หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 19 : ส่วย

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 19 : ส่วย

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

ราวสามปีก่อน

บนทางดำเนินเส้นยาวมีกระบวนแห่บรรณาการขนาดไม่ใหญ่นักกำลังตั้งแถวเป็นแนว ผู้อยู่หน้าสุดตีกังสดาลสำริดพร้อมเป่าแตรเสนงเขากระบือส่งสัญญาณให้นายกลองหางฟาดฝ่ามือลงบนหนังวัวที่ขึงตึง บรรเลงเป็นจังหวะปะเปิ้ดเปิงพร้อมเหล่านาฏกะ นางรำระบำฟ้อน ด้วยท่วงท่ายุรยาตร ประโคมจังหวะจะโคนเนิบนาบด้วยเสียงรำมะนา ฉาบเล็ก และฉาบใหญ่

วันนี้เป็น ‘หน้าส่วย’ กลุ่มคนที่เคยก่อกบฏมาแล้วครั้งหนึ่งอย่างพวกมันจึงต้องเดินทางเข้าสรุกศกุนตะ

กระสังยกงาช้าง ศศินอุ้มหีบบรรจุแร่เงิน อินทรธนูกับบุรุษวัยฉกรรจ์อีกนายหนึ่งยกพัดหางนกยูงด้ามยาวกระหนาบซ้ายขวา แลคล้ายกระบวนเลิงพนม การไต่เขาขึ้นไปกราบไหว้องค์เทวะเหนือยอดภู ของชาวศกุนตะอยู่ไม่น้อย

นอกจากนี้ยังมีชาวรุ้งพรายอีกหลายคนช่วยกันขนผ้าผ่อนแพรพรรณ จันทน์หอม ยางรงทอง ขี้ผึ้งขาว มหาหิงคุ์ กานพลู และมดยอบ ขาดเสียก็แต่ต้นไม้เงินต้นไม้ทองอย่างแว่นแคว้นที่นับถือพุทธศาสนาเท่านั้น

พวกมันแห่แหนเครื่องบรรณาการเหล่านี้ไปถวายแด่โปญผู้เยาว์ เจ้าผู้ครองสรุก อันเป็นเครื่องสำแดงไมตรีนับแต่เผ่ารุ้งพรายพ่ายแพ้ในการก่อขบถเหมืองเมื่อสิบห้าปีก่อน

หรืออีกนัยหนึ่งคือวิธีที่ศกุนตะคอยย้ำเตือนชาวรุ้งพรายว่า ชีวิตทั้งหมดของคนในเผ่าขึ้นอยู่กับความเมตตาของพวกศกุนตะ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการประกันศานติ และเพื่อเตือนใจไอ้พวกคนเถื่อนลักเพศว่าอย่าได้สะเออะกำเริบเสิบสานขึ้นมาอีก

ช่างเป็นการหยามเหยียดควบคู่ไปกับการทรมาทรกรรมเหลือเกิน

เหตุการณ์ดำเนินไปดังเดิมเฉกเช่นทุกปี

เริ่มต้นด้วยตัวแทนอาลักษณ์ออกมาพล่ามประวัติศาสตร์ของศกุนตะ สรุกรัฐซึ่งผุดขึ้นจากเถ้าถ่านภูเขาไฟที่มอดดับ สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งผู้คนเรียกขานกันว่า ‘วนํรุง’ อันหมายถึงภูผากว้างใหญ่ อาลักษณ์บ้าน้ำลายยังกล่าวถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ภัยแล้ง อุทกภัย อัคคีภัย วาตภัย และสงครามแสนทารุณโหดร้ายเพื่อแย่งชิงพื้นที่ทำกินที่หลงเหลืออยู่น้อยนิด

ผลคือศกุนตะฟูเฟื่องวัฒนา เว้นแต่เทศะที่รายรอบ

“พวกหมาจรจัดไร้นิคม!”

ขณะศศินกับบิดาก้าวขาเข้าไปในตลาดช่วงขากลับ ยังไม่ทันที่พวกเขาจะสะบัดเสื่อกกตั้งร้านแบกะดินขายของป่าเรียบร้อยดีด้วยซ้ำ เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมในตลาดก็ตะโกนแหย่ศศินกับพ่อ ก่อนหัวเราะราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดา

โลกแห่งความจริงโหดร้ายเช่นนี้เสมอ

แน่นอนว่าเด็กเวรพวกนี้ไม่เข้าใจคำว่า ‘ไร้นิคม’ อะไรนั่นดอก คงจดจำมาจากปากโคตรเหง้าศักราชของพวกมัน แล้วเอามาเจื้อยแจ้วไปอย่างนั้นเองมากกว่า

“โอ ลืมไป เขาว่าถ้าจะตีหมาไม่มีเจ้าของก็ต้องระวัง ประเดี๋ยวมันแว้งกัดข้าคงหนีไม่พ้นเป็นบ้าน้ำลายฟูมปาก”

ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในตลาดต่างหัวเราะครืน

ศศินกัดฟันจบแทบแหลกละเอียด เพราะชาวศกุนตะรู้ดีว่าเผ่ารุ้งพรายให้ความสำคัญกับสุนัขป่า ไม่ได้มองหมาเป็นสิ่งต้อยต่ำ ประโยคนี้ของไอ้เด็กเมื่อวานซืนจึงตีความได้เพียงอย่างเดียวคือจงใจหยามเกียรติทั้งตัวมันและบิดา

“ไอ้เด็กคนนั้นน่ะ โตขึ้นเอ็งอยากเข้าข้างหน้าฤๅเข้าข้างหลังเล่า ได้ข่าวว่าเผ่าของเอ็งเลือกได้ตามใจชอบนี่!”

“ได้ข่าวว่าเผ่าพันธุ์ตาบอดเป็นพวกถึกทน ไม่แน่ว่านั่นเป็นเพียงลมปากโอ้อวด ข้าจะคอยดูซิว่าพวกแกจะทนอยู่แถวชายแดนศกุนตะไปได้สักกี่น้ำ…”

เด็กคนนั้นพล่ามยังไม่ทันจบ ก็ถูกกำปั้นของศศินกระแทกเข้ามุมปากเสียก่อน

การเปิดฉากตะลุมบอนระหว่างเด็กหนุ่มเผ่ารุ้งพรายกับเด็กกักขฬะชาวศกุนตะเรียกสายตาฝูงชนเข้ามุงได้ไม่น้อย

รวมถึงเฉลาญ์ปูรณิม

เมื่อตำรวจหนุ่มอายุสิบห้าค่อยแทรกเข้าไปในกลุ่มคนเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามหน้าที่ จึงมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน

เด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับปูรณิมกำลังเผชิญหน้า ผู้หนึ่งเป็นชาวรุ้งพราย ขอบตาแดงก่ำบ่งความโกรธเคืองอย่างที่สุด หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่านัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นสีรุ้งอยู่บางจังหวะตามหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง ส่วนอีกฝ่ายกำลังตะโกนด่าทอน้ำตาอาบแก้ม

ปูรณิมกลับชะงักเมื่อเด็กหนุ่มชาวรุ้งพรายผู้นั้นเคลื่อนสายตามองมายังเฉลาญ์อย่างเขาด้วยหางตา

ประกายไฟ

ไม่…เป็นกองกูณฑ์แห่งความท้าทายต่างหากที่ปรากฏบนดวงตาคู่นั้น

เฉลาญ์หนุ่มไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะสิ่งที่ปรากฏบนแววตาของพวกรุ้งพราย

ปูรณิมเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยสัญชาตญาณ ผัสสะเย็นเยียบพาไรขนลุกชันไปทั่วร่างเมื่อรุ้งพรายสบตากับเขานิ่ง แล้วกระตุกมุมปากยกยิ้มชวนสะท้าน

‘บุรุษแลอิตถีที่ริอ่านเดินเข้าไปในเพลิงไฟของรุ้งพราย ดวงวิญญาณของมันผู้นั้นจักแหว่งวิ่น’

ปูรณิมนึกถึงคำกระซิบกระซาบของผู้เฒ่าผู้แก่ ถ้อยคำดึกดำบรรพ์ก่อให้เกิดความคลางแคลง ว่าวิถีชีวิตของชนเผ่านี้เป็นดังคำว่าจริงหรือ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตปูรณิมก็ไม่เห็นว่ามีรุ้งพรายคนใดทุพพลภาพ

“มึงสิพ่อแม่ไม่สั่งสอน! อยู่ดีๆ ก็ปรี่เข้ามาตีปากข้า” เด็กหนุ่มชาวศกุนตะกรีดร้อง ทั้งที่มันเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนแท้ๆ “ท่านเฉลาญ์ รีบเข้ามาจับพวกมันไปเฆี่ยนเร็วเข้า!”

ปูรณิมสูดลมหายใจเข้าปอด เอื้อมมือเปิดฝูงชนเบื้องหน้าออก

สิ่งสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เป็นความคิดของผู้คนที่ห้อมล้อมอยู่ตรงนั้นมากกว่า ต่อให้ปูรณิมว่าไปตามเนื้อผ้า ชี้แจงว่าเด็กหนุ่มเผ่ารุ้งพรายทำไปเพื่อป้องกันตัว อย่างไรเสียชาวศกุนตะย่อมมองว่าเฉลาญ์ผู้นี้เอาใจออกหากเผ่าพันธุ์ตน ไปเข้ารีตผิดธรรมชาติกับพวกวิตถารพิกลพิการ ไม่รู้จักถูกผิด

“มีเรื่องอันใดกัน” เฉลาญ์หนุ่มถาม

“ไม่จำเป็นต้องไต่สวนคนพวกนี้ให้มากความ เอาพวกมันไปเฆี่ยนให้ตายเลยท่านเฉลาญ์” นางแพงพวยที่ยืนปะปนในกลุ่มคนซึ่งเบียดเสียดเอ่ยตอบ ยิ้มหยัน

“เหตุใดต้องเฆี่ยนพวกเขาให้ตาย” ปูรณิมถามต่อ

“ก็พวกมันกล้าทำร้ายชาวศกุนตะ” หญิงคนเดิมพูด

“แต่พวกเตพูดก้ำเกินพวกอัญก่อน!” อินทรธนูที่ยืนรั้งแขนศศินอยู่เป็นคนตอบ เด็กหนุ่มใช้สรรพนามแทนเอ็งกับข้าอย่างชนเผ่า และชาวรุ้งพรายผู้นี้เองที่คอยปรามไม่ให้เกลอเข้าทำร้ายอีกฝ่ายที่เป็นชาวศกุนตะ

ปูรณิมเคลื่อนสายตาไปจับจ้องบุรุษร่างเปรียว คงเพราะมีชีวิตที่ยากลำบาก ทำให้ผิวพรรณและริมฝีปากของอินทรธนูค่อนข้างซีด แต่เครื่องหน้าทั้งหมดบนใบหน้าล้วนงดงาม จมูกโด่งรับกับรูปปากทรงกระจับ สิ่งที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นนัยน์ตาใต้คิ้วเรียวงามคู่นั้น ช่างเป็นดวงตาที่ชุ่มชื้นดุจสายธารสลักได ทอประกายลึกล้ำวาววาม มองแล้วรู้สึกตราตรึงใจนัก

“พูดก้ำเกินอะไรของมึง พวกกูแค่เอ่ยทักทายเท่านั้น มีคำกล่าวใดที่หมิ่นเกียรติพวกมึงกัน ผู้คนตรงนี้ล้วนได้ยินกันทั่ว ถามดูก็รู้ว่าลูกชายของข้าได้ด่าทอพวกมึงฤๅไม่ อยู่ดีๆ มาทำร้ายร่างกายแถมยังกล่าวหากันแบบนี้ สรุปว่าใครรังแกใครกันแน่”

ไอ้โกนดึงตัวลูกชายให้ไปหลบอยู่ด้านหลังตน

“ไอ้พวกตอแหล!” ศศินตะโกน

คราวนี้เด็กหนุ่มยกกำปั้นหมายเหวี่ยงเข้าใส่ปลายคางของไอ้โกน เพราะไม่อาจอดกลั้นต่อคำตลบตะแลงของมันได้อีก

ทว่ากระสังปรี่เข้ามาคว้าข้อมือของบุตรชายเอาไว้ได้ทันท่วงที ก่อนกระซิบข้างหู

“ศศินอย่าวู่วาม ย่านนี้บ่ใช่ถิ่นที่ของหมู่เรา”

“ท่านรองหัวหน้าเผ่า” ปูรณิมหันหน้าไปหากระสัง ตัดสินใจเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

เฉลาญ์หนุ่มสังเกตฐานันดรของกระสังได้จากการนุ่งผ้าโจงทรงโธตีแบบแนบเนื้อมาตั้งแต่เมื่อครู่ ซึ่งการนุ่งเช่นนี้มักมีกฏิสูตร ผ้ายาวคาดเป็นวงโค้งหน้าผ้าทรงอย่างชาวลังกา ห้อยตกทางด้านข้าง และเขารู้ดีว่าบุรุษอย่างกระสังไม่ได้รั้งตำแหน่งหัวหน้าเผ่าอย่างแน่นอน นั่นเพราะรุ้งพรายมิใช่เผ่าชูบุรุษเป็นใหญ่ แต่ให้อำนาจฝ่ายมารดา สืบสายตระกูลทางสตรีเป็นหลัก

ทำนองเดียวกันกับสรุกศกุนตะ หากโปญไม่หันไปนับถือฤๅษีวยาสและคำภีร์พระเวท ว่ากันตามคติและพิธีกรรมกราบไหว้ผีบรรพชนของชาวศกุนตะแล้ว สรุกแห่งนี้คงได้ผู้สืบต่อตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเป็นลำดับถัดไปเป็นสตรี ด้วยยึดมั่นในความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘แม่’ และ ‘เมีย’ นั้นคือ ‘ผู้เป็นใหญ่’

“ในเมื่อมีชาวสรุกตั้งมากมายแต่ไม่มีให้ข้อสรุปในเรื่องนี้ได้ ไม่สู้ให้พระภูตาศะลองไต่สวนดูอีกครั้ง ลางทีท่านอาจได้ข้อสรุปไม่ยากเย็น” ปูรณิมอ้างถึงตำแหน่งผู้คุมกฎการตัดสิน

ฝูงชนที่ยืนมุงดูมากระทั่งเมื่อครู่ เมื่อได้ยินคำว่า ‘พระภูตาศะ’ ต่างก็พากันแตกฮือหนีหายไม่ต่างอะไรกับมดแตกรัง

“ข้าเองก็ไม่อยากเถียงกับคนวิตถารอย่างพวกมึงหรอก ไอ้แงก กลับ!”

ไอ้โกนเห็นท่าไม่ดี สำเหนียกว่าหากมันยังดึงดันต่อไปคงหาเหาใส่หัว จึงกระชากแขนลูกชายวัยสิบหกให้รีบจ้ำ

“ศศิน ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว” ปูรณิมถามเสียงเรียบ

“สิบห้า” หนุ่มเลือดร้อนหรี่ตา “ดูท่าเตเองก็คงมีเรื่องไม่พอใจในตัวอัญอยู่เหมือนกัน”

“แหงละ” ปูรณิมถอนใจ “เติบใหญ่จนป่านนี้ไยไม่เข้าใจว่าเมื่อใดที่ประสบความอยุติธรรม ต่อสู้กับคนหมู่มากไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้รีบหาคนกลาง หากวันนี้ไม่มีข้าเข้าไกล่เกลี่ย งานนี้คงหนีไม่พ้นถูกคนป้ายสี กระทั่งรับโทษทัณฑ์โดยใช่เหตุ”

“ผิดถูกอย่างไรอัญก็ต้องสู้ ต่อให้สู้แล้วพ่ายก็ต้องสู้ อัญคือผู้บริสุทธิ์ ฉะนั้นท้ายที่สุดแล้วความจริงย่อมปรากฏ เพชรแท้จะกลัวไฟหลอมด้วยเหตุใด” ศศินโต้

“แต่กว่าความจริงจะปรากฏอย่างเจ้าว่า ลมหายใจของเจ้าที่รอคอยความยุติธรรมก็ไม่อาจหลงเหลืออยู่อีกไป” สีหน้าปูรณิมยังคงเรียบเฉย

“ฮึ!” ศศินพ่นลมขึ้นจมูก ยกมือกอดอก

“เมื่อเห็นสิ่งไม่ถูกต้อง ก็เทียวปรี่เข้าตีปากผู้อื่นตามท้องถนนไปทั่วเพื่อทวงถามยุติธรรมแบบนี้ ความอาจหาญของเอ็งทำให้เฉลาญ์อย่างข้ายกย่องจากใจ”

เพราะยามพูดสีหน้าของเฉลาญ์หนุ่มไร้อารมณ์ความรู้สึก ศศินจึงเดาไม่ออกว่าประโยคนี้คำชมหรือดูแคลน

กว่าสติของศศินจะกลับคืน อีกฟากหนึ่งของตลาดก็มีคนส่งเสียงดังอย่างข่มขวัญ

“พวกมันอยู่นั่น” โขลญผู้หนึ่งก็ตะโกน ชี้นิ้วมายังเผ่ารุ้งพรายที่ยังหลงเหลืออยู่ในตลาดเพียงสามคน “จับตัวพวกมันกลับไปไต่สวน!”

อินทรธนูยืนตัวสั่น เรียวนิ้วยาวเกาะแขนศศินแน่น

“พวกอัญบ่เคยยุ่มย่ามกับพวกทหาร” กระสังเข้ายืนขวางเบื้องหน้าพวกโขลญ

หัวหน้าหน่วยมองประเมินรองหัวหน้าเผ่ารุ้งพราย ก่อนตอบด้วยท่าทีขึงขัง

“นี่มิใช่เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง แต่เพราะมีคนแจ้งว่าเห็นพวกรุ้งพรายลอบปล้นขบวนบรรณาการของศกุนตะแถวช่องจันทบเพชรต่างหากเล่า!”

แน่นอนว่านั่นคือข้อกล่าวหาที่ไร้ซึ่งหลักฐาน

 



Don`t copy text!