หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 14 : เชื้อไข้

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 14 : เชื้อไข้

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

อินทรธนูต้องหยุดมันให้ได้

ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าใบหน้าของศศินหันไปทิศทางตรงข้ามกับปลายไส้ตะคันที่มีไฟลุกโชน มองไปยังสายชนวนไล่ตามผนังหินขึ้นไปยังเบื้องบน

ส่วนยอด?

ศศินถลันออกนอกกุฏิฤๅษี ไม่ต้องรอคำยืนยันใดอีกต่อไปแล้ว เพราะชีวิตผู้บริสุทธิ์ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ผันผ่านในแต่ละเสี้ยวของชั่วยาม

ว่ากันว่าเชื้อไข้ก็เหมือนเห็ดพิษ แตกหน่อก่อละอองและไวต่อความร้อน หากศศินต้องการให้ผงไข้ขจัดขจายด้วยแรงระเบิดของดินดำ ย่อมต้องเอาไห โถ หรือกุณโฑบรรจุเชื้อไข้ทั้งหมดขึ้นไปไว้บนที่สูง เพื่อให้แรงระเบิดส่งโรคร้ายพุ่งสูงขึ้นไปบนอากาศ

“เตบ่มีทางทำสำเร็จ!” ศศินเปล่งเสียงแผ่วไล่หลัง

มันรู้ว่าอินทรธนูไม่ได้วิ่งหนีเอาชีวิตรอด แต่กำลังหาทางหยุดยั้งการปะทุของดินดำต่างหาก

อินทรธนูปีนป่ายขึ้นไปยังส่วนยอดอันเป็นหลังคาซ้อนชั้นลดหลั่นกัน เมื่อขึ้นไปถึงบันแถลง ซุ้มหน้าต่างรูปจั่วอันเป็นสัญลักษณ์แห่งวิมานอันเป็นสถานที่สถิตของเหล่าเทวตา เฉลาญ์หนุ่มกวาดตารอบบริเวณทันที มีร่องหลืบหลายจุดเหลือเกินที่สามารถซ่อนเชื้อไข้และก้อนดินดำเอาไว้ได้

สายชนวนที่ทำจากกระดาษสาห่อหุ้มดินดำไว้ภายในติดไฟลามเลียขึ้นไปเรื่อยๆ ศศินคงเดินสายชนวนเส้นนี้ยาวลงไปจนถึงด้านล่าง เพื่อที่เขาจะจุดไฟได้สะดวก

สายตาชายหนุ่มเคลื่อนขึ้นไปหยุดอยู่ที่ปลายชนวนด้านบน เห็นก้อนดินดำวางอยู่กลางถาด รายล้อมด้วยกุณโฑแก้วขนาดเล็กนับสิบดุจดาวล้อมเดือน เมื่อถูกสะเก็ดดินดำ กุณโฑเหล่านี้ก็จะปริแตกทันที

อินทรธนูจ้องผงสีขาวที่บรรจุอยู่ภายใน ขบริบฝีปากแน่น แล้วรีบไต่เอื้อมมือไปเด็ดสายชนวนให้ขาดก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

เหล่าทวยเทพยังเข้าข้าง

อินทรธนูจิกเล็บเข้ากับสายชนวนกระดาษจนขาด ก่อนที่เปลวอัคคีจะลามเลียขึ้นไปถึงอาวุธร้ายบนหลังคาซ้อนชั้น ทว่าปลายเท้าที่หมิ่นเหม่กลับลื่นไถล ไม่อาจใช้พยุงกายได้อีกต่อไป

ร่างเปรียวของเฉลาญ์หนุ่มลอยลิ่วจากความสูงราวยอดไม้ขนาดย่อมลงสู่พื้น

 

“โอ มหาศิวะ”

เฉลาญ์แคนดงอุทาน เมื่อเห็นอินทรธนูร่วงลงมาจากส่วนยอดของกุฏิฤๅษีร้าง อาการตื่นตระหนกปนเปกับความเครียดนั้นเด่นชัดแม้เห็นสีหน้าของชายหนุ่มอยู่ไกลลิบ

เฉลาญ์ที่นำหน้านามแคนดงนั้นคือคำเรียกขานขุนนางตำรวจอันมีชื่อตำแหน่งเต็มว่าเฉลาญ์วิสัย ซึ่งคำว่า ‘วิษัย’ หมายถึง เมือง เขต และแดน โดยนัยในคำนั้นสื่อถึงตำแหน่งตำรวจประจำเมือง และแคนดงผู้นี้เองที่รั้งทำเนียบหัวหน้าหน่วยสาลิกาในยามนี้

แต่เดิมสาลิกาคือกองสอบสวนกลาง มนตรี…ที่ปรึกษาแห่งโปญเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นด้วยตนเองอย่างลับ ๆ นับแต่ปีแรกที่ขึ้นรั้งตำแหน่ง เพื่อคานอำนาจและตรวจสอบเหล่าทหารโขลญ ไม่ให้พวกมันใช้อำนาจในทางที่ผิดดังเช่นเหตุเกิดกับเผ่ารุ้งพราย

จำนวนเจ้าหน้าที่หน่วยสาลิกาใต้บัญชาการของแคนดงไม่แน่นอน ยิ่งช่วงแรกสมาชิกของหน่วยสาลิกามีน้อยยิ่งกว่าน้อย เหตุจากการคัดเลือกอย่างเข้มงวด คัดเฉพาะเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าสิบห้า เปี่ยมด้วยทักษะการต่อสู้ ความรู้ ภาพลักษณ์ กระทั่งรูปร่างก็ยังถูกนำมาพิจารณา จะขาดตกบกพร่องแม้แต่ประการเดียวหาได้ไม่

หน้าที่ของบุรุษหน่วยสาลิกาในสรุกสกุนตะมีหลากหลาย ไล่ตั้งแต่รับหน้าที่เป็นเฉลาญ์กองเกียรติยศหน้าพระราชวัง ทั้งปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของโปญโดยตรง และมีหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดี อาทิ การจารกรรม การก่อวินาศกรรม และการก่อการร้าย ทำให้บุรุษเหล่านี้เข้าออกวังหลวงได้โดยไม่มีใครหน้าไหนกล้าขัดขวาง

ครั้งหนึ่งหนุ่มหน่วยสาลิกาวัยกลัดมันพลั้งเผลอเที่ยวหอสังคีตสถานบำเรอ นำโรคน่าอับอายไปติดนางกำนัล หากปล่อยไว้เช่นนี้ย่อมติดจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย มนตรีจึงห้ามหน่วยสาลิกาทุกนายลุ่มหลงในโลกีย์ ตั้งกฎขึ้นเป็นการจำเพาะว่าระหว่างยังดำรงตำแหน่ง ห้ามบุรุษสาลิกาเข้าเรือนคณิกา และห้ามเล่นหูเล่นตาหรือมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับเหล่านางกำนัลอย่างเด็ดขาด

เหตุนี้หนุ่มวัยฉกรรจ์จึงลำบากไม่น้อย

และน่าเสียดายยิ่งหากอินทรธนูจะตายในหน้าที่ก่อนเป็นฝั่งเป็นฝา เพราะอย่างไรเสียมันก็เพิ่งอายุเพียงสิบแปดปี

“กำลังเสริมอยู่ที่ใด”

แคนดงรักษาน้ำเสียงให้มั่นคง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่พ่นคำสบถออกมา อาการตื่นตระหนกไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้น

“อีกไม่กี่อึดใจคงถึง” เฉลาญ์หนุ่มนามไอ้ตุ่นตอบ พลางวิ่งตามหลังผู้บังคับบัญชา รีบรุดเข้าไปช่วยเหลืออินทรธนู

เมื่อแคนดงเหลียวมองไปอีกครั้ง เห็นอินทรธนูอยู่ในท่าหดขา กางแขนทั้งสองสร้างสมดุล ร่างลอยลิ่วสู่ผืนดิน ดูท่าคงพร้อมแล้วสำหรับแรงกระแทก

“ทุกสิ่งล้วนเป็นกับดัก มันจงใจเล่นงานหน่วยสาลิกา…” และพุ่งเป้ามาที่มันเป็นการส่วนตัว แคนดงตัดสินใจหุบปาก ก่อนชะงักฝีเท้ากึ่งกลางขั้นบันไดหินสูงชัน “ลงไปแจ้งทวารบาลตีนเขาเดี๋ยวนี้”

“เอ้อ…”

แคนดงรู้สาเหตุที่ผู้ใต้บังคับบัญชาลังเลดี ไม่มีใครในเหล่าขุนนางและชาวสรุกรู้จักหน่วยสาลิการวมถึงสายลับที่ทำงานให้หน่วยนี้ หลังเกิดความไม่ลงรอยขึ้นในระดับหัวหน้าเมื่อปีกลาย การทำงานของพวกมันก็ถูกเพ่งเล็งมาตลอด

“ข้าจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดในหน่วยของเราอีก” เสียงแคนดงเข้มขึ้น

เฉลาญ์ตุ่นพยักหน้า หันหลังวิ่งย้อนกลับไปยังตีนเขาทันที รูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มสมควรเป็นกองระวังหลังสมุทายะมากกว่าหัวหน้ารักษาช้าง ด้วยผิวสีน้ำตาลแดงดูสุขภาพดี มีเรือนร่างที่แข็งแกร่ง

แคนดงอยากทรุดกายลงนั่ง เอาหน้าซุกหัวเข่าเสียตรงนั้น

มันเพิ่งเข้ามาบริหารหน่วยนี้ได้ไม่ถึงปี เสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการปรับโครงสร้างและเสริมความปลอดภัย

หลังถูกแทรกซึมโดยกองกำลังที่เรียกว่าปาสคะเมาขบถดำ มันไม่รู้เลยว่าข้อมูลใดบ้างรั่วไหล ถูกนำออกขาย หรือเผยแพร่ออกไปยังสรุกหรือปุระอื่นบ้างก่อนหน้านี้ ฉะนั้นมันจึงตัดสินใจกวาดล้างและสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น แม้แต่ศูนย์บัญชาการก็ยังถูกระเห็จออกจากพระราชวัง มาตั้งโรงเรือนขนาดย่อมอยู่ไม่ไกลจากสถูลไศลลูกนี้

ที่มันรู้ว่าภารกิจของอินทรธนูในครานี้เป็นกับดัก ก็ด้วยตอนที่มันเพิ่งเข้าหน่วยมาได้ตัดสินใจส่งเหล่าสาลิกาลงภาคสนามอีกครั้ง ส่งอินทรธนูไปตรวจสอบเรื่องผลึกซึ่งถูกดักปล้นไปแถวช่องจันทบเพชร แม้กองระวังหลังจะสสับสับเปลี่ยนใช้ฬ่อขนไปก่อนล่วงหน้าแล้วก็ตาม

การโจมตีของพวกขบถดำหรือเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มโจรป่าครั้งนี้ มีเจตนาสั่นคลอนสาลิกาและตัวแคนดงโดยตรง เพื่อสำแดงฤทธาว่าพวกคนป่าก็มีปัญญามากพอจะวางระเบิดหน่วยสาลิกาได้ทุกเมื่อ มันเป็นกลลวงให้สาลิกาชะงักงันอีกครั้ง จะได้กวาดล้างได้ง่ายขึ้น เพราะตราบใดที่สาลิกาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ตราบนั้นพวกขบถดำย่อมจะทำอะไรในสรุกศกุนตะก็ได้ตามอำเภอใจ

โดยเฉพาะการผูกพยาบาท เลือดล้างด้วยเลือด

“อินทร์!”

แคนดงตะโกน ก่อนชายหนุ่มวัยยี่สิบผู้นี้จะออกวิ่งขึ้นเขาอีกครั้ง

หลังอินทรธนูหมุนร่างกลางอากาศเพื่อให้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างลงพื้นก่อน ทว่าพื้นหญ้าชุ่มน้ำค้างลาดชันไม่ได้ช่วยให้ชายหนุ่มหยัดยืนได้ง่ายขนาดนั้น ร่างจึงล้มกลิ้งก่อนเลื่อนไถล มันตัดสินใจกางขากว้างเพื่อให้เกิดความหนืดลดความเร็ว กระทั่งจุดกึ่งกลางของร่างกายกระแทกโคนต้นไม้เข้าเต็มเปา

“อูย…”

“ไอ้อินทร์”

แคนดงวิ่งเข้ามาช่วยพยุงร่างชายหนุ่มให้ยืนขึ้น ทว่าขาทั้งสองข้างของอินทรธนูอ่อนยวบจากความเจ็บปวดอย่างที่บุรุษเท่านั้นจึงจะรู้ดี

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าจะยังไม่ตาย” อินทรธนูเสตามองไปตามแนวโค้งของไหล่เขา

“เอ็งควรไปหาภิษัช ดูอาการสักหน่อย ข้าเกรงว่าเมื่อใดที่เอ็งแต่งเมีย ประเดี๋ยวจะใช้งานมิได้” แคนดงแซว มันรู้เพียงว่าอินทรธนูเป็นชาวรุ้งพราย แต่ยังไม่รู้ว่าความพึงพอใจของชายหนุ่มเป็นเช่นไร

อินทรธนูส่ายหน้าดึก “ข้าไม่เป็นอะไรมาก ยืนนิ่งๆ สักพักก็หาย”

แคนดงตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ “ยังดีที่ไอ้ณิมมีไหวพริบ คาดอยู่แล้วว่านี่คือกล่ำดักปลาของพรานโจรขบถดำ หาไม่…หากภาระของหน่วยสาลิกาตกอยู่ที่ข้าผู้เดียว อย่างไรก็มิไหว”

อินทรธนูนึกถึงปูรณิม แม้เฉลาญ์หนุ่มผู้นี้เป็นคนมุทะลุ ทว่าโจงโธตีและเครื่องประดับบนร่างเปรียวของเขากลับประณีตงดงามยิ่ง ขอบโจงสีเทาเข้มมีการปักลายเถาวัลย์เชื่อมต่อกับกระจังใบเทศ ยิ่งใช้ดิ้นทองปักลวดลายด้วยแล้ว ยิ่งขับเน้นให้ปูรณิมดูไม่ธรรมดา เฉลาญ์ผู้ถนัดลงสนามมากกว่าใช้สมองในร่มมักมีคิ้วเข้ม ตาเป็นประกายกล้า มีสง่าราศีสมคำว่ายอดฝีมือ

แม้ปูรณิมจะไม่บึกบึนเท่าศศิน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว…

“แล้วอาการปูรณิมเป็นอย่างไรบ้าง”

อินทรธนูยังไม่อยากคิดเรื่องศศินตอนนี้ จึงกวาดตามองหาปูรณิม กลับไม่เห็นบุคคลที่เขาถามถึง

“นิสัยของพวกเอ็งสองคนส่งเสริมกันและกันได้พอดี คนหนึ่งฉลาดวางแผน อีกคนหลบหลีกเอาตัวรอดเก่งในสนามรบ ไม่แปลกที่ห่างกันไม่กี่วันก็ถามหากันเสียแล้ว” แคนดงยิ้ม รู้ดีว่าผู้ใต้บังคับบัญชาชาวรุ้งพรายผู้นี้พึงใจในสิ่งใด

“ข้าเพียงเป็นห่วงผู้มีพระคุณก็เท่านั้น มิได้คิดเป็นอื่น” อินทรธนูรีบแย้ง หมายความถึงเหตุการณ์ที่ปูรณิมวิ่งขึ้นเขาไปช่วยตนจากการฆ่าล้างโคตรของหน่วยสมิง

“รู้แล้วละน่า ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเอ็งสักหน่อย ดึงลูกศรออกจากหัวไหล่เรียบร้อย ข้าบังคับให้มันพักฟื้นอยู่ที่อโรคยาศาลโน่น” แคนดงเอ่ย

“ณิมมีความสามารถอย่างท่านว่าจริงๆ” คราวนี้เฉลาญ์ผู้น้อยตุ่นเป็นคนพูด

“ของมันแน่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะผลักดันให้ไอ้ณิมเข้ารับตำแหน่งรองผู้บัญชาการหน่วยสาลิกาทำไม ว่าแต่…” แคนดงเงยหน้ามองไปยังกุฏิฤๅษีร้าง คล้ายแมวดาวสูดจมูกเมื่อได้กลิ่นคาวเลือด

“พรานโจรหนีไปได้” ใบหน้าอินทรธนูร้อนผ่าวเมื่อโป้ปด “ปิดหน้าปิดตา ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ทำให้เห็นโฉมหน้าไม่ถนัดนัก”

“ผู้ก่อการร้ายคงมิใช่รุ้งพรายที่รอดชีวิตอย่างข่าวลือกระมัง” แคนดงเข้าประเด็น

“เอ่อ…”

“หากใช่แน่ว่าผู้นำโจรป่าขบถดำคือบุรุษชื่อศศิน ลูกชายหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายที่ยังรอดชีวิตละก็…” แคนดงเงียบชั่วขณะ “เอ็งรู้ใช่ไหมว่าหน่วยสาลิกาต้องจับกุมผู้ก่อการร้าย ฤๅมิว่าใครก็ตามที่พยายามทำร้ายชาวสรุกผู้บริสุทธิ์”

ชีพจรอินทรธนูเต้นรัว ท้องไส้บีบรัดราวกับว่าผู้บังคับบัญชากำลังบีบให้อินทรธนูเลือกข้างอย่างชัดเจน ชายหนุ่มสูดหายใจและเหลือบมองเฉลาญ์ผู้น้อย

คนที่มีพื้นเพจากชนชั้นไพร่อย่างไอ้ตุ่นเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี จึงพยักหน้าส่งกำลังใจ บ่งว่ามันถือหางอินทรธนูเสมอ

แท้จริงแล้วในใจของมันเห็นศศินเป็นวีรบุรุษ เป็นอัคนีผู้มาพร้อมแสงสว่างแห่งรุทร ร่ายรำย่ำบาท ก่อเกิดเพลิงอัคคีแห่งความหวังแก่เหล่าจัณฑาลอวรรณะ และไอ้ตุ่นก็เชื่อเหลือเกินว่าอีกไม่นานฟุนไฟร่ายเร่าจะลุกลาม กลายเป็นนรกานต์ปลดแอก ไหม้ทำลายศกุนตะจนย่อยยับ

ไอ้ตุ่นใช้ปลายนิ้วลูบไล้หินดูดเหล็กในอุ้งมือ อย่างกับเด็กไม่รู้ประสีประสาที่ชอบเอาหินชนิดนี้ไปดูดผงตะไบเหล็กเล่น แล้วเสเปลี่ยนเรื่อง

“ข้าไปขอดูบันทึกทางการทหารจากเจ้ากรมมาแล้ว มีรายชื่อพวกโขลญเฉียดร้อย”

“สรุกขนาดเล็กกลับมีทหารโขลญผลาญส่วยสาอากรมากมายถึงเพียงนี้” แคนดงนึกถึงคำพูดของมนตรี ช่วงนี้พวกโขลญมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นผิดปกติ “โขลญใหม่ก็เหมือนกับการตั้งรกรากในสรุก แต่ละนายล้วนต้องมีระเบียน”

“ทุกรายชื่อมีเจ้าหน้าที่ครัวเรือนจดจารรับรอง”

“มิพบสิ่งใดผิดปกติเลยฤๅ” แคนดงไม่ลดละ

ตุ่นผงกศีรษะ

“ในเวลาไม่กี่ปี อำนาจหน่วยสมิงแผ่ขยาย ทั้งโปญผู้เยาว์แลชาวสรุกต่างหวาดหวั่น” แคนดงจ้องเฉลาญ์ตุ่น “เอ็งว่าเจ้าหน้าที่ครัวเรือนมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ฤๅไม่”

“คงมิรู้กระมัง มิฉะนั้นมันคงมิยอมให้ข้าตรวจดูรายชื่อ”

“เบาะแสขาดหายอีกแล้ว” แคนดงถอนหายใจยาว “บัดนี้ย่างเข้าเดือนอาศวิน ไอ้ตุ่น เอ็งรู้ไหมว่าเดือนนี้มีความหมายต่อเผ่ารุ้งพรายอย่างไร”

ไพร่อย่างไอ้กู่ไม่เคยได้รับการศึกษา จึงส่ายหน้าเป็นธรรมดา เมื่อเห็นผู้บังคับบัญชาแหงนมองผืนฟ้า มันจึงทำตาม

นกอินทรีตัวหนึ่งบินวนอยู่บนท้องนภา ท่าทางแข็งแรงปราดเปรียวบินร่อนถลาลม ลำตัวอาบด้วยแสงตะวันยามอรุณรุ่งเปล่งแสงดูเศร้าหมอง มันกำลังปล่อยให้สายลมเย็นจากทางเหนือยกปีกมุ่งสู่ทางใต้

สายตาเฉลาญ์ตุ่นหยุดอยู่ที่เทือกเขาภนุมฎองแรกอันกว้างใหญ่ไพศาลทอดเป็นทิวยาวหลายสิบโยชน์ไกลลิบเบื้องหน้า

“อาศวินอินทรีโผบิน เป็นฤดูกาลล่าสัตว์ของรุ้งพราย” อินทรธนูตอบ

แคนดงผงกศีรษะเชื่องช้า “ศึกกับเหล่าขบถดำคงยากจะเลี่ยง”

อินทรธนูเผลอแตะปลายนิ้วลงบนกังสดาลครึ่งซีกบริเวณสะเอว นึกถึงนัยน์ตาเปล่งประกายเฉียบคมของคู่ชีพิตที่เขาเพิ่งลอบปล่อยตัวไปเมื่อครู่

ไม่ได้เจอหน้าเพียงสามปี มาบัดนี้ใบหน้าของศศินค่อนไปทางซูบผอม ขอบตาเว้าเล็กน้อย ทว่าจมูกเป็นสันตรงนั้นยังคงแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวและหาญกล้าที่หยั่งลึกในหัวใจ

“ไม่ว่าศศินจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายของนายจำกอบฤๅไม่ แต่โศกนาฏกรรมของศกุนตะคงไม่จบเพียงเท่านี้” แคนดงพูด

“ท่านหมายความว่า…” ไอ้ตุ่นถาม

“อินทรธนูคงรู้ซึ้งถึงความคับแค้นใจของเผ่ารุ้งพรายดี” แคนดงตอบด้วยความกังวล “ผลึกเศษะที่ศศินดักปล้นจากเราไปจนหมด ทำให้ข้าเดาผลลัพธ์ที่มันต้องการได้ไม่ยากว่า อีกมินานสรุกศกุนตะคงถูกแผดเผาด้วยไฟประลัยกัลป์เป็นแน่แท้”

“หลังอัญเชิญพระอุมา พระมารดาแห่งโลกทั้งสาม เสด็จขึ้นประทับเหนือบัลลังก์ทองคำประดับอัญมณี องค์พระศุลาผู้ถือตรีศูลก็เริ่มร่ายรำบนยอดเขาไกรลาส” อินทรธนูพึมพำอีกพระนามหนึ่งของพระศิวะ

“คัมภีร์ศิวะประโทษสโตตระ?” แคนดงยกหัวคิ้ว

“มิผิด อัญมณีกับพระอุมาทำให้ข้านึกถึงสูรยกานต์กับสตรีผู้เป็นแม่…” อินทรธนูนิ่วหน้า หันไปถามผู้บังคับบัญชา “ท่านพอจะนึกออกไหมว่า มีหญิงชาวศกุนตะใดที่เคียดแค้นชิงชังสรุกจนถึงขั้นลุกขึ้นมาประทุษร้ายเผ่าพันธุ์เดียวกันกับตนบ้าง?!”

 



Don`t copy text!