หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 35 : ปม

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 35 : ปม

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

‘น่าเวทนาเหลือเกิน’ สตรีสูงวัยเอ่ยพลางนวดบีบฝ่ามือบานเมืองที่นอนหมดสติอยู่บนแคร่ หยาดน้ำใสพลันเอ่อท้นขอบตาหญิงสูงวัย นางจึงรีบป้ายมันทิ้ง

‘นี่แม่กินยาที่ยายเฒ่าจัดให้บ้างฤๅไม่ เหตุใดไข้กำเริบขึ้นมาอีกแล้ว’ ปูรณิมตกใจ เพราะเมื่อครู่มันนึกว่ามารดาเสแสร้งแกล้งทำ

‘อาการหวาดหวั่นของแม่เอ็งไม่ได้เกิดจากการขาดถนำทึกที่ข้าปรุง แต่เป็นเพราะสิ่งที่เอ็งถือติดมือกลับเรือนมาด้วยต่างหากเล่า’

ยายเฒ่าลงผีเคลื่อนเข้าไปใกล้จนชายหนุ่มได้กลิ่นลมหายใจเหม็นเปรี้ยวของหญิงชรา ก่อนผินหน้าไปหาบานเมือง เอื้อมเรียวนิ้วผอมแห้งไปบีบมือของบานเมืองที่เย็นเฉียบ หวังว่าอีกฝ่ายจะได้สติโดยเร็ว

‘หมายความว่าแม่กับยายเฒ่ารู้ว่าโถใบนี้เป็นของใคร?’ ชายหนุ่มเห็นสีหน้าของหญิงชรา รู้ได้ทันทีว่าการปริปากบอกเล่าอย่างไม่เต็มใจกำลังจะตามมา

‘สิ่งที่เอ็งกำลังร้องขอนั้นมากเหลือเกิน’ ยายเฒ่าลงผีตอบ ก่อนทอดสายตามองแสงไฟวับแวบจากบ้านเรือนของชาวสรุกในความมืด ‘เอ็งรู้จัก ‘ปม’ ไหม’

บานเมืองเริ่มครางงึมงำ เปลือกตายังคงปิดสนิท

‘ปม?’ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

‘ปมคือความคิด กลุ่มก้อนของภวังค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีลักษณะไม่ลงรอยกับแนวคิดดีงามอื่นๆ มันจึงถูกเก็บงำไว้บางส่วนฤๅทั้งหมดในส่วนของจิตไร้สำนึก’

‘จิตใจมนุษย์ล้วนมีแต่ความดิบเถื่อน’ ปูรณิมเผลอออกแรงกำหมัดแน่น

หญิงสูงวัยเงียบไปอึดใจหนึ่ง เพื่อรอให้ชายหนุ่มซับสิ่งที่นางพูดให้ทั่วทั้งหัวใจ

‘เขตแดนใดบุรุษเป็นใหญ่ค้ำหัวสตรี ใช้อำนาจข่มขู่ทำร้าย สถานที่แห่งนั้นย่อมเต็มไปด้วยความคั่งแค้นชิงชัง…พอเรื่องแม่ของเอ็งกับนางเดือนแดง ตาของเอ็งก็ดื่มน้ำเมาหนักมาก…’

ยายเฒ่าลงผีเว้นจังหวะ จากนั้นโยกตัวไปมา รู้สึกถึงน้ำตาร้อนผ่าวที่กำลังไหล ริมฝีปากเหี่ยวย่นขยับขมุบขมิบ

‘ยามนั้นบานเมืองยังเด็กเกินไป ร่างกายผอมแห้งแรงน้อย จึงได้แต่ทนมือทนตีนแลพฤติกรรมป่าเถื่อนของประโคน แม่ของเอ็งมิอาจลงมือกระทำสิ่งใดได้ ทำได้เพียงสั่งสมความเกลียดชังไว้ในใจเงียบๆ’

หัวไหล่ผ่ายผอมของหญิงชราสั่นสะท้าน

‘ทั้งสาโทของนางเม่า แลยาดองสูตรเด็ดของไอ้เหลี่ยม ประโคนก็เหมือนผู้ชายคนอื่นในสรุกศกุนตะ เมาทีไรเป็นได้ลงไม้ลงมือกับแม่ของเอ็ง มันย่างสามขุมเข้าไปหาแล้วด่าทอ ขว้างปาข้าวของที่อยู่ใกล้มือ ไม่เว้นแม้แต่ตั่งโต๊ะ ใช่แล้ว มันทุบตีบานเมืองเช่นเดียวกับนางบัวถัน…”

‘ตาประโคนน่ะฤๅ’ ปูรณิมเลิกคิ้ว

ทั้งหมดนี้มารดาไม่เคยเล่าให้มันฟัง บานเมืองเป็นคนไม่ค่อยพูด อย่างน้อยก็ไม่เคยปริปากเรื่องเหล่านี้ บานเมืองรับหน้าที่นั้นมาตลอด เพราะมันคือบทบาทของสตรี

ชายหนุ่มไพล่นึกถึงสายตาของมารดาที่สัมผัสตนแวบหนึ่งก่อนหมดสติ เพียงวูบเดียวเท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้ชายหนุ่มตระหนักว่าในร่างสตรีผู้งดงามนั้นยังหลงเหลือเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่ยังไม่วิปลาสอยู่

‘รอยร้าวบนผิวเครื่องเคลือบดินขาวบริสุทธิ์ของพ่อช่างน่าขยะแขยง…’ บานเมืองงึมงำ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเชื่องช้า

‘แม่เป็นอย่างไรบ้าง ยังปวดหัวเหมือนเดิมฤาไม่’ ปูรณิมรีบเข้าไปช่วยประคองให้มารดาลุกขึ้นนั่ง

บานเมืองส่ายหน้า แล้วเคลื่อนความสนใจไปยังรอยขูดบนโถเครื่องเคลือบที่แตกกระจายอยู่บนพื้น มันทำให้นางรู้สึกเหมือนมีกิ้งกือเย็นเยียบกำลังคืบเคลื่อนขึ้นมาบนต้นคอของนางอย่างเงียบงัน

บานเมืองเงยหน้ามองลูกชายด้วยแววตาที่เลื่อนลอย

ภาพความน่ากลัว ความสับสน และความเจ็บปวดบดเบียดอยู่ใต้ผิวหนัง ความจริงที่อยู่เบื้องหลังการตายของนายจำกอบกำลังตะเกียกตะกายให้ถูกปลดปล่อย

‘โถใบนี้เป็นของตาประโคนอย่างที่ข้าคิดใช่ไหม’

สิ่งที่เฉลาญ์หนุ่มทำได้ในเวลานี้คือค่อยๆ ตะล่อมทีละน้อย ปล่อยให้อีกฝ่ายไหลล่องไปตามน้ำ ทำให้มารดาเชื่อใจและเต็มใจบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาเอง

ความจริงมักเผยออกมาท่ามกลางความเงียบ

‘เดือน จักเกิดสิ่งใดขึ้นหากฉันแค่หันหลังแลวิ่งหนีไปกับเธอโดยไม่หยุด หากฉันพาเธอวิ่งได้เร็วแลไกลมากพอ…’ บานเมืองเกร็งไหล่ สายตาเหม่อลอย ‘แต่มันไม่เคยได้ผล เธอจากฉันไปแล้ว ทิ้งฉันไว้ให้เดินไปข้างหน้าเพียงลำพัง เส้นทางที่ฉันจำต้องเดินต่อไป’

ไม่ต้องอาศัยทักษะการสืบสวนสอบสวนของเฉลาญ์ ปูรณิมก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้

จู่ๆ บานเมืองก็ฉวยเศษโถเปื้อนคราบน้ำมันผสมผลึกเศษะมาสูดดม

‘เพื่อเธอ…เดือน…ฉันจักเดินไปจนกว่าเพลิงไฟได้ชำระล้างอำนาจที่กดขี่เราทั้งมวลจนสิ้นซาก!’

ความทรงจำก่อนที่ปูรณิมจะหมดสติก่อรูปสร้างร่างขึ้นอย่างคลุมเครือ ดุจพรายฟองที่ผุดท่ามกลางอนธการของบ่อน้ำลึกสุดหยั่ง

ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก นั่งหอบหายใจถี่ ฝ่ามือสัมผัสกับไม้กระดานเยียบเย็น

นี่มันห้องเก็บของของพ่อไม่ใช่หรือ ปูรณิมกวาดตาสำรวจโดยรอบ

คูหานั้นสลัวราง กลิ่นอับชื้นเข้มข้นฟุ้งอยู่ในอากาศ ท่ามกลางบรรยากาศมืดมนมีเสียงคร่ำรำพันเป็นท่วงทำนองอยู่ในลำคอแว่วให้ชายหนุ่มได้ยิน นั่นหมายความว่ามันมิได้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง

“แม่” ปูรณิมเรียกมารดาทับเสียงดนตรี

ยามนี้บานเมืองยืนอยู่หน้าตู้ ลำแสงสีแสดยามอาทิตย์อัสดงส่องฉลุลงบนเรือนร่างที่ยืนนิ่ง ไร้อาการเคลื่อนไหว ประหนึ่งไม้ดอกในแจกันที่ไม่มีวันได้งอกเงย

ปูรณิมเห็นลำแสงนั้นคล้ายทางดำเนินทอดยาวสู่นรกที่กำลังลุกไหม้

“แม่…”

ชายหนุ่มร้องเรียกอีกครั้ง เสียงเพลงนั้นจึงหยุดลง ผิดกับสรรพางค์ของมันที่เริ่มสั่นและไม่มีทีท่าจะชะงัก

บัดนี้ปูรณิมเข้าใจแล้วว่าเหตุใดบานเมืองจึงไม่อยากให้มันกลับเรือนมาเยี่ยมตนบ่อยๆ

แคนดงเคยสอนมันว่า ไม่ว่าแม่หรือพ่อของครอบครัวใดก็ตามที่ทรมานจากอาการป่วยไข้ทางหัวใจ หลังผ่านพ้นเหตุการณ์บีบคั้นรุนแรง มักมีแนวโน้มทำร้ายลูกของตน

ไม่แน่ว่าสถานการณ์เหล่านั้นอาจย่ำยีบานเมืองอย่างโหดร้ายผิดมนุษย์ก็ได้ และการส่งเด็กชายไปอยู่กับมนตรีและแคนดงนั้น ก็อาจเป็นการเตรียมปูรณิมให้พร้อมกับสงครามที่กำลังจะเกิด

“หากฉันเป็นแม่คน ฉันก็มิใช่สัตว์ประหลาด” บานเมืองกระซิบ ไม่มีปี่มีขลุ่ย “ฉันยอมสืบพันธุ์อย่างที่พวกมันต้องการแล้วเดือน ฉันมิใช่สัตว์ประหลาดอีกต่อไปแล้ว”

แม่ของปูรณิมพูดแบบนี้อีกแล้ว

บานเมืองเขย่งเอื้อมหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งลงมาจากแท่นวางคร่ำทองซึ่งวางอยู่บนหลังตู้ขาหมู แท่นที่ว่ามีการตกแต่งงานโลหะโดยทำเป็นลวดลายทองหรือเงินฝังลงในเนื้อเหล็ก จึงเรียกงานฝีมือนี้ว่าคร่ำเงินคร่ำทอง

“ดูซี” บานเมืองกระซิบแผ่วเบา

ปูรณิมเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ “นั่นมัน…”

“พ่อณิมว่ามันทนไฟอย่างเขาว่าไหม”

บานเมืองเบิกตากว้าง แววตาเคว้งคว้าง นางค่อยๆ ดึงวัตถุมีคมสองด้านออกจากฝักที่สลักดุนโลหะก่อนลงรักปิดทอง เนื้ออาวุธเบื้องหน้าก่อเงาวาววามคงผสมดีบุกและตะกั่วก่อนตีขึ้นรูป

ชายหนุ่มพยักหน้า รับขรรค์เล่มนั้นไว้ในมือ

การกดข่มจังหวะการเต้นของชีพจรไม่ได้ง่ายดาย เหมือนการที่หัวใจมีหน้าที่ต้องตอบสนองเมื่อความคิดส่งเสียงเรียกร้อง

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีซี” บานเมืองจ้องบุตรชาย ใบหน้าเรียบเฉย

จู่ๆ ประดาสาลิกาที่เกาะอยู่ตามง่ามไม้ก็ส่งเสียงกรุกกรู รหัสสัญญาณขันคูสั้นสามยาวสาม แปลได้ว่าได้ว่าฐานบัญชาการหน่วยสาลิกาเรียกกำลังเสริม หนีไม่พ้นหายนะใหญ่หลวง

“เมื่อใดที่เด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกับฉันวิ่งโฉบผ่านหน้าเรือน พวกมันต่างตะโกนเรียกขานฉันว่า ‘อีวิปริต’ ฤๅไม่ก็ ‘อีกะเทยเล่นเพื่อน’ ฉันรู้…ฉันเพิ่งรู้ก็เมื่อเติบใหญ่ว่าคำเหล่านั้นเป็นนามแทนถ้อยเรียกขานพวกสัตว์ประหลาด” บานเมืองเอียงศีรษะ ริมฝีปากบางยิ้มกว้างขณะเงี่ยหูฟังเสียงสาลิกา “พ่อณิมไปเถิด แม่คงรั้งพ่อณิมไว้ได้เพียงเท่านี้แล้ว”

“รั้ง?” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่าบานเมืองจงใจรมยาหมดสติลูกไส้ “นี่แม่กับยายเฒ่ารั้งข้าไว้ก็เพื่อเปิดช่องให้คนร้ายลงมือทำลายหน่วยสาลิกางั้นฤๅ”

“ผีฟ้าแห่งเมืองยโสธรปุระได้มอบขรรค์พระพายพร้อมกับพระราชธิดาคือไศลเทวีให้กับพ่อโปญศกุนตะ เมื่อนั้นจึงเกิดฟ้าผ่าถึงเจ็ดครั้งเจ็ดครา…”

“แม่”

ปูรณิมปราดเข้าไปเขย่าตัวเรียกสติมารดา แต่ยังไม่ทันที่มันจะปรามบานเมืองไม่ให้เพ้อไปมากกว่านั้น บรรดานกสาลิกาก็ส่งเสียงระงมขึ้นมาอีกคำรบ คราวนี้มิใช่รหัสของหน่วยเฉลาญ์ที่มันคุ้นเคย

แต่เป็นเสียงกรีดร้องเตือนภัยเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมล่วงล้ำอาณาเขตของพวกมัน

“ไปเสีย อย่ากลับมาที่นี่อีก เอาขรรค์พระพายไปให้พ้นจากพวกบ้าอ้ายขิกขุนเพ็ดเดี๋ยวนี้!”

บานเมืองผลักและไสลูกชายเพียงคนเดียวของนางจนพ้นคูหาเก็บของ แล้วหับประตูใส่หน้าดังสนั่น

ชีพจรของชายหนุ่มเต้นตุบ กล้ามเนื้อทุกส่วนตึงเขม็ง กลิ่นแห่งความตายเข้มข้น ปูรณิมรู้สึกได้ถึงอันตรายตามสัญชาตญาณท่วมท้นขึ้นฉับพลัน ไม่ใช่แค่กับตัวมันเอง แต่กับบานเมืองด้วย

ชายหนุ่มรู้ดี… ‘พวกบ้าอ้ายขิกขุนเพ็ด’ นั้น หมายถึงบิดาตน

“แม่! เปิดประตูให้ณิมสักประเดี๋ยวซี” เฉลาญ์หนุ่มเคาะประตู

อาการปวดกำลังกระทุ้งขมับของบานเมืองอีกครั้ง ขณะยกนิ้วชี้ขึ้นจดริมฝีปาก พ่นลมสั่งให้ลูกชายหุบปาก ทั้งที่ในห้องนั้นไม่มีใครอีกแล้วนอกจากตัวของนางเอง

“พระอัคนีผู้มีพระทนต์อันแหลมคม ผู้ประทานความโอบอ้อมอารี จงเสวยเปลวเพลิงร้อนแรงยิ่ง บรรดาผู้ที่ไม่เอาใจใส่ในข้อบัญญัติของเทพวรุณ แลกฎเกณฑ์ที่เที่ยงตรง ดุจอิตถีที่ปราศจากบุรุษกำลังหลงทาง ประหนึ่งสตรีที่เกลียดชังพฤติกรรมน่าชิงชังของบุรุษ พวกมันเต็มไปด้วยบาป พวกมันก่อให้เกิดหลุมนรกลึกสุดหยั่ง…” จากนั้นทำปากขมุบขมิบพึมพำ

“หมู่นี้แม่ไม่ได้กินถนำทึกของยายเฒ่าเลยใช่ไหม”

เมื่อปูรณิมได้ยินคำบรรยายเกี่ยวกับนรกในคัมภีร์ฤคเวท ก็รู้ได้ทันทีว่าอาการของบานเมืองกำลังกำเริบ

นรกคือหลุมลึกที่กักขังคนชั่วไร้ศีลธรรม คือที่ตั้งลึกลับดำมืดไร้ขอบเขต

“ไสหัวไป!” บานเมืองกรีดร้อง

เสียงอสนีบาตดังกัมปนาทฉับพลันทำให้ปูรณิมสะดุ้งโหยง มันถึงกับอ้าปากค้างแทบไม่อยากเชื่อ หน้าสลดซีดราวขี้เถ้าแกลบออกเทาค่อนขาว นับแต่มันเกิดมามารดาไม่เคยหยาบช้ากับมันเยี่ยงนี้

หยาดน้ำตาลูกผู้ชายคลอหน่วย หาใช่กระทบกระเทือนใจที่ถูกไล่ตะเพิด แต่เพราะหดหู่เหลือคณาที่มันไม่อาจช่วยรักษาอาการของมารดาได้แม้กระผีกริ้น

“หากข้าจัดการเรื่องหน่วยสาลิกาเรียบร้อย จักรีบมาอยู่ดูแลแม่…”

ขณะที่ปูรณิมโน้มลงกราบเท้ามารดาที่หน้าประตู ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงฝีเท้าเฉลาญ์นายหนึ่งวิ่งลนลานเข้ามา ชายหนุ่มจำได้ว่าไอ้หนุ่มคนนี้มันรั้งตำแหน่งอารักษ์มือธนู

“หน่วยสาลิกาถูกจู่โจม” อารักษ์ฝ่ายกุทัณฑ์สะอึกสะอื้นพลางหอบหายใจ “ทั้งคนแลฐานบัญชาการล้วนวอดวายสิ้น”

เฉลาญ์หน่วยสาลิกาทั้งสองแล่นสุดกำลังไปทางตีนเขาวนํรุงทันที

บานเมืองมองเงาหลังปูรณิมจากไปแล้วถอนใจอย่างแผ่วเบา นางเห็นใจชายหนุ่มผู้ไร้เดียงสาเหลือเกิน แต่ยามนี้สถานการณ์เลวร้ายคับขัน นางไม่อาจใช้หลักจิตเมตตาตะล่อมหว่านล้อมบุตรชายทีละน้อย เหลือทางเดียวที่จะสามารถรักษาชีวิตลูกน้อยของตนจากเงื้อมมือไอ้ชาติชั่วผู้นั้นได้…

นั่นคือต้องถลึงตาปานองค์รุทรสำแดงเดช

ใช่ บานเมืองรู้ดีว่าไอ้หาญกำลังบ่ายหน้ามาทางนี้

เป็นนางเองที่ให้ไอ้ตุ่นลอบปล่อยตัวมหาเสนาปติชั่วช้าออกจากป้อมแดง หลังจากเฝ้ารอให้มันได้รับโทษประหารมาเกือบสามปีเต็ม พระธรรมสาตรและตระลาการแห่งสรุกได้ทำให้บานเมืองเสื่อมสิ้นซึ่งศรัทธาเสียแล้ว

เหตุนี้…นางจึงต้องเป็นคนลงมือพิพากษาด้วยตนเอง



Don`t copy text!