หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 15 : ความหวัง

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 15 : ความหวัง

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

เสียงร้องเจ็บปวดที่ถูกข่มกลั้นถึงขีดสุดพลันดังสะท้านก้องผนังหินอโรคยาศาล ปูรณิมเกร็งร่างเหยียดไปด้านหน้า ขอบตาแดงก่ำ ท่อนไม้พันด้วยผ้าฝ้ายเนื้อดีที่อุดปากมันไว้ถูกกัดจนเกือบสะบั้น

สถานที่รักษาอาการป่วยไข้ทั้งทางกายและจิตแห่งนี้เป็นอาคารไม้ศาลาโถงขนาดเล็ก มีปราสาทประธานตั้งคั่นระหว่างศาลากับโคปุระซุ้มประตูทางเข้า ซึ่งชาวสรุกเรียกกันในท้องถิ่นโดยทั่วไปว่าปรางค์กู่หรือกู่ ปราสาทประธานขนาดย่อมนี้ก่อด้วยศิลาแลง ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ถัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีบรรณศาลา อาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก พื้นที่นี้ล้อมกรอบด้วยกำแพง ซึ่งภายในมีจารึกระบุจำนวนเจ้าหน้าที่ประจำอโรคยศาล และรายการสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคไว้อย่างละเอียด

ก้านศรดำมะเมื่อมถูกปลายมีดคมกริบในมือภิษัชกรีดงัด โลหิตแดงฉานไหลทะลักทันที ผู้รักษาวางมีดลง เย็บแผลด้วยเข็มที่มีลักษณะไม่ต่างกับขอเบ็ดตกปลา พอกใบบัวบกตำผสมน้ำผึ้ง จากนั้นพันผ้าฝ้ายขาวสะอาดอย่างคล่องแคล่ว

‘ดึงหัวศรออกจากไหล่เรียบร้อย อันตรายมิถึงชีวิต เพียงแต่แขนซ้ายคงใช้การมิได้หลายเดือน ต้องหมั่นดูแลแผลมิให้พิษกำเริบ’

หน้าผากปูรณิมเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อจนเปียกชุ่ม มันผงกศีรษะอย่างอ่อนล้าขณะทอดสายตามองภิษัชล้างโลหิตที่ติดมือในอ่างดินเผา

นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่ชายหนุ่มจำได้

เฉลาญ์หนุ่มรู้สึกสะลึมสะลือ ในใจคล้ายมีอะไรค้างคา พักหนึ่งก็สะดุ้งตื่นลืมตา เหลียวมองรอบกายมีแต่แสงสว่างเจิดจ้า เมื่อสำเหนียกทิวทัศน์ได้ว่าเป็นศาลารักษาไข้ มันจึงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนนึกออกว่าเหตุใดตนจึงมาอยู่ที่นี่

เมื่อผินหน้าไปอีกฝั่งปูรณิมถึงกับสะดุ้งโหยง

ไม่รู้ว่าอินทรธนูเข้ามานั่งอยู่ข้างมันตั้งแต่เมื่อไร ชายหนุ่มนั่งโน้มตัวไปเบื้องหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังใจลอย แต่พอเห็นว่าปูรณิมตื่นแล้วจึงยิ้มให้

“ขอน้ำบ้วนปากสักหน่อยได้ฤๅไม่”

“สลบไสลไปตั้งหลายวัน มิยักรู้ว่าตื่นขึ้นมาแล้ววิญญาณแมวเข้าสิง” อินทรธนูอดหัวเราะไม่ได้

“ตัวสูงถึงเพียงนี้จะเหมือนแมวตัวเล็กๆ ได้เยี่ยงไร”

“ไม่มีชายใดรักความสะอาดเท่าเอ็งอีกแล้วละไอ้ณิม”

ปูรณิมเหลือบมองรอยขีดข่วนบนแขนขาของอินทรธนู คงได้มาจากภารกิจล่อซื้อสารโฆรวิสแถวกุฏิฤๅษีร้างเมื่อคืน นับแต่ตัดสินใจช่วยอินทรธนูแหกคุกเมื่อสามปีก่อน ยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งรู้ว่าหนุ่มรูปงามผู้นี้ชอบทำอะไรแผลงๆ ไม่เพียงแต่ชอบปีนป่าย ยังเป็นคนชอบกิจกรรมโลดโผนเสี่ยงชีวิตเป็นชีวิตจิตใจ

พอคิดถึงตรงนี้ปูรณิมก็คลี่ยิ้มจนริมฝีปากแตกระแหง เพิ่งคิดจะโต้ตอบ ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าลำคอแห้งผากเหลือเกิน

“ทำตัวอย่างกับแมว นิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องล้างหน้าบ้วนปาก แต่ก็ดี ข้าจะได้ไม่เหม็นขี้ฟันเอ็ง” อินทรธนูสัพยอก

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เวลาถูกชายหนุ่มเผ่ารุ้งพรายหยอกเย้าอย่างนี้ทำให้หัวใจปูรณิมคลับคล้ายจะพองโตจนคับอก

อินทรธนูยกขันเงินบรรจุน้ำฝนเข้ามาให้ เห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มแป้นแล้นเบิกบานใต้แสงแดดยามสายเข้าพอดี ราวกับว่าสถานการณ์อันตรายถึงชีวิตที่มันเพิ่งเผชิญไม่ได้มีความหมายแก่ชีวิตมากมายอะไรถึงเพียงนั้น

หนุ่มรุ้งพรายลอบถอนใจ ด้วยแต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มจากสองเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินไม่น่ามีวันสุงสิงกันได้

อินทรธนูเดินมาหยุดเบื้องหน้าปูรณิม ยกมือขึ้นดีดนิ้วลงกลางหน้าผากคนเจ็บเบาๆ

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มิทราบว่ากำลังคิดถึงสาวเรือนไหนกัน”

“เปล่าสักหน่อย” ปูรณิมปฏิเสธฉับไว “ข้าเพียงดีใจที่ยังมีลมหายใจมาอยู่เป็นเพื่อนเอ็งไล่จับผู้ร้ายน่ะ”

“พูดมาก ไหนบอกว่าอยากบ้วนปาก”

อินทรธนูยัดขันน้ำฝนใส่มืออีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นปูรณิมนิ่วหน้าขณะยันกายลุกขึ้นจากแคร่อย่างยักแย่ยักยัน จึงรีบเข้าไปช่วยพยุงและถือขันให้

ทันทีที่ล้างหน้าเสร็จ ร่างสูงเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง

“เห็นห่ออีโก่ยของข้าไหม”

อินทรธนูยกหัวคิ้ว “อีโก่ยคือสิ่งใด”

“ผลไม้ป่าแถวช่องจันทบเพชร ข้าเก็บใส่ห่อผ้ามาฝากเอ็ง ก่อนจะถูกโจรป่าดักปล้น…” ปูรณิมตัดสินใจไม่พูดถึงศศิน

“นี่กระมังอีโก่ยป่าของเอ็ง” อินทรธนูหยิบถุงย่ามข้างแคร่ขึ้นมาเปิด เห็นหมากเครือรูปทรงกลมเกาะกันเป็นพวงแน่น ซึ่งบัดนี้โชยกลิ่นเหม็นบูด กลายเป็นสีแดงคล้ำเพราะขึ้นรา “ขอบใจนะ เข้าป่าหาของกินกับศศินทีไร ไม่วายต้องดั้นด้นหา…”

ปูรณิมบังคับริมฝีปากให้ยิ้มร่าเมื่อได้ยินอินทรธนูเอ่ยชื่อบุตรชายหัวหน้าเผ่ารุ้งพราย ทว่ารอยยิ้มนั้นช่างจืดเจื่อนเสียนี่กระไร

“ไม่ต้องเกรงใจข้าดอก ข้ายินดี”

อินทรธนูหัวเราะ ตั้งใจจะยื่นมือไปลูบศีรษะอีกฝ่ายแต่ก็ต้องชะงักค้างกลางอากาศ เพราะบุรุษเบื้องหน้าไม่ใช่ศศิน ยิ่งกว่านั้นปูรณิมยังไม่ใช่รุ้งพราย ด้วยชาวศกุนตะถือว่าศีรษะเป็นของสูง ไม่สมควรที่อินทรธนูจะเล่นหัวอีกฝ่ายได้เหมือนตอนอยู่กับคนในเผ่า

เสี้ยวกษณะนั้นเอง ท่าทีเย็นชาของศศินเมื่อรู้ว่าอินทรธนูฉาบยาหมดสติไว้บนใบมีดปีกผีเสื้อเพื่อทำร้ายตนได้ผุดเข้ามาในห้วงความคิด

อินทรธนูพลันตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่าในอดีตเคยให้คำมั่นสัญญาเรื่องใดเอาไว้บ้าง ในแววตาของศศินมีเพียงความคั่งแค้นดำทะมึน คงเห็นว่าอินทรธนูสมควรตายที่ทรยศมัน หันมาเข้ากับพวกศกุนตะ

ลางที…หนุ่มรุ้งพรายครุ่นคิดเหม่อลอย…หากศศินรับรู้ว่าอินทรธนูยังคงรักษาคำมั่นละก็…

ปูรณิมสังเกตได้ว่าอินทรธนูชะงักไป จึงเป็นฝ่ายเอียงศีรษะดุนฝ่ามือชายหนุ่มสองสามครั้ง เหมือนไอ้ด่างของศศินไม่มีผิด ทำให้หนุ่มรุ้งพรายยอมตบขม่อมปูรณิมเปาะแปะสองสามครั้ง ก่อนทรุดกายลงนั่งบนแคร่ข้างคนเจ็บ

ท่ามกลางสายลมอ่อนพัดโชย แสงแดดจัดจ้า บรรยากาศเชื้อชวนให้สนทนา แต่ที่น่าแปลกคือปูรณิมเกิดไม่มีกะจิตกะใจจะเอ่ยสิ่งใด รู้สึกว่าอยู่เงียบๆ เช่นนี้ก็ดีแล้ว ดีมากแล้ว

“ข้าไปละ” อินทรธนูบีบไหล่ขวาเกลอผู้มีพระคุณ “หยูกยาอย่าให้ขาด กินแล้วก็พักผ่อนให้มาก”

ร่างปูรณิมดูสูงและปราดเปรียว แต่ท่านั่งไม่ต่างกับเด็กน้อยอมมือ ขายาวสองข้างไม่ยอมเหยียบพื้น ยกแกว่งไปมากระดุกกระดิก

“อินทร์…” ปูรณิมเรียกรั้ง “เอ็งยังหวังที่จะเจอไอ้ศินอยู่ไหม”

อินทรธนูยืนนิ่ง

ปูรณิมมองใบหน้าด้านข้างของร่างโปร่งซึ่งมีท่าทีครุ่นคิด

“ใช่” อินทรธนูตอบ “ข้าเชื่อว่ามันยังไม่ตาย”

เพราะข้าเห็นศศินมาแล้วด้วยตาของข้าเอง

อินทรธนูกลืนประโยคสุดท้ายลงท้อง ด้วยชายหนุ่มคิดว่ายามนี้หน่วยสาลิกาสืบได้เพียงแต่ว่าพวกขบถดำได้ลักลอบเข้าสรุก และยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้นำขบวนการ แต่หารู้ไม่ว่าปูรณิมเองก็เพิ่งประจัญหน้ากับศศินมาแล้วที่ช่องจันทบเพชรเมื่อหลายวันก่อน

ปูรณิมรู้สึกเหมือนเสียหน้า เอื้อมมือไปรั้งแขนอินทรธนูไว้ “หากเอ็งมีเกลออย่างข้าข้างกาย ก็มิอาจทดแทนไอ้ศินได้เลยฤๅ”

อินทรธนูผินหน้ามองนัยน์ตาใสบริสุทธิ์ราวน้ำใสในลำธาร สามารถมองผ่านเข้าไปเห็นสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วอึดใจ ในช่องอกบังเกิดความรู้สึกที่แม้แต่ตนเองก็บอกไม่ถูก ราวกับหัวใจที่แห้งผากตลอดสามปีที่ผันผ่านกระทั่งกลายเป็นทุ่งทรายกุลา ทว่าบัดนี้มีหน่ออ่อนผุดยอด กระซิบบอกอินทรธนูว่าตั้งใจจะแผ่กิ่งก้านในใจมัน

แต่อินทรธนูไม่ต้องการต้นอ่อนต้นนี้มาช่วยบดบังสุริยา แม้ลำแสงของมันจะแผดเผาเพียงใดก็ตาม

“ลามปามใหญ่แล้วนะพ่อหนุ่ม” อินทรธนูแซวพร้อมแกะมืออีกฝ่ายออก

ปูรณิมเขย่าแขนอีกฝ่ายขยุกขยิก

“อะไรอีกเล่า”

“อยากได้กุหลาบแดงสักดอกไหม” ปูรณิมทอดตามองชายหญิงหลายคนหอบกุหลาบแดงมาจากตลาดไม้ดอก บ้างกำกิ่งมะม่วง บ้างอุ้มกระบุงปากบานบรรจุข้าวเปลือก

“กุหลาบอันใด”

“โน่นอย่างไรเล่า” ปูรณิมบุ้ยใบ้ไปทางช่องโคปุระ ซุ้มประตูทางเข้าอโรคยาศาล “ฤๅเอ็งอยากได้กิ่งมะม่วง”

“กิ่งมะม่วง?”

“เชื้อเพลิงสำหรับพิธีโหมกูณฑ์ก่อนคเณศจตุรถีในวันพรุ่งกระมัง”

ปูรณิมอธิบายพิธีถวายเครื่องบรรณาการแด่องค์เทพผ่านเพลิงไฟโดยมีเหล่าพราหมณาจารย์เป็นผู้นำ

“นอกจากธัญพืชแล้ว เครื่องบรรณาการยังมีสิ่งใดที่เป็นผลึกฤๅผงสีขาวบ้างไหม” ทันทีที่ได้ยินคำว่าไฟ อินทรธนูก็ดูลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข

“ฆี กานพลู กระวาน งาขาว…เนื้อมะพร้าวขูดก็มิใช่ผงผลึก” ปูรณิมมุ่นหัวคิ้ว “ฤๅจะเป็นการบูร เพราะนอกจากจะนำไปผสมน้ำประพรมร่างกายผู้เข้าร่วมพิธีแล้ว ยังใช้หยิบโปรยใส่กองไฟอีกด้วย”

“การบูรงั้นฤๅ…” อินทรธนูเบิกตาโพลง “ตายละวา!”

 



Don`t copy text!