละลุกจากตั่ง ยืนขึ้น ล้วงเหรียญศรีวัตสะชำระค่าแกงกับข้าวเหนียว
ไอ้ตูบเงยหน้าด้วยความเสียดาย แต่ด้านหลังบุรุษแปลกหน้ายังมีเด็กหนุ่มร่างอรชรเรือนผมดำขลับงามสะดุดตาอีกผู้หนึ่ง
โขลญหนุ่มถึงกับเผลอกลั้นหายใจเมื่อชายคนนั้นกำลังเดินมายังพิกัดของตั่งที่มันนั่งอยู่ จากนั้นหย่อนกายลงบนจุดที่ชายชาวสรุกคนเมื่อครู่เพิ่งลุกจากไป
กลิ่นกระแจะจันทน์อวลเอื่อยจากผิวกายของโฆษิตขณะที่มันกำลังโบกไม้โบกมือสั่งอาหาร ยวนตาจนไอ้ตูบอดมองไล้ลอนบางบนหน้าท้องไร้ไขมันของอีกฝ่ายไม่ได้
ร่างแบบบางคงรับรู้ได้ถึงสายตาของไอ้ตุ่นจึงผินหน้ากลับมาประสานสายตาเข้าอย่างจัง
โขลญหนุ่มรีบก้มหน้างุด กัดข้าวเหนียวคำหนึ่งพร้อมตักแกงอ่อมซดแก้ขวย
“ขอโทษเถิด หน้าข้ามีอันใดติดอยู่ฤๅ” โฆษิตถามด้วยสำเนียงศกุนตะชัดถ้อยชัดคำ
ไอ้ตูบสำลักจนหน้าแดง ใบผักชีในแกงอ่อมที่มันลืมเคี้ยวมีลักษณะหยักลึกเป็นแฉกคล้ายขนนก ไม่แปลกที่จะติดคอจนต้องกระดกขันน้ำฝนล้างคอเสียหลายอึก
“ขออภัยจริงๆ ข้ามิได้จงใจจะจดจ้อง” โขลญหนุ่มละล่ำละลัก “ข้าเพียงคิดว่าวันนี้เอ็งโชคดีนักที่ได้ตั่ง ปกติแกงอ่อมร้านนี้ต้องยืนรอเป็นชั่วยามเทียว”
“มินานเท่าไรดอก” โฆษิตตอบ หลุบตาจ้องการนุ่งโจงแบบสมพตสีขมิ้น อันเป็นเครื่องหมายของหน่วยสมิง
ทันทีที่ไอ้ตูบได้เปิดปากคุย ท่าทีที่มันเคยสงวนก็คลายลง
และนั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มรอคอย
โขลญตูบตั้งใจฟังเรื่องสมมติ นานาระหว่างมื้อเที่ยงพรั่งพรูออกจากริมฝีปากบาง พาทหารหนุ่มก้าวข้ามระดับความสัมพันธ์จากคนแปลกหน้าเป็นความสัมพันธ์ฉันมิตรแสนอบอุ่นหัวใจ
ทุกครั้งที่นกน้อยโน้มกายท่อนบนอันเปลือยเปล่าเข้าใกล้ จงใจกระตุ้นอารมณ์โหยหาที่ไอ้ตูบพยายามซุกซ่อน คาดคะเนความปรารถนา บีบกระทั้น ส่งสัญญาณเป็นนัยให้อีกฝ่ายรู้ว่าชายหนุ่มทั้งสองนั้นเป็น ‘พวกเดียวกัน’
นอกจากข้อมูลรอบด้านของเหยื่อตรงหน้าแล้ว นกต่อจากหอสังคีตตัวนี้ยังรู้ว่าสองสามเดือนมานี้ชายก่อนวัยฉกรรจ์อย่างไอ้ตูบไม่ได้ไปใช้บริการลูกสวาทเลยสักครั้ง เหตุเพราะนางแพงพวย เมียสาวของมัน กำลังตั้งครรภ์ได้สามเดือน อารมณ์อ่อนไหวบอบบางเป็นพิเศษจนมันกระดิกกระเดี้ยเนื้อตัวไปไหนไม่ได้แม้กระผีก
“พี่ชายไม่กลัวติดกับอยู่ในชีวิตคู่อันสลดหดหู่ฤๅ” โฆษิตตั้งปฏิปุจฉา คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ
โขลญตูบจ้องปลายนิ้วที่กำลังไล้วนบนหลังมือตน
นั่นคือสัญญาณอันตราย
ทว่าบุรุษอายุยี่สิบไม่อาจละเลยกระแสสายฟ้าแปลบปลาบที่แล่นปราดจนท้องน้อยของมันเสียววาบ สายตาหยาดเยิ้มของมันถูกนัยน์ตาดำขลับของนกน้อยตรึงติดเอาไว้แน่น
อารมณ์พลุ่งพล่านเชื้อชวนให้อวัยวะแห่งความเป็นชายทั้งแท่งใต้โจงสมพตของไอ้ตูบกำลังเต้นตุบ และอาการดำฤษณาอันเด่นชัดนั้นก็ไม่อาจลอดพ้นสายตาของนางแพงพวยซึ่งยืนซุ่มอยู่ไม่ไกลไปได้
“ข้าบอกแล้วว่าอย่าเอาน้ำมันมหาปะไลยกัลป์ของยายสาให้มันกินถี่นัก ทีนี้ละนกเขาของมันขันไม่เฉาไปทั่วทั้งสรุกแน่” ชายที่ลุกจากตั่งให้โฆษิตนุ่งเมื่อครู่เอ่ย
“หลายเดือนก่อนเป็นเอ็งที่แนะนำข้ามิใช่ฤๅ ว่าถ้าอยากมัดใจผัวก็ให้ยั่วให้มันหมั่นทำการบ้านการเรือน จักได้มีโซ่ทองคล้องใจ” นางแพงพวยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แล้วที่เอ็งว่าบุรุษอื่นในหน่วยสมิงก็มีอาการเช่นไอ้ตูบอยู่หลายรายมิใช่ฤๅ”
“ใช่” นกต่อสำทับหนักแน่น พยักพเยิดให้หญิงสาวดูทหารหนุ่มเดินกอดคอโฆษิตไปหาที่ลับตาคน “คงติดไข้ลักเพศมาจากเผ่ารุ้งพรายที่พวกมันเข้าเข่นฆ่าเมื่อสามปีก่อน”
“กรรมแท้ๆ” ริมฝีปากนางแพงพวยสั่นสะท้านเหมือนจะเป็นไข้ หยาดน้ำใสคลอหน่วยเป็นชั้นบาง
“แต่ข้าพอมีวิธีเพรียกสติเหล่าโขลญสมิงให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้” นกต่อเอ่ย
“อย่างไร” น้ำเสียงหญิงสาวฟังดูสดใสขึ้นมาทันควัน
“เอ็งลืมไปแล้วฤๅว่าข้าก็สังกัดหน่วยสมิง” นกน้อยหอสังคีตโป้ปดคำโต
“ฤๅเองก็หายขาดจากอาการลักเพศแล้ว?”
“นี่คือยาสูตรลับราคาแพงของยายสา ข้าซื้อหามาได้เพียงเท่านี้ อย่าใช้สุ่มสี่สุ่มห้า” ชายหนุ่มฉาบสีหน้าจอมปลอมด้วยความเห็นอกเห็นใจ เปิดฝากลักบรรจุผลึกขาวใสผสมเกล็ดการบูร เมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ผลึกนั้นก่อเฉดรุ้งสะท้อนแสงระยิบระยับ “เพียงเอ็งแจกจ่ายผลึกกลับใจนี้ให้เมียโขลญหน่วยสมิงทุกคน ลอบผสมใส่ในอาหารแลเครื่องดื่ม มินานก็สร่างจากไข้ลักเพศ”
“แต่…” นางแพงพวยลังเล
“อีกไม่กี่วันก็เทศกาลคเณศจตุรถีแล้วมิใช่ฤๅ” นกต่อปิดฝากลัก ส่งใส่มืออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “ผสมลงในเครื่องบูชาอย่างเนื้อมะพร้าวขูดก็น่าจะดี…”
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ