หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 30 : คาหกาบาต

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 30 : คาหกาบาต

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

ศศินเงยหน้ามองคาหกาบาตสีแดงกลมโตเท่าผลมะพร้าว ก่อนก้าวขาลงไปในบาราย พลันของเหลวใสเย็นไร้ช่องว่างก็โอบรัดร่างกำยำจากทุกสารทิศ ประหนึ่งชายหนุ่มหลุดเข้าไปในโพรงลึกปิดตาย

โบราณว่าไว้ว่านั่นคือรอยเลื้อยของอสรพิษบนเมืองสรวง

ชายหนุ่มปล่อยร่างให้จมลงที่ก้นบึ้ง ทุกชั่วขณะของเพลาที่เคลื่อนผ่าน ชายหนุ่มก็เริ่มหายใจไม่ออก ตามด้วยความทรมาน รู้สึกถูกพละกำลังที่มองไม่เห็นกดทับอย่างหนักที่ทรวงอก ไม่ต่างกับความทรงจำเกี่ยวกับอินทรธนูที่มันอยากสลัดทิ้ง แต่ไม่อาจลบล้างออกไปได้ สายตาและรอยยิ้มของอินทรธนูตามติดเคียงเคล้าไม่ห่าง ยิ่งชั่วยามผันผ่าน ยิ่งกดทับแนบแน่น

กาลผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ ร่างสูงก็โผล่พรวดขึ้นจากน้ำ หายใจหอบ

มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบ ทั้งที่ใบหน้าของมันทั้งซีดเซียวและอ่อนล้า การกลั้นลมหายใจใต้ผิวน้ำเหมือนเป็นการทรมานตนเอง แววตาฉายความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ทว่าหลังทนทรมานสังขารพักใหญ่ ศศินก็สามารถทำสมาธิใต้น้ำในบารายนานขึ้นเรื่อยๆ

และครั้งนี้ ภาพที่ศศินเดินจากไปทำให้แขนขาของมันไร้เรี่ยวแรง แม้ว่ามันได้พยายามต่อต้านสักเท่าไรก็ตาม

ศศินต้องกำจัดจุดอ่อนนี้ให้จงได้

จุดอ่อนที่อาจเปิดช่องให้อินทรธนูเล่นงานมันถึงตาย

คราวนี้ชายหนุ่มสำลักน้ำคำโตจนโพรงจมูกและลำคอแสบร้อนรุนแรง ทันใดนั้นสายตาก็เคลื่อนไปหยุดอยู่ที่ภาพความทรงจำในอดีตที่กำลังสั่นไหวเหนือผิวน้ำ

ทุกฉากของชีวิตพรั่งพรูในชั่วพริบตา

ศศินมองเห็นผืนนภาในค่ำคืนที่มืดสนิท ทิวเขาภนุมฎองแรกเงียบสงัดดุจกำลังจำศีล

หลังพิธีไหว้ผีและผูกข้อมือในงานหมั้นหมายคู่ชีพิต ศศินพาอินทรธนูขึ้นไปยังเชิงผา นั่งคลอเคลียหลังพุ่มว่านเสน่ห์จันทร์แดงด้วยอารมณ์หวิวไหว

ร่างสูงก้มหน้าลงมองดวงตาสวยงามและลึกล้ำของอินทรธนูที่สะท้อนเงาของศศินอยู่ในนั้น ก่อนยื่นหน้าลงจุมพิตริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วง

ขณะที่ร่างอินทรธนูกำลังสั่นสะท้าน ศศินถือโอกาสรวบเอวร่างโปร่งไว้ แล้วบดริมฝีปากจนแนบสนิท ท่วงท่าเก้งก้างราวลูกหมาป่าเพิ่งหัดเดิน

กลิ่นอายที่เคยคุ้นแผ่ซ่านระหว่างริมฝีปากกับปลายลิ้นทันที

ความรู้สึกมากมายที่อัดอั้นในใจของอินทรธนูได้ปะทุออกมา ทั้งความปรารถนา ความหวานชื่น และความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนต่างผสมปนเป

‘นับแต่กษณะนี้ บ่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เราสองจักรักษาคำมั่น’

นัยน์ตาใสของศศินทำให้อินทรธนูไม่กล้าจ้องกลับตรงๆ ‘แน่ใจแล้ว?’

‘ไหว้ผีผูกข้อต่อแขนถึงเพียงนี้ ยังบ่แน่ใจได้ฤๅ’ ศศินยกข้อมือที่มีเส้นฝ้ายดิบย้อมขมิ้นผูกเต็มขึ้นให้อีกฝ่ายดู ‘เดิมทีเกิดเป็นคนในเผ่ารุ้งพรายก็ตัวสั่นงันงกแล้ว ผู้คนบนโลกนี้ต่างปฏิเสธบ่ยอมรับ ทว่านับแต่บัดนี้อัญมีเตอยู่เคียงข้าง อัญก็บ่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้นแล้ว บ่กลัวแม้กระทั่งความตาย’

คำพูดของศศินมีนัยลึกซึ้งในตัวเอง เล่นเอาขอบตาอินทรธนูเปียกชื้น

วันนี้เด็กหนุ่มทั้งสองได้มอบกายและใจให้แก่กัน และยังเตรียมใจแล้วว่าแม้วันข้างหน้าความรักของพวกมันอาจถูกผู้อื่นกระทำย่ำยีจนแหลกเหลว แต่ศศินกับอินทรธนูจะไม่มีทางถอยเด็ดขาด

การสมรสด้วยรักแท้ย่อมทำลายได้แม้แต่กำแพงหนาหนักแห่งอคติ

‘ศิน จากนี้ไป…เราสองคนค่อยๆ อยู่ร่วมกัน ใช้ชีวิตทุกวันให้ดี อัญจักมีเพียงเตเท่านั้น’ อินทรธนูงึมงำ จ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาคู่ชีพิต

น้ำเสียงศศินแหบต่ำ ‘อินทร์…’

เพลานี้ดวงตาดำขลับสะท้อนความละล้าละลัง แต่กระนั้นกลับไม่ใช่แววตาของเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสาอีกต่อไป เป็นแววตาเด็กหนุ่มที่เปี่ยมด้วยความสุขและแรงขับจากดำฤษณา

หลังไล้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งป่าชโลมลูบช่องทาง การเคลื่อนไหวนุ่มนวลของศศินแปรเปลี่ยนเป็นความดุดัน เต็มไปด้วยพละกำลัง กระทั่งบางครั้งอินทรธนูยังรู้สึกว่าเด็กหนุ่มกระทำการรุนแรงเกินไป

ทุกครั้งที่ร่างโปร่งพยายามผลักอีกฝ่ายออก กลับถูกศศินเกี่ยวเอวไว้ทุกคราไป

‘เดี๋ยวนี้ชักดื้อใหญ่ ตั้งใจขบถฤๅไร’ อินทรธนูเอ่ยคำของพวกศกุนตะที่มักใช้ด่าว่าเผ่ารุ้งพราย

‘ใช่’ ศศินยิ้ม ‘อัญจักตั้งตนเป็นขบถ’

อินทรธนูกะพริบตา เหงื่อหยดหนึ่งค่อยๆ ไหลจากแก้มบนใบหน้าคมสันตกลงสู่พื้นหิน ขณะที่ศศินก้มหน้าลงจนหน้าผากแตะหน้าผาก เอ่ยเสียงพร่า

‘จากนี้ไปเตเป็นของอัญ บ่ว่าผู้ใดหน้าไหนก็บ่อาจแตะต้องได้…เว้นแต่อัญผู้เดียวเท่านั้น’

ถ้อยคำกะเล่อกะล่าและดึงดันอย่างบุรุษวัยกำดัด ทำให้อินทรธนูวาบหวามใจ จนอดยกมือลูบหน้าอีกฝ่ายไม่ได้

‘จากนี้ไปหากเตเผลอใจให้ผู้อื่นแม้กระผีกเดียว อัญจักจับเตมาตอนบ่ให้ใช้งานได้อีกด้วยมือของอัญเอง’

‘บ่มีทาง บ่มีทางแน่นอน’ ศศินยิ้มกว้าง ‘ใจของอัญจักตามติดเตมิเลือนหาย’

ใบหน้าที่พราวไปด้วยเหงื่อเม็ดละเอียดของอินทรธนูประดับด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศอวลฟุ้งด้วยไอรักดูดดื่มล้ำลึกและความเร่าร้อน

จู่ๆ ผิวน้ำเบื้องหน้าก็กระเพื่อมไหวรุนแรง ริ้วคลื่นมาพร้อมกับภาพเด็กหนุ่มที่นั่งเหม่อลอยภายในถ้ำหลังม่านน้ำตก ศศินเพิ่งหักคองูที่พยายามจะม้วนรัดตัวมันแล้วกัดกินทีละน้อย ความทรงจำน่าสมเพชเวทนาถูกกระชากขึ้นมาใหม่

“เดียรัจฉานเช่นกัน ย่อมเห็นลิ้นไก่ของกันแลกัน”

ชายหนุ่มได้ยินเสียงหายใจของตน ราวกับมัจฉาโง่งมที่เผลอกระโดดออกจากบารายก่อนดิ้นกระแด่วพยายามสูดอากาศอยู่บนบกอย่างน่าสงสาร ลมหายใจนั้นมาพร้อมกับความหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างเข้มข้นในหัวใจ

เพลานั้นไม่มีอ้อมแขนอบอุ่นของอินทรธนู

ไม่มีลมหายใจอ่อนละมุนเป่ารดข้างหู

ไม่มีรอยจุมพิตด้วยรักใคร่อีกต่อไป

ภาพเหล่านี้ผุดชัดในห้วงภวังค์ รุนแรงราวกับเพลิงไฟที่ล้นทะลักจากปากล่องวนํรุง ยากที่จะหยุดหรือสลัดทิ้ง

“ศศิน!”

“ศศิน!”

เสียงร้องเรียกสองครั้งดังขึ้นข้างหู

ศศินสะดุ้งเฮือก เห็นเฉลาญ์ตุ่นอยู่ตรงหน้า มันคงลากร่างศศินขึ้นมานอนเหม่อข้างบาราย ร่างสูงกะพริบตาสองสามครั้งก่อนลูบใบหน้าตน ปรากฏว่าปลายนิ้วแตะโดนหยาดน้ำตาทั้งสองข้าง

ชายหนุ่มยันกายท่อนบนขึ้นด้วยความสับสน แหงนมองท้องฟ้ายามโพล้เพล้แวบหนึ่ง หมู่เมฆฟูฟ่องลอยเอื่อย ดวงสุริยะโผล่จากเส้นขอบฟ้าทิศตะวันตกเป็นวงกระจิริด ทอเฉดย้อมผืนนภาไล่จากชมพูไปจนถึงแดงก่ำ

เมื่อไอ้ตุ่นเห็นบุรุษผู้เย็นชาหลั่งน้ำตาจึงกุลีกุจอเข้ามาช่วยประคอง ศศินกลับยกมือข้างหนึ่งเป็นเชิงปราม ได้ยินเสียงแหบพร่าของตัวเอง “มีเรื่องอันใด”

“ข้าปลดปล่อยมหาเสนาปติจากป้อมแดงเรียบร้อยแล้ว”

บังเกิดสายลมวังเวงชวนขนลุกขึ้นชั่วอึดใจ เหลือเพียงเสียงงูเลื้อยสวบสาบในพงหญ้าเคล้าโสตชายหนุ่มทั้งสอง

“มันคงหวังขรรค์พระพายช่วยก่อปาฏิหาริย์ นำพาให้มันหวนคืนสู่อำนาจกระมัง”

“เป็นอย่างเอ็งว่าจริงๆ” ไอ้ตุ่นยืนยัน

ที่ผ่านมาเฉลาญ์หนุ่มไม่เคยปฏิเสธคำพูดศศิน วีรบุรุษผู้เกิดมามีวิถีแบบชาวรุ้งพรายอย่างมัน ไอ้ตุ่นรู้ดีว่าศศินถูกปฏิเสธจากคนอื่นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วในชีวิต และเป็นมนุษย์ที่เศร้าโศกที่สุดนับแต่มันจำความได้

ความโศกาของเผ่ารุ้งพรายเป็นความอัปยศของเผ่าศกุนตะ เฉลาญ์ตุ่นคิด

ไม่เพียงแต่ไอ้ตุ่นที่มีใจชอบพอในตัวบุรุษ ชาวสรุกที่รักเพศเดียวกัน คนที่เป็นหมัน คนที่ไม่อยากมีลูก และคนที่ไม่อยากออกเรือน ล้วนถูกผลักออกไปให้ไปอยู่ท้ายแถวของศกุนตะ

ความเชื่อฝังหัวเข้มข้นว่าผู้ชายต้องเป็นทหารและผู้หญิงต้องอยู่บ้านอุ้มท้องผลิตลูกนั้น ได้พรากเสียงหัวเราะไปจากชาวศกุนตะหลายคนเสียแล้ว

นอกจากเป็นพวกติดไข้ลักเพศแล้ว คนอย่างไอ้ตุ่นยังเป็นตัวตลกแสนเศร้าอีกด้วย

ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้หาญป่วย มันป่วยถึงขั้นเอาความบ้าของตนไปฝังหัวชาวสรุก มันเหยาะยาพิษแห่งความเกลียดชังลงไปในความโฉดเฉาชาวศกุนตะ

“ยิ่งกว่านั้นมันยังเผลอหลุดปากว่าฝันร้าย” เฉลาญ์หนุ่มเล่า “มันฝันถึงงู ฝูงงูกำลังกลุ้มรุมกัดกินเนื้อหนังของมัน”

“คางคกจอมฮึกห้าวที่ออกจะหลงตัวเองยามพองลม หารู้ไม่ว่าอายุไขของมันมันจักสั้นลงทุกครั้งที่เบ่งร่าง”

“สำบัดสำนวนเหลือเกิน” เฉลาญ์ตุ่นยิ้ม ยื่นผ้าโธตีสีขาวยกดอกดำให้ร่างสูงได้ผลัดเปลี่ยน

“เอ่ยแล้วกลับรู้สึกขมปร่าอยู่ในปาก”

“ว่าแต่เมื่อครู่ เหตุใดเอ็งถึงได้…”

“สมาธิฟุ้งซ่าน เลยเผลออยู่ใต้น้ำนานไปหน่อย” ศศินกดปลายนิ้วนวดคลึงจุดกึ่งกลางหว่างคิ้ว “ก่อนหน้าข้าได้ตัดขาดจากคนสำคัญผู้หนึ่ง ยามนี้ข้าชักอยากทำอย่างนั้นกับเอ็งเช่นกัน”

“ตัดข้าแล้วอย่ามานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งเหมือนเมื่อครู่ก็แล้วกัน” ไอ้ตุ่นเย้า

“สายลมพัดมาแล้วก็ไป คำสัญญาและความรู้สึกของคนคงมิต่างกันเท่าใดนัก”

“ที่แท้ก็เรื่องอินทรธนูกับปูรณิม” เฉลาญ์หัวเราะไม่เต็มเสียง ออกจะอักอ่วนไม่น้อย แสดงว่ามันรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นอย่างดี

“เหตุใดเอ็งละเว้น มิเคยเล่าเรื่องราวของพวกมันสองคน” ร่างสูงเอ่ยเชิงตำหนิ

“จริงอยู่ที่ปูรณิมบ่งความรู้สึกชัดแจ้ง แต่อินทรธนูนั้นเอาแต่ถอยห่าง” สีหน้าของไอ้ตุ่นหมองลง

“เมื่อได้คลุกคลีกับพวกศกุนตะ เผ่ารุ้งพรายล้วนแล้วแต่เป็นบ้า” ศศินฮึดฮัดที่มันแตะต้องอินทรธนูไม่ได้ ยังก่อน ต่อให้มันอยากทำสักแค่ไหนก็ตามที “แต่ก็อย่างว่า หนทางของข้ามันโหดเหี้ยมเกินกว่าผู้ใดจักเดินเคียงข้าง”

“อย่างน้อยก็มีข้า บานเมือง และยายเฒ่าลงผี”

“ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน” ศศินถอนใจขณะยื่นมือออกไปรับน้ำเมาจากเฉลาญ์หนุ่ม “ยิ่งแม่บานเมืองด้วยแล้ว ยิ่งสติวิปลาส”

“เอ็งหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับนายจำกอบ?”

“ผลจากสตรีถูกกดขี่ด้วยความรุนแรง บีบบีฑาให้ยิมยอมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของบุรุษ” ร่างสูงตอบพร้อมแกว่งสาโทให้หมุนวนอยู่ในกุนติกา “แลข้าเองก็มีแววว่าตนกำลังจะกลายเป็นหมาบ้าพาลกระแชงเป็นรายต่อไป”

“อำนาจเป็นสิ่งพันลึกยากจินตนาการ”

ศศินพ่นลมขึ้นจมูกด้วยความขบขัน ก่อนบอกเล่านิทานก้อม “ทหาร สตรี ผีรักเพศเดียวกัน…ผู้ใดจักอยู่ ผู้ใดจักตาย ชาตาจักเข้าข้างใครในสนามรบ ล้วนเป็นปริศนาที่ไร้คำตอบ”

“ฤๅมีความเป็นไปได้เกินคณานับ”

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัญญาแลหน้าไม้”

“แต่ยามนี้ไอ้หาญไม่มีสิ่งใดเลย” เฉลาญ์ตุ่นพูด “ไร้ทั้งอำนาจ เหรียญเงิน มิหนำซ้ำยังมิแน่ว่าเหล่าเทวตาจักเข้าข้างมัน เพียงขรรค์พระพายคร่ำคร่าจักใช้ประโยชน์อันใดได้”

“เหล็กกล้าคร่ำคร่าที่เอ็งว่าคืออำนาจแห่งชีวิตแลความตาย”

“นั่นหมายความว่าขรรค์เล่มนั้นคืออำนาจที่แท้จริง” เฉลาญ์หนุ่มยกหัวคิ้ว

ศศินยิ้มเย็น “ปราชญ์กล่าวว่าความรู้คืออำนาจ ยายเฒ่าลงผีบอกว่าอำนาจทั้งมวลมาจากผีป่าผีขุนเขา บางคราวข้าได้ยินว่าอำนาจได้จากการตรากฎ ทว่านายจำกอบผู้เคยมีอำนาจล้นฟ้ากลับพบจุดจบอย่างน่าอเนจอนาถ โขลญผู้เยาว์หลบลี้หนีหายจากสรุก เอ็งคิดว่าผู้อยู่ตำแหน่งสูงสุดเช่นนั้นมีอำนาจเหนือกว่าข้าทาสฤๅไม่ เอ็งคิดว่าสิ่งใดเป็นผู้ฆ่านายจำกอบที่แท้จริง บานเมืองผู้ออกคำสั่ง สิคาลผู้ลงมือ ฤๅเป็นเหตุอื่น…”

ไอ้ตุ่นเอียงศีรษะ หัวคิ้วขมวดมุ่นยุ่งเหยิง “นี่เอ็งอยากเล่านิทานก้อมสนุกๆ ฤๅจงใจให้ข้าไขปริศนาน่าปวดหัว”

“อำนาจแฝงอยู่ในความเชื่ออย่างแน่นแฟ้น มิมากมิน้อยไปกว่านั้น” ศศินยกน้ำเมาขึ้นซดจนเหือดกุนติกา

“พูดอย่างกับอำนาจเป็นภาพลวง ไม่ต่างกับเหล่านาฏกะร่ายรำสักการะวนํรุงเพื่อขอพลังในรูปแบบของพร”

“เงาวูบไหวของนางอัปสร” ศศินกระซิบ “เงาอ่อนช้อยสามารถล่อลวงให้ตายใจ ก่อนลงมือปลิดชีวิตคนโง่งม”

“และบ่อยครั้งที่แม้แต่เงาของบุรุษผู้เดียวก็สามารถทอดตัวยาวเฟื้อยได้ขนาดมหึมา”

แววตาของร่างสูงอ่อนลง “ข้าดีใจที่มีเกลอรู้ใจเช่นเอ็ง ไอ้ตุ่น”

“ข้าจะถือว่านั่นคือคำชม”

ศศินสรวลเสียงต่ำ “อีกมิกี่อึดใจ คำทำนายจากดาวตกสีเลือดจักเป็นจริง เคราะห์ร้ายแลหายนะจักตกไปสู่ไอ้หาญอย่างสาสม”

ทั้งสองยืนจ้องท้องฟ้ายามอัสดงอยู่นาน

ขณะดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลับเส้นขอบฟ้า ปิศาจหนุ่มกำลังนึกสงสัยว่ายามนี้ไอ้หาญจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อมันรู้ว่าหน่วยสมิงที่แสนภักดีถูกฆ่าตายไปจนเหี้ยนอย่างนั้น

นั่นคือสาเหตุหลักที่มันตัดสินใจช่วยให้ไอ้หาญได้รับอิสระ

เพราะการฆ่าคนที่ติดอยู่ในโซ่ตรวนมันจะสนุกได้อย่างไร

 



Don`t copy text!