หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าหอสังคีต กษณะนี้โดยรอบเงียบสงบ ไร้ลมพัดโชย การเคลื่อนไหวใดๆ ที่อยู่ด้านในสถานบำเรอก็ไม่อาจส่งผ่านผนังอิฐเก็บเสียงออกมาให้มันได้รับรู้

ศศินสูดหายใจเข้าลึก นึกขยะแขยงผู้ชายหลายคนจากหน่วยสมิงที่ดอดลูกเมียมาหาความสำราญกับลูกสวาทโดยอีกฝ่ายมิได้รับรู้และยินยอม

ผู้ที่มีคู่ครองอยู่แล้วยังประพฤตินอกกายนอกใจได้เช่นนี้มักเกิดจากการเสพติดความภาคภูมิใจของบุรุษ ต้องการสรรหาหนทางทำให้ตนเหนือกว่า ทั้งมีหน้าที่การงานที่ดีกว่า เป็นที่ยอมรับทางสังคมมากกว่า เหนือสิ่งอื่นใดคือคนประเภทนี้นิยมชมชอบการข่มเหงและควบคุมบงการสตรี เมื่อใดที่มันสามารถเหยียบอีกฝ่ายให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้า เมื่อนั้นมันจึงรู้สึกได้ถึงความภาคภูมิแห่งบุรุษ

นั่นไม่ใช่ความรัก

มันคือเครื่องมือด้อยคุณค่าและศักดิ์ศรีของคู่ครองลงต่างหากเล่า

“สวัสติ” เมื่อผู้อยู่หลังประตูพินิจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอกและนึกออกว่าเป็นใคร จึงแง้มประตูเชื้อเชิญ “เข้ามาซี”

ร่างสูงหลุบตามองแม่เล้าวัยต้นห้าสิบ เรือนผมดำขลับถูกรวบเป็นมวย โครงหน้าเหลี่ยม จมูกเป็นสันตรง นางดูเหมือนสตรีที่สามารถรับราชการทหารโขลญแทนบุรุษอกสามศอกอย่างไม่กระดากเขิน

แม่เล้าเดินนำเข้าภายใน ผ่านโถงรับรองและห้องรวมอันแออัด ชายร่างท้วมผู้หนึ่งกำลังขับร้องเนื้อหาสัปดน สองแง่สองง่าม ขณะที่เหล่าเด็กสาวและเด็กหนุ่มหน้าตาสะสวยไร้อาภรณ์กำลังคลอเคลียคลึงเคล้าอยู่เคียงข้าง มุมมืดมีสตรีกับสตรี บุรุษกับบุรุษ เงาตะคุ่มหลายคู่กำลังกอดรัดปัดป่ายไปทั่วทุกหนแห่ง

เด็กหนุ่มหอสังคีตล้วนเชี่ยวชาญศิลปะการเย้ายวนชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้อ่อนไหว ขลาดกลัว อย่างเหล่าอาลักษณ์ที่ไร้ความสำคัญ โขลญทหารที่ยังไม่ออกเรือน บางคราวก็เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสที่ใจแอบโหยหามิตรภาพลูกผู้ชาย คู่ขา และความรักจอมปลอม

ทว่ากษณะนี้ไม่มีผู้ใดใคร่สนใจชายหนุ่มผู้มาใหม่แม้แต่น้อย

นัยน์ตาฉาบสีรุ่งของศศินเห็นบรรยากาศเต็มไปด้วยสีสันหลายหลาก มันจึงหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีจากสีสันที่ไหลหลั่ง สายตาเผ่ารุ้งพรายมักมีอาการเช่นนี้เมื่อล่วงเข้าสู่ช่วงหริณจันทร์ คืนบุหลันสีโลหิต ที่กินเวลาราวสิบห้าราตรีนับแต่ข้างขึ้นแปดค่ำไปจนถึงข้างแรมแปดค่ำ

ศศินมองตรงไปเบื้องหน้าดุจมนุษย์ไร้วิญญาณ

ชายหนุ่มย่ำไปตามระเบียงทางเดิน ก่อนลอดผ่านวงกบประตูบานหนึ่งเข้าไปในห้องที่ลึกที่สุด

“ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผันผ่าน อันได้ยินเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวรุ้งพรายที่รอดชีวิตมาไม่น้อย” ลูกสวาททักทายด้วยน้ำเสียงยากจะเข้าใจ

“ณ ห้วงเวลาแห่งความมืดมิด นัยน์ตาผู้ถูกกระทำย่ำยีจักเริ่มมองเห็นแสงสว่าง”

“เตหลอกล่อให้ผู้หญิงคนนั้นจัดบ่วงหลามให้สิคาลดื่มได้อย่างไร” ลูกสวาทบุ้ยใบ้ให้ศศินนั่งลงที่ตั่งเตี้ย ตรงข้ามแคร่ซึ่งมันเอนกายอิงหมอนขิดทรงสามเหลี่ยม บนร่างแบบบางของมันมีเพียงผ้าแพรผืนบางวางปิดแถวสะเอวเท่านั้น

“มิใช่อัญ แต่เป็นบานเมือง ได้ยายเฒ่าลงผีเป็นคนปรุง” ร่างสูงกึ่งยอมรับกึ่งปฏิเสธ

สายลมกรีดร้องโหยหวนอยู่ข้างนอก พาบรรยากาศภายในห้องหอสังคีตบูดบึ้งและสิ้นหวังไม่ต่างกับสภาพอากาศ ปราศจากวี่แววของการมองโลกในแง่ดีแบบชาวเผ่ารุ้งพรายที่เคยเชื่อมั่น

“หมายความว่าอย่างไร” ลูกสวาทถามพลางเลิกคิ้ว

กิริยาท่าทางของเด็กหนุ่มดูอ่อนโยน ปลอบประโลมใจ ทำให้คู่สนทนารู้สึกสบายใจที่จะเปิดปากจนหมดเปลือก

“การที่สตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งลุกขึ้นมาขบถด้วยความคับแค้นใจ หากเงี่ยหูฟังให้ดีย่อมได้ยินเสียงสะท้อนแห่งความอยุติธรรมที่เกาะกินผู้หญิงในสรุกนี้ทุกผู้ทุกนาง ชายใดที่เอาแต่สนใจลำลึงค์ตน คงหนีไม่พ้นความทึบทึมในปัญญา” ร่างสูงถอนหายใจ “สิคาลรู้มากเกินไป…”

“อัญไม่เห็นด้วย ไม่เข้าใจว่าอดีตโขลญคลางต้องลงเอยเช่นนั้นได้อย่างไร”

“ส่วนใดที่เตไม่เห็นด้วย?”

“สิคาลก็ไม่ต่างกันกับหมู่เรา เพียงแต่ซื่อตรงในหน้าที่เกินไป กระทั่งถูกนายจำกอบใส่ร้าย ไม่แปลกที่มันจักอาฆาตแค้นถึงเพียงนั้น เกิดเป็นชาวศกุนตะทว่านิยมชมชอบวิถีเผ่ารุ้งพราย สิคาลคงโดดเดี่ยวเปราะบางไม่น้อย อัญไม่เห็นจำเป็นต้องลงมือกับเป้าหมายที่ไม่ให้ผลประโยชน์” เด็กหนุ่มอธิบาย พยายามไม่เอ่ยข้อมูลมากเกินไป กำแพงมีหูประตูมีช่อง

ศศินตัดสินใจนิ่งเงียบ สัญชาตญาณบอกว่ามันสามารถเปิดอกพูดกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้

“เตพูดถูก” ร่างสูงหัวเราะในลำคอหลังกาลผ่านไปครู่ใหญ่ “ยายเฒ่าลงผีเป็นห่วงอัญ เลยลงมือเกินเลยไปสักหน่อย ยิ่งรู้น้อยยิ่งดีต่อการใหญ่”

“อย่างนี้นี่เอง” เด็กหนุ่มเม้มปากสนิท

“แม่เล้าเล่าถึงสาเหตุที่อัญต้องเข้าพบเตในวันนี้แล้วกระมัง” ศศินมองใบหน้าเด็กหนุ่มและแม่เล้าที่กำลังจ้องตนอย่างประเมิน เริ่มเหนื่อยหน่ายกับคำยอกย้อนและการประดิดประดอยบทสนทนาอันเป็นลักษณะเฉพาะของชาวหอสังคีต

กลิ่นกระแจะจันทน์อบร่ำด้วยกำยานอบอวลทุกอณูของลมหายใจ ขณะที่ทั้งห้องเงียบกริบ

“บุรุษหน่วยสมิงที่กินดองออกเรือนไปแล้วหลายนายเป็นลูกค้าประจำของหอสังคีต” แม่เล้าเอ่ย มุมปากกระตุกยิ้มบาง “อัญส่งนกเขาออกไปขับขานเรียบร้อยแล้ว ยิ่งประดาเมียของพวกมันก็รู้สึกระแคะระคายเป็นทุนเดิม เพนียดที่วางไว้คงไม่เสียเปล่า”

“พวกมือถือสาก แต่ปากชอบอมลึงค์” โฆษิตหัวเราะ ผละจากหมอนขิด ยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างนุ่มนวลชดช้อย

“วันก่อนโขลญตูบแวะมานั่งเล่นในหอสังคีตครู่ใหญ่เทียว” หน้าตาแม่เล้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “และนั่นก็ทำให้เมียของไอ้ตูบสั่งสมอาการหวาดระแวงแคลงใจตัวผัวจนจวนเจียนจะล้นทะลัก”

“แล้วเตก็ควรขอบคุณอัญ เพราะระหว่างที่อัญปรนนิบัติวัตถาก มันก็เผลอหลุดปากบอกความลับของหน่วยสมิงด้วยความสุขสม” ลูกสวาทเสริม “มันเคยได้ยินว่ามหาเสนาปติคนก่อนได้ริบหินสีดำอันเป็นปูชนียวัตถุของเผ่ารุ้งพรายเมื่อครั้งกวาดต้อนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรามาใช้แรงงานในเหมือง และยามนี้น่าจะถูกเก็บงำเอาไว้ที่เทวาลัยมหาอุมาเทวี”

ศศินถึงกับเบิกตาโพลงไปชั่วขณะหนึ่ง

“โขลญหน่วยสาลิกาลือกันว่าหินสีดำคือพลอยสาแหรก ใครผู้ใดเผลอสัมผัส จักถูกหินแผดเผากระทั่งกระดูกก็ไม่เหลือ” แม่เล้าเสริม

“ผิว์หริณจันทร์หวนคู่สุริยัน ดึกดำบรรพ์ก่อเกิดสูรยกานต์!”

ทั้งศศินและเด็กหนุ่มลูกสวาทต่างเอ่ยออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มันคือคำผู้เฒ่าผู้แก่ที่เผ่ารุ้งพรายรู้จักดี

“ยายเฒ่าลงผีเคยเล่าว่าสูรยกานต์คือแสงสว่างจากโลกบรรพกาล เป็นก้อนแสงที่ร่วงหล่นจากแมนสรวงลงสู่โลกมนุษย์ ก่อนสรรพสิ่งสูญสลาย คล้ายสายฝนชำระล้างความเหลื่อมล้ำต่ำต้อย” เด็กหนุ่มเล่า

แม่เล้ากวาดตามองหน้าบุรุษทั้งสองอย่างสนใจใคร่รู้ “ข้ารับเอ็งมาชุบเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะ ไม่นึกว่าเอ็งจักรู้เรื่องราวของเผ่าตน”

“อัญภูมิใจในตัวตนของอัญ” เด็กหนุ่มเอ่ย “อันที่จริงสูรยกานต์ที่ฝังอยู่ใจกลางศาลิครามศิลามิได้มีคุณสมบัติแผดเผาเนื้อหนังคน แต่มั่นช่วยยกระดับจิตสมาธิให้บรรลุฌานขั้นสูงก่อนเข้าสู่ภาวะไกวัลยะ ส่วนข่าวลือเกี่ยวกับหินที่สามารถไหม้สังขารคนได้นั่น อัญว่าน่าจะเป็นผลึกเศษะที่ร่อนได้แถวตีนเขาวนํรุงเสียมากกว่า”

“ไกวัลยะ?” แม่เล้ากลอกตา กระเซ้าแซว “เอ่ยถึงภาวะนิพพานในหอสังคีตหาสมควรไม่”

“ปิศาจร้าย…” ศศินไม่นำพา “เกล็ดงูนำพาแต่ความเศร้าโศกมาสู่ผู้ใดก็ตามที่ครอบครอง”

“คงจริงอย่างเอ็งว่า เพราะคนที่นำผลึกนั่นมาเก็บไว้ล้วนตายไปแล้วทั้งหมด” แม่เล้าพยักหน้า นึกถึงโปญองค์ก่อน นายจำกอบ และสิคาล

“และยามนี้มันอยู่ที่อัญทั้งหมด”

หัวใจศศินเต้นแรงขณะจินตนาการถึงองรุทรผู้พิโรธเหยียบย่ำแผ่นดินศกุนตะ ร่ายคำสาปทั่วทุกตารางโยชน์ประหนึ่งห่าฝนจากเมฆพิษ

ศศินเอ่ยต่อ ส่วนอีกสองคนเป็นฝ่ายเงียบ

“ผลึกเนียนละเอียดดุจการบูร สีสันสวยจับใจ เย้ายวนชวนให้ครอบครอง ทว่าอานุภาพของมันร้ายกาจเหลือคณานับ”

“ชักอยากเห็นเสียแล้วซี ว่าเกล็ดงูที่ว่าจักมีหน้าตาเป็นอย่างไร” แววตาลูกสวาทเปล่งประกาย

“เก็บข้าวของออกจากศกุนตะเสีย ไปให้ไกลจากที่นี่” ร่างสูงสั่ง ผินหน้าไปหาเด็กหนุ่ม “ถือเสียว่าอัญได้ตอบแทนคนที่เตอุตส่าห์ช่วยสืบข่าวและในฐานะเผ่ารุ้งพรายที่ยังเหลือรอด ส่วนเต…คือมารดาผู้มีพระคุณ ขอบใจนักที่คอยส่งข้าวส่งน้ำให้อัญถึงป่าช้า…”

แววกังวลฉายชัดบนใบหน้าแม่เล้า ริมฝีปากแต้มเฉดแดงกำลังไหวถี่ “แผนของเอ็งสากรรจ์ถึงเพียงนั้น?”

ศศินผงกศีรษะ เชื่องช้าแต่หนักแน่น

 

แม้มีคนมากมายและส่งเสียงอึกทึก โขลญตูบกลับชอบเพิงขายแกงอ่อมแห่งนี้ ด้วยรสมือเผ็ดร้อนและกลิ่นหอมของกระแจะจันทร์ที่แม่ค้าใช้ชโลมผิวเตือนใจมันให้คิดถึงเด็กหนุ่มที่หอสังคีต แต่ที่ดีกว่ามื้อเที่ยงแสนแซบเบื้องหน้าคือการที่มันได้โอกาสร่วมตั่งร่วมโต๊ะกับชายชาวสรุกแปลกหน้า บางคราวเด็กหนุ่มน่ารักที่นั่งตรงข้ามก็ยิ้มให้มันเป็นครั้งคราว ราวกับว่ามาด้วยกันกระนั้น

ความจริงเป็นเป็นเช่นไรไอ้ตูบมิทราบ แต่อย่างน้อยมันก็พึงใจที่จะคิดเองเออเองของมันไปอย่างนั้น

ระหว่างที่โขลญหนุ่มกำลังชั่งใจว่าจะชวนบุรุษอายุราวสิบห้าตรงหน้าพูดคุยเรื่องอะไรดี ชายแปลกหน้าที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มก็ผละลุกจากตั่ง ยืนขึ้น ล้วงเหรียญศรีวัตสะชำระค่าแกงกับข้าวเหนียว

ไอ้ตูบเงยหน้าด้วยความเสียดาย แต่ด้านหลังบุรุษแปลกหน้ายังมีเด็กหนุ่มร่างอรชรเรือนผมดำขลับงามสะดุดตาอีกผู้หนึ่ง

โขลญหนุ่มถึงกับเผลอกลั้นหายใจเมื่อชายคนนั้นกำลังเดินมายังพิกัดของตั่งที่มันนั่งอยู่ จากนั้นหย่อนกายลงบนจุดที่ชายชาวสรุกคนเมื่อครู่เพิ่งลุกจากไป

กลิ่นกระแจะจันทน์อวลเอื่อยจากผิวกายของโฆษิตขณะที่มันกำลังโบกไม้โบกมือสั่งอาหาร ยวนตาจนไอ้ตูบอดมองไล้ลอนบางบนหน้าท้องไร้ไขมันของอีกฝ่ายไม่ได้

ร่างแบบบางคงรับรู้ได้ถึงสายตาของไอ้ตุ่นจึงผินหน้ากลับมาประสานสายตาเข้าอย่างจัง

โขลญหนุ่มรีบก้มหน้างุด กัดข้าวเหนียวคำหนึ่งพร้อมตักแกงอ่อมซดแก้ขวย

“ขอโทษเถิด หน้าข้ามีอันใดติดอยู่ฤๅ” โฆษิตถามด้วยสำเนียงศกุนตะชัดถ้อยชัดคำ

ไอ้ตูบสำลักจนหน้าแดง ใบผักชีในแกงอ่อมที่มันลืมเคี้ยวมีลักษณะหยักลึกเป็นแฉกคล้ายขนนก ไม่แปลกที่จะติดคอจนต้องกระดกขันน้ำฝนล้างคอเสียหลายอึก

“ขออภัยจริงๆ ข้ามิได้จงใจจะจดจ้อง” โขลญหนุ่มละล่ำละลัก “ข้าเพียงคิดว่าวันนี้เอ็งโชคดีนักที่ได้ตั่ง ปกติแกงอ่อมร้านนี้ต้องยืนรอเป็นชั่วยามเทียว”

“มินานเท่าไรดอก” โฆษิตตอบ หลุบตาจ้องการนุ่งโจงแบบสมพตสีขมิ้น อันเป็นเครื่องหมายของหน่วยสมิง

ทันทีที่ไอ้ตูบได้เปิดปากคุย ท่าทีที่มันเคยสงวนก็คลายลง

และนั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มรอคอย

โขลญตูบตั้งใจฟังเรื่องสมมติ นานาระหว่างมื้อเที่ยงพรั่งพรูออกจากริมฝีปากบาง พาทหารหนุ่มก้าวข้ามระดับความสัมพันธ์จากคนแปลกหน้าเป็นความสัมพันธ์ฉันมิตรแสนอบอุ่นหัวใจ

ทุกครั้งที่นกน้อยโน้มกายท่อนบนอันเปลือยเปล่าเข้าใกล้ จงใจกระตุ้นอารมณ์โหยหาที่ไอ้ตูบพยายามซุกซ่อน คาดคะเนความปรารถนา บีบกระทั้น ส่งสัญญาณเป็นนัยให้อีกฝ่ายรู้ว่าชายหนุ่มทั้งสองนั้นเป็น ‘พวกเดียวกัน’

นอกจากข้อมูลรอบด้านของเหยื่อตรงหน้าแล้ว นกต่อจากหอสังคีตตัวนี้ยังรู้ว่าสองสามเดือนมานี้ชายก่อนวัยฉกรรจ์อย่างไอ้ตูบไม่ได้ไปใช้บริการลูกสวาทเลยสักครั้ง เหตุเพราะนางแพงพวย เมียสาวของมัน กำลังตั้งครรภ์ได้สามเดือน อารมณ์อ่อนไหวบอบบางเป็นพิเศษจนมันกระดิกกระเดี้ยเนื้อตัวไปไหนไม่ได้แม้กระผีก

“พี่ชายไม่กลัวติดกับอยู่ในชีวิตคู่อันสลดหดหู่ฤๅ” โฆษิตตั้งปฏิปุจฉา คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ

โขลญตูบจ้องปลายนิ้วที่กำลังไล้วนบนหลังมือตน

นั่นคือสัญญาณอันตราย

ทว่าบุรุษอายุยี่สิบไม่อาจละเลยกระแสสายฟ้าแปลบปลาบที่แล่นปราดจนท้องน้อยของมันเสียววาบ สายตาหยาดเยิ้มของมันถูกนัยน์ตาดำขลับของนกน้อยตรึงติดเอาไว้แน่น

อารมณ์พลุ่งพล่านเชื้อชวนให้อวัยวะแห่งความเป็นชายทั้งแท่งใต้โจงสมพตของไอ้ตูบกำลังเต้นตุบ และอาการดำฤษณาอันเด่นชัดนั้นก็ไม่อาจลอดพ้นสายตาของนางแพงพวยซึ่งยืนซุ่มอยู่ไม่ไกลไปได้

“ข้าบอกแล้วว่าอย่าเอาน้ำมันมหาปะไลยกัลป์ของยายสาให้มันกินถี่นัก ทีนี้ละนกเขาของมันขันไม่เฉาไปทั่วทั้งสรุกแน่” ชายที่ลุกจากตั่งให้โฆษิตนุ่งเมื่อครู่เอ่ย

“หลายเดือนก่อนเป็นเอ็งที่แนะนำข้ามิใช่ฤๅ ว่าถ้าอยากมัดใจผัวก็ให้ยั่วให้มันหมั่นทำการบ้านการเรือน จักได้มีโซ่ทองคล้องใจ” นางแพงพวยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แล้วที่เอ็งว่าบุรุษอื่นในหน่วยสมิงก็มีอาการเช่นไอ้ตูบอยู่หลายรายมิใช่ฤๅ”

“ใช่” นกต่อสำทับหนักแน่น พยักพเยิดให้หญิงสาวดูทหารหนุ่มเดินกอดคอโฆษิตไปหาที่ลับตาคน “คงติดไข้ลักเพศมาจากเผ่ารุ้งพรายที่พวกมันเข้าเข่นฆ่าเมื่อสามปีก่อน”

“กรรมแท้ๆ” ริมฝีปากนางแพงพวยสั่นสะท้านเหมือนจะเป็นไข้ หยาดน้ำใสคลอหน่วยเป็นชั้นบาง

“แต่ข้าพอมีวิธีเพรียกสติเหล่าโขลญสมิงให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้” นกต่อเอ่ย

“อย่างไร” น้ำเสียงหญิงสาวฟังดูสดใสขึ้นมาทันควัน

“เอ็งลืมไปแล้วฤๅว่าข้าก็สังกัดหน่วยสมิง” นกน้อยหอสังคีตโป้ปดคำโต

“ฤๅเองก็หายขาดจากอาการลักเพศแล้ว?”

“นี่คือยาสูตรลับราคาแพงของยายสา ข้าซื้อหามาได้เพียงเท่านี้ อย่าใช้สุ่มสี่สุ่มห้า” ชายหนุ่มฉาบสีหน้าจอมปลอมด้วยความเห็นอกเห็นใจ เปิดฝากลักบรรจุผลึกขาวใสผสมเกล็ดการบูร เมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ผลึกนั้นก่อเฉดรุ้งสะท้อนแสงระยิบระยับ “เพียงเอ็งแจกจ่ายผลึกกลับใจนี้ให้เมียโขลญหน่วยสมิงทุกคน ลอบผสมใส่ในอาหารแลเครื่องดื่ม มินานก็สร่างจากไข้ลักเพศ”

“แต่…” นางแพงพวยลังเล

“อีกไม่กี่วันก็เทศกาลคเณศจตุรถีแล้วมิใช่ฤๅ” นกต่อปิดฝากลัก ส่งใส่มืออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “ผสมลงในเครื่องบูชาอย่างเนื้อมะพร้าวขูดก็น่าจะดี…”

 



Don`t copy text!