
หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 24 : ข้าวจี่
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
ใต้ต้นมะค่ามีเพียงคนเดียวที่ศศินสามารถเป็นตัวของตัวเองได้รออยู่ เด็กหนุ่มรู้สึกว่ากล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายผ่อนคลายลงเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่าย ศศินรีบไต่ขึ้นเนิน ไปยังพื้นที่ของตนกับอินทรธนู จุดนั้นเป็นเชิงผาซึ่งมองลงไปเห็นที่ราบเบื้องล่าง มีพุ่มว่านเสน่ห์จันทร์แดงขึ้นหนาทึบ ปกป้องเด็กหนุ่มทั้งสองจากสายตาที่พวกมันไม่ต้องการ
ศศินคลี่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นอินทรธนูรออยู่ หลานยายเฒ่าลงผีผู้นี้เองที่ชอบบ่นว่าศศินไม่ใคร่ยิ้มเว้นแต่เมื่ออยู่ในป่า
“คราวก่อนศินรับปากว่าจะนำลูกหมาจิ้งจอกจากป่าเขาไม้คานมาให้อินทร์บ่ใช่ฤๅ หาได้บ่” อินทรธนูถาม หวังว่าการชวนคุยในเรื่องที่ศศินชอบจะทำให้อีกฝ่ายคลายความเศร้าลงไปได้บ้าง
“ขอเวลาอีกสองสามวัน เดี๋ยวศินจะจับมันมาให้”
ตอนนี้อายุของศศินล่วงเข้าสิบสี่ปีเศษแล้ว โครงหน้าจึงเริ่มปรากฏชัดถึงความหล่อเหลาห้าวหาญ เด็กหนุ่มสังเกตเห็นรอยเลือดซึมเปื้อนผ้าพันแผลบริเวณแผ่นหลัง จึงถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บมากไหม”
อินทรธนูส่ายหน้าหวือ “แผลที่หลังบ่เจ็บเท่าใดแล้ว ยาหมอมนตร์ได้ผลชะงัด”
“ยังจักทำอวดเก่ง ถ้าหายดีจริงอย่างปากว่า อย่างนั้นก็เข้าป่าล่าสัตว์กับอัญเสียตอนนี้ จักได้ออกกำลังวังชาไปในตัว ช่วงนี้ยายเฒ่าลงผีบ่ค่อยได้ขึ้นมาพูดคุยส่งข่าว อินทร์ถึงบ่ยอมกินสิ่งใด ถึงได้เก้งก้างดูผอมลู่ลมเช่นนี้”
“ลู่ลมก็บ่เห็นจะเป็นอันใด ว่าแต่ศินเถอะ เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่ เดินไปทางไหนก็มีหนุ่มน้อยสาวใหญ่เหลียวหลังจนคอเคล็ด”
“ยังจะมาย้อน” ศศินแสร้งทำท่าทำทางจะทุบอีกฝ่าย
“ก็มันจริงนี่” อินทรธนูทำปากยื่น
“อินทร์ก็รู้ว่าศินอยากใช้ชีวิตร่วมกับผู้ใดไปจนแก่เฒ่า” ริมฝีปากของศศินยกยิ้มอยู่ตลอดเวลา ขณะนึกถึงธรรมเนียมคู่ชีพิตของเผ่ารุ้งพราย
“จ้า พ่อหนุ่ม เอาไว้ให้อายุครบสิบห้าก่อนเถอะแล้วค่อยมาพูด” อินทรธนูหัวเราะร่วน จากนั้นยื่นปลายนิ้วออกไป
“การเดินทางเข้าสรุกเพื่อส่งส่วยบรรณาการปีนี้มีแต่เรื่องจริงๆ อินทร์คงเจ็บตัวมิน้อย” แววตาของศศินหม่นลง “ไหน ขออัญดูแผลหน่อย’
“ระดับจ่าฝูง บ่มีทางตายง่ายๆ ดอก” อินทรธนูหัวเราะ
“แล้วนั่นกับนั่นคืออันใด” ศศินจิ้มปลายนิ้วลงบนรอยฟกช้ำที่หัวไหลของศศิน ก่อนเคลื่อนมือไปจิ้มอีกรอยซึ่งอยู่บนแผงอก
“อูย…”
“เอาละๆ ศินบ่แกล้งท่านจ่าฝูงแล้ว” ศศินยกลูกศรที่เมื่อครู่มันซ่อนเอาไว้ข้างหลังให้อินทรธนูขณะคลี่ยิ้มกว้าง “ดูซี ศินล่าสิ่งใดมาได้’
ศศินชูข้าวจี่ก้อนหนึ่งซึ่งเสียบติดอยู่ปลายศร มันไม่ใช่ข้าวจี่โรยเกลือสินเธาว์ธรรมดา ทว่าเป็นแบบชุบไข่ที่ขายกันอยู่ในตลาดด้านล่าง
อินทรธนูคว้าลูกธนูที่วนเวียนอยู่ปลายจมูก ดึงข้าวจี่ออก แล้วสูดกลิ่นหอมซึ่งทำให้น้ำลายสอ ข้าวจี่เหลืองกรอบยัดไส้น้ำตาลอ้อยนับเป็นอาหารชั้นเลิศมีไว้สำหรับโอกาสพิเศษเท่านั้น
“โอ ยังอุ่นๆ อยู่เลย”
“ลองชิมดูซี”
“ขอเดาว่าศินเพิ่งนั่งจี่มาใช่ไหม แต่สำหรับน้ำตาลอ้อยนี่น่าจะหมดไปบ่ใช่น้อย” อินทรธนูกัดข้าวเหนียวกรอบนอกนุ่มในเข้าไปคำใหญ่
“แค่กระรอกตัวเดียวเท่านั้น บ่รู้เมื่อเช้าตาเฒ่าเจ้าของแผงนึกครึ้มอกครึ้มใจสิ่งใดขึ้นมา” ศศินหยิบขนมออกจากถุงเยียรบับ “เมื่อเช้าข้ายังแอบขโมยของพวกศกุนตะมาอีกชิ้นหนึ่ง”
อินทรธนูอดขำไม่ได้ เมื่อได้ยินสรรพนามสำเนียงชาวสรุกศกุนตะแสนดัดจริต ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ฟังตลกไปหมด
ศศินเฝ้ามองอินทรธนูค่อยๆ แกะห่อใบตองออก ก่อนใช้ปลายนิ้วตัดแบ่งมะขามกวน
เส้นผมของอินทรธนูเหยียดตรง ผิวสีน้ำผึ้งอ่อน ภายใต้สีรุ้งที่เคลือบอยู่บนนัยน์ตาของเด็กหนุ่มทั้งสองนั้นเป็นสีนิลเช่นเดียวกัน ทว่าลักษณะร่วมที่เด็กหนุ่มทั้งสองมีเหมือนกันแต่ครอบครัวของศศินกับอินทรธนูกลับไม่ได้เกี่ยวดอง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ญาติ
ชนเผ่าเร่ร่อนแถวตะเข็บชายแดนส่วนใหญ่ล้วนมีอะไรบางอย่างเหมือนกันเช่นนี้เอง
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมชาวรุ้งพรายจึงดูแปลกที่แปลกถิ่นอยู่เสมอ และต้องคอยจัดหาของป่าให้แก่ประดาโขลญชายแดนเป็นครั้งคราว เพื่อพวกมันจะได้อยู่อย่างสุขสงบไปได้บ้าง
ทันทีที่อินทรธนูหยิบมะขามกวนเข้าปาก รสเปรี้ยวอมหวานก็แผ่ซ่านทั่วลิ้นทันที
“มานั่งข้างอินทร์ซี” ศศินประคองอินทรธนูให้ค่อยๆ หย่อนกายลงบนพื้นหิน ก่อนที่ตนจะทรุดกายนั่งลงข้างกัน
หลังพิธีฝังศพบิดา ศศินมักปลีกตัวมานั่งจมจ่อมอยู่ในห้วงภวังค์หลังพุ่มว่านเสน่ห์จันทร์แดงพุ่มนี้ทุกวัน
สายลมโชยอ่อนเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของหน้าร้อน มีพืชผักเขียวชอุ่มให้เก็บกิน มีหัวพืชให้ขุดหา เหล่ามัจฉาแหวกว่ายในลำธารสะท้อนสีสันวาววับเหลือบรุ้งกลางแสงแดด ทุกสิ่งอย่างช่างสมบูรณ์พร้อม ด้วยสิ่งที่เด็กชายโปรดปรานมากที่สุดคือการได้ออกไปเที่ยวท่องตามภูเขากับศศินทั้งวัน ล่าสัตว์พอให้เป็นอาหารแค่หนึ่งมื้อ
“ศินว่าเราน่าจะใช้ชีวิตไปจนแก่เฒ่าได้นะ อินทร์รู้ไหม” ศศินงึมงำเสียงค่อย
“อย่างไร” อินทรธนูยกหัวคิ้ว
“ก็ไปอยู่ในป่าลึกอย่างไรเล่า หนีให้พ้นจากที่นี่ ศินกับอินทร์ เราใช้ชีวิตกันสองคนได้อยู่แล้ว” ศศินว่า
อินทรธนูไม่รู้จะตอบอย่างไรดี คำพูดนั้นชวนฝันเหลือเกิน
“ลูกของเราก็บ่ได้เยอะสักหน่อย” ศศินเสริม
“ไอ้ด่างนี่น่ะฤๅ” อินทรธนูหัวเราะ จากนั้นเอื้อมมือไปลูบหัวสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลปนเทาที่เดินตามศศินมา “เดี๋ยวนี้ทำตัวเป็นมะม่วงต้องแดดบ่อยไปแล้วนะพ่อหนุ่มจ่าฝูง”
“ศินบ่ได้แก่แดดสักหน่อย”
“ถ้าอยากมีลูก ศินคงบ่มีปัญหาในการหาสาวสักคนดอก หน้าตาก็หล่อเหลา แข็งแรง แถมยังล่าสัตว์เก่งอีกต่างหาก”
แม้อินทรธนูเป็นคนพูดออกมาเอง แต่คำพูดเหล่านั้นกลับทำให้เด็กชายรู้สึกหวงเพื่อนคู่หมั้นคู่หมายผู้นี้อยู่ไม่น้อย
“หึง?” ศศินรู้ทัน
“บ่ใช่หวงในแง่คู่ชีพิตดอก แค่คู่หูล่าสัตว์ฝีมือดีน่ะหากยากจะตายไป” อินทรธนูขยับริมฝีปากหมุบหมิบ
“ว่ากระไรนะ”
“เปล่า”
“ศินบ่ได้ชอบผู้หญิงสักหน่อย”
“รู้แล้วๆ” อินทรธนูเปลี่ยนเรื่อง แก้มยังคงแดงเรื่อ “ตอนนี้ศินอยากทำสิ่งใดไหม”
“ไปหาสมุนไพรให้ยายเฒ่ากัน”
ชาวรุ้งพรายส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาไปอโรคยศาล ฉะนั้นนักปรุงยาอย่างยายเฒ่าลงผีจึงเป็นเสมือนฤๅษีสำหรับชนเผ่า ทุกครั้งที่พวกเขาออกไปล่าสัตว์ จึงถือโอกาสเก็บสมุนไพรมาให้ยายเฒ่าลงผีปรุงเป็นยารักษาโรค
“หากยังไม่มืดจนเกินไปนัก ขากลับจะได้แบ่งบางส่วนไปแลกเกลือที่คอกร้างข้างล่างตรงตีนเขา” อินทรธนูเสริม
ครั้งหนึ่งพวกศกุนตะเคยใช้คอกร้างเก็บหินดำ หินทราย แร่สีน้ำตาลใช้สำหรับเจียระไนเป็นเครื่องประดับ และแร่โป่งข่าม ยามนี้ทางการไม่ได้ใช้คอกนั้นอีกต่อไป มันจึงกลายเป็นตลาดมืดไม่เสียส่วย เด็กหนุ่มสามารถนำสมุนไพรจากป่าลึกไปแลกขี้ผึ้งกับเกลือสินเธาว์ได้ไม่ยาก บางครั้งก็ขายแลกเป็นเหรียญศรีวัตสะ
แน่นอนว่า ‘ความหิว’ ของพวกโขลญชายแดนทำให้ตลาดมืดแห่งนี้อยู่รอดปลอดภัยมาได้ชั่วนาตาปี
ตอนนั้นเองหูแหลมๆ ของไอ้ด่างก็ตั้งขึ้น มันแหงนหน้ามองตรงไปยังกระจุกกระท่อมของชาวรุ้งพราย
“ไอ้ด่าง เตเป็นอันใด”
ยังไม่ทันสิ้นคำศศิน กัมปนาการก็มาพร้อมๆ กับเสียงกัมปนาทสะท้อนสะเทือนเลื่อนลั่น
ตูม!
ทั้งคนและสุนัขต่างสะดุ้งเฮือก
ดินดำระเบิดดังสนั่นตามด้วยกลิ่นกำมะถัน
ศศินรู้ที่มาของกลิ่นดี ด้วยการผสมดินชนิดนี้ยึดตามภูมิปัญญาชาวรุ้งพรายที่ว่า ‘ดังดิน กินสุพัน (1) ควันถ่าน’ อันหมายถึงสูตรผสมดินห้า ถ่านหนึ่ง สุพันครึ่งถ่าน นำมาต้มรวมกัน ตำให้ละเอียด จากนั้นนำไปผึ่งแดดให้แห้ง
เด็กหนุ่มมองหน้าศศิน ก่อนห้อตะบึงย้อนกลับไปยังกระท่อมโดยไม่ต้องเอ่ยคำ
เชิงอรรถ :
(1) สุพรรณถัน ธาตุสีเหลือง ติดไฟง่าย กลิ่นเหม็นฉุน ใช้ทำยาและดินดำ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 24 : ข้าวจี่
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 23 : มล้าง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 22 : สุดสวาสดิ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 21 : สมิง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 20 : พาโลโสเก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 19 : ส่วย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 18 : ภูเตศวร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 17 : ศาลิครามศิลา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 16 : โหมกูณฑ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 15 : ความหวัง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 14 : เชื้อไข้
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 13 : รุ้งพราย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 12 : พรานโจร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ