บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 62 : นับถอยหลัง

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 62 : นับถอยหลัง

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

แม่จำปาเลือกซิ่นไหมมาวางเรียง หันไปเรียกนางทิม ที่นั่งมองเหม่อไปทาลำคลอง อย่างใจลอย

“ ทิม มาเลือกผ้าที่จะนุ่งไปเที่ยวงานลอยพระประทีปสิ  เอาซิ่นไหมเงินไหมคำของลาวไหม ต้องแสงจะได้วูบวาบทีเดียว ” แม่จำปาแกมหยอก

“ บ่าวที่ไหน จักนุ่งผ้าไหมเงินไหมคำ ทำเทียมเจ้าเทียมนายจะได้ถูกเฆี่ยนหลังขาดปะไร ” ผู้เป็นบ่าวกลับเป็นคนทำเสียงขุ่น

“ เออน่า รือจะเอาสีเขียวแมลงทับ รือสีทองแดงแวววาวเล่า ใส่ไปดูสักวา ” นายหญิงไม่ถือสา

“ ดูสักวา..หากคุณหนูลำจวนอยู่ คุณหนูเป็นคนแรกที่ตีปีก วิ่งนำไปทีเดียว  แต่เพลานี้ ไม่มีคุณหนูแล้ว อิฉันไม่ไป ใครอยากไป ก็ไป ”

จำปานิ่ง ไม่อาจเอ่ยออกมา ทว่าลึกลงไปในใจ เธอเชื่อว่าหากลูกสาวยังอยู่และอยู่ในหมู่ช่างเขียน คนดนตรี คนเพลง นักเลงกลอนเหล่านั้น  ลำจวนจะไม่พลาดงานสักวานี้เป็นอันขาด

 

ที่ลานหน้าเรือนใหญ่ของเจ้าคุณอินทรา

เนตรและศิษย์สองสามคน กำลังช่วยกันลงสีโครงไผ่ปิดกระดาษให้เป็นรูปต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ลอยตัวทั้งต้น

พวกหัวหมู่ หัวหมื่นนครบาล ช่วยกันทำโคมกระดาษ เป็นรูปใบโพธิ์ จากกระดาษทาสีเขียวเรียงลำดับอ่อนแก่ต่างๆ เพื่อจะเอาเทียนเข้าไปจุดข้างใน แล้วนำไปห้อยประดับรอบต้นโพธิ์นั้น

ที่ทำกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว คือกระทงดอกบัวขนาดใหญ่ และพระพุทธรูปทำจากกระดาษโปร่งแสง เนื้อบางอย่างใช้ทำว่าว ปิดบนโครงไม้ไผ่เหลาบาง ที่สานเป็นโครงรูปพระปางพิชิตมาร ข้างในโปร่ง จะจุดเทียนวางด้านใน ให้เป็นองค์พระที่ส่องแสงเรื่อเรืองออกมาจากด้านใน

กระทงของนครบาลคราวนี้ จะเป็นพระพุทธรูปเปล่งแสง ใต้ต้นโพธิ์อันงามระยับ ตั้งกลางดอกบัวบานขนาดใหญ่ ที่ลอยผ่านตรงไหน ผู้คนต้องยกมือไหว้

เจ้าคุณยืนดูด้านหนึ่ง  มีนวลถือชามข้าว คอยตามป้อนลูกที่วิ่งวนรอบๆ มีนพยืนรอรับใช้อยู่ไม่ห่าง

บนระเบียงเรือนใหญ่ คุณหญิงยืนอยู่กับนางทัด มองมาด้วยอารมณ์ไม่รื่น

“ เพลานี้ เจ้าคุณแวดล้อมไปด้วยคนบ้านนายสุ่น อยู่ๆ นางนวลก็ขึ้นหม้อ กลายเป็นคนโปรด ”

คุณหญิงมองตามหนูแดงที่วิ่งเป็นปูลม จนไม่มีใครจับทัน

“ เจ้าหนูแดงลูกมันก็กำลังน่าเกลียดน่าชังนั่นแล ”

“ หลังจากบูรณะวัดเสร็จ .. ก็หันกลับมาหลงนางนวล นัยว่า..ดูหน้าตาแล้ว..ละม้ายนางลำจวนที่ตาย อิฉันเอาเด็กกี่คนมาเข้าวงมโหรี ก็ไม่เห็นจะมองใคร ”

นางทัดเหนื่อยอ่อนเต็มทน

เจ้าคุณอินทราหน้าตาเบิกบาน ดูหนุ่มกระฉับกระเฉง ชี้สั่งการลูกน้องบริวาร ติชมพลาง โดยมีนพคอยเออออห่อหมกเอิ๊กอ๊ากไม่หยุดหย่อน

 

ลมหนาวพัดแรงยามเย็น ม่านและเครื่องแขวนดอกไม้ปลิวไหวกวัดแกว่ง

ลำจวนนั่งขดตัวกลมใต้ผ้าห่มคลุม อ่านหนังสือที่วางบนกากะเยียที่มุมห้อง

คุณพุ่มคลุมไหล่ด้วยผืนไหมพรมฝรั่งถักผืนใหญ่สีกรมท่าเข้มเหลือบเงินงาม นั่งคิดกลอน พลางลงมือร่างบนแผ่นกระดานชนวน เขียนๆลบๆอยู่เช่นนั้น

นางเต็มสวมเสื้อสักหลาดหนาของผู้ชาย นั่งเจียนหมากไปเงียบๆ

พลันลำจวนส่งเสียง ทำให้สมาธิทุกคนแตกกระเจิง

“ คุณอาขอรับ ”

คุณพุ่มถึงกับสะดุ้ง

เจ้าหนุ่มเฉกอ่านออกเสียงดังตามตัวอักษรในหนังสือ

ฝรั่งเสศภาษา ๑ ฝรั่งวิลันดาภาษา ๑ ฝรั่งอังกฤษภาษา ๑  ฝรั่งพุทะเกตภาษา ๑ ฝรั่งมะริกันภาษา ๑  ฝรั่งอิศะบันหยอดภาษา ๑”

คุณพุ่มยิ้มออกมาอย่างมีนัย

“ สงสัยอันใด ฝรั่งเศส ก็คือฝรั่งเศส อังกฤษ ก็คืออังกฤษ พุทะเกต..ก็คือโปรตุเกตที่มีเชื้อสายมากมายอยู่บ้านกุฎีจีน  มะริกัน ก็คืออเมริกัน  อิสะบันหยอด..ก็คือสเปน ..”

“ แม่ครูเอมิลี..ที่โอสถศาลา สอนว่า  ท่านเป็นคนอเมริกัน..มาจากอเมริกา บ้านเกิดท่านเป็นบ้านเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ สมัยเดียวกับแผ่นดินต้นที่สร้างบางกอกขึ้น ..ครูเอมิลี่ก็สอนผิดสิขอรับ ”

“ ผิดอย่างไร ”

“ หนังสือนี้เขียนมาแต่ครั้งพระร่วงเจ้า ก็หลายร้อยปีมาแล้ว มิใช่รือขอรับ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์บอกว่ามีชาติมะริกันด้วยนี่ขอรับ ”

นางเต็มก็พลอยงงไปด้วยกับลำจวน

“ อ่านต่อไปเรื่อยๆสิ ”

หญิงสาวในคราบหนุ่มอ่านหนักแน่น

“บันดาลูกค้าพานิชในประเทศก็ดี นอกประเทศก็ดี ที่ไปมาค้าขายณะจังหวัดแว่นแคว้นกรุงเทพฯพระมหานครศุโขไทยราชธานีนั้น ย่อมบรรทุกสินค้าไปมาด้วยสลุปกำปั่นเภตรา..”

เธอเงยมา จ้อง ‘คุณอาพุ่ม ’ เป๋ง

“ แล้วอย่างไร? ”

คุณพุ่มขำ

“ พ่อสุ่น..เคยเล่าว่าเมืองสุโขทัยเป็นเมืองรกร้าง อยู่ในป่าลึก พระภิกษุเดินธุดงค์ไป พบซากเจดีย์ปราสาทใหญ่ มีแม่น้ำใดใหญ่กว้างให้เรือสลุปกำปั่นไปถึงรือ ”

นายสุ่นให้ความรู้รอบตัวแก่ลูกๆดีพอใช้ คุณพุ่มคิด

“ ปิงวังยมน่านไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำหน้าบ้านเรานี้ แม่น้ำยม..ไหลผ่านเมืองสุโขทัย เพลานี้พวกจีนเขาเอาเรือเอี้ยมจุ๊นทวนขึ้นไปซื้อข้าวกันถึงเกาะกง แลยังนำปลาร้าเกาะกงกลางแม่น้ำยมเมืองสุโขทัยมาขายถึงบางกอกนี้ ”

“ แต่เรือสลุปคือเรือแขก แลเรือกำปั่นคือของฝรั่ง..เป็นเรือแบบใหม่ใหญ่โต กินน้ำลึกมาก มิใช่รือ เพียงจะผ่านปากน้ำเข้ามาถึงแถวนี้  ต้องรอให้น้ำขึ้น แลต้องมีเรือนำร่องนำเข้ามา.. รือว่าแม่น้ำยมจะใหญ่แลลึกไปตลอดทั้งสาย  อีกประการหนึ่ง นายฮุน บอกว่า เจ้านายของเขาคิดทำเรือกำปั่นตามอย่างฝรั่งขึ้นได้ไม่นานนี้เอง แลเริ่มทำที่อู่เรือเมืองจันทบุรี  เหตุเพราะเราต้องมีเรือรบไปสู้กับอานาม หากชาวสุโขทัยมีเรือกำปั่นเรือสลุปไปถึงเมื่อหลายร้อยปีก่อน ช่างสุโขทัยก็ควรทำเรือชนิดนั้นมาใช้ได้นานมากแล้ว มาหัดทำอะไรเอาป่านนี้ ”

ลำจวนลำดับความคิดว่องไว

“ เจ้ามันช่างจับผิด แลมีนิสัยโต้แย้ง ถกเถียง ไม่ผิดกับข้า แลนิสัยนี้ ไม่เป็นผลดีต่อสตรีเลย เพราะไม่มีชายใดดอก ที่ชมชอบลูกเมียที่ตั้งคำถามเสมอๆ ”

คุณพุ่มหยุดจิบชาร้อนๆ

“ เอาล่ะ จักเฉลยให้ก็ได้ หนังสือนี้ เขียนขึ้นในเพลาไม่นานมานี้แหล มิใช่เขียนสมัยสุโขทัย อาจจักมีบางส่วน ที่เป็นเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า แต่คงรจนาขึ้นใหม่ทั้งหมด สมัยข้าเด็กๆ เล็กๆ ก็มิเคยได้ยินมาก่อน  ส่วนจุดประสงค์ที่ท่านทรงเขียนขึ้น ข้าคิดเอาเองหนา ..คือต้องการรักษาประเพณีดั้งเดิมไว้มิให้สูญ แลตราไว้เป็นหลักฐานว่าบ้านเมืองเราเป็นอารยะมาหลายร้อยปี มิได้ด้อยกว่าชาติใด  หากฝรั่งอังกฤษ..มีราชินีเก่งกาจชื่อวิคตอเรีย บ้านเราแต่โบราณ ก็มีสนมชื่อนางนพมาศได้เช่นกัน ”

“ ดังนั้น..ผู้เขียน..ก็ย่อมมิใช่ท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมพระร่วงเจ้า ”

ลำจวนตัดสิน

คุณพุ่มหัวเราะ

แต่เจ้าเฉกน้อยผิดหวังหนักนัก

“ แลมิใช่สตรี เป็นบุรุษ ”

 

ฮุนนั่งเรือแจวเลาะขึ้นมาตามริมแม่น้ำ มาขึ้นที่ท่าเรือหน้าศาลเจ้า ที่มองเข้าไปเห็นศาลเจ้าสว่างไสวแปลกตาจากยามค่ำตามปกติ

เหมย ที่แต่งองค์ทรงเครื่องงามกระตุ้งกระติ้งเฉิดฉาย มีคุณชายหนุ่มน้อยทรงศักดิ์อัครฐานคอยตระกอง แวดล้อมด้วยลูกน้องจำนวนมาก กำลังไหว้เจ้ากันด้วยของไหว้อันมากมายก่ายกองล้วนแต่ดีๆ กงยืนอำนวยความสะดวกยิ้มแย้มแจ่มใส

ฮุนชะโงกดูได้เห็นพอแจ้งใจแล้ว ก็ค่อยๆถอยออกมาเงียบๆ แต่พอดีหญิงสาวหันมาเห็นเข้า ชายหนุ่มจึงยิ้มให้ แล้วก้มหัวเป็นเชิงลา จะเลี่ยงไป แต่เธอกลับผละจากเจ้าสัวเดินมาหาอย่างเปิดเผย ทำให้ทั้งคณะต้องมองตาม

เหมยเชิดหน้า วางท่าสง่าสูงส่ง

“ กลับค่ำทุกวันเลยหนา งานคงหนักมากหรือกระไร? ”

“ เขียนงานหลวงที่วัดแล้ว ก็ข้ามฟากไปทำงานราษฎร์ ช่วยเจ้านายอู่เรือกำปั่นทำกระทงสำหรับงานวันเพ็ญ เพิ่งเสร็จ ”

เหมยยิ้มอย่างผู้อยู่เหนือ

“ วันเพ็ญปีนี้อั๊วะมีคนพานั่งเรือชมกระทงแล้วหนา ”

เธอหันไปมองสบตาคุณชายวัยอ่อน

“ มิต้องง้อผู้ใดอีก ”

“ ก็ดีซี ” ฮุนพลอยมีมุทิตาจิต

“ ดีแน่..ส่วนลื้อ..ก็คงไปชมพระประทีปกับลูกท่านหลานเธอใต้เท้าหน้าหยกผู้นั้นสิหนา ”

คุณชายลูกเจ้าสัวสักคน เดินเข้ามาเพื่อแสดงตัวตน

“ เหมย นี่ผู้ใด? ”

กงรีบเข้ามาประกบไว้ก่อน

“ นี่หลานชายอั๊วะเอง ไป ฮุน รีบไปเตรียมข้าวเตรียมปลา กงหิวเต็มที ”

“ ฮ่อๆ ”

ฮุนก้มหัวให้เหมย และคุณชายอย่างนอบน้อม รีบเดินเข้าไปด้านในรวดเร็ว

 

นางเต็มนั่งหลับสัปหงกด้วยอุ่นสบาย เสียงลำจวนอ่านหนังสือเรียบๆเรื่อยๆเหมือนเสียงกล่อม

จนข้าน้อยมีชนมายุศม์ได้เจ็ดขวบ พระศรีมโหสถผู้บิดาก็ให้เล่าเรียนอักษรสยามพากย์ แลอักษรสังสกฤตได้ชำนิชำนาญ แล้วจึ่งให้เรียนพระพุทธวัจนะพอรู้ศัพท์รู้แปลตามกลประโยคที่ตื้น ๆ แล้วท่านก็ให้เรียนคัมภีร์ไตรเพท ”

คุณพุ่มตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ

“ บิดาของท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนับสนุนให้ลูกสาวเรียนหนังสือแลวิชาความรู้อย่างมากมายขนาดนี้ ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน หากเป็นเรื่องจริงก็นับว่าแปลกแตกต่างจากเพลานี้มาก ”

“ สตรีสูงศักดิ์ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท เขาให้เรียนมากๆกันเช่นนี้แหล นอกจากนั้น หนังสือเล่มนี้..ยังเป็นนิทานอบรมสั่งสอนบ่นว่าตำหนิ..กระทบกระเทียบเปรียบเปรยสตรี เป็นเสมือนแบบอย่างข้อควรประพฤติของสตรีฝ่ายในอีกด้วย ว่าอันใด ควรทำ อันใด อย่าทำ ”

“ ดังนั้น พวกผู้ชายที่ทำงานผม ที่เขาพูดว่า..ผู้หญิงไม่ได้แต่งเรื่องนี้ เขาก็พูดถูก ”

“ ผู้หญิง..ไม่มีหนังสือที่แต่งเป็นเล่มให้เห็นเลย ตั้งแต่ข้าเกิดมา”

“ แต่เขาว่า..อิเหนา ก็มาจากดาหลัง ที่เจ้านายสตรีสมัยปลายกรุงเก่าเขียนนี่คะ ”

“ ก็ไม่มีผู้ใดเก็บรักษาไว้ เพียงแต่เอามาเล่าถึงอย่างไม่เป็นชิ้นเป็นอันแลเขียนขึ้นใหม่

หนังสือ..เป็นกิจของชายเท่านั้น ถ้าหญิงเขียนนิทานแลบทละครต่างๆบ้าง นิทานแลละครต่างๆ..คงจักมีเรื่องราวที่แตกต่างออกไปจากที่เรามีอยู่นี้มาก ”

 

คุณพุ่มรำพึง น้ำเสียงนั้นเศร้าอย่างประหลาด

หลังจากเวลานั้นมาอีกถึงสามสิบปี คุณพุ่มจึงมีหนังสือเล่มแรก คือเพลงยาวเฉลิมพระเกียรติ ที่เริ่มด้วยบทเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเพิ่งสวรรคต พระองค์เจ้านารีรัตนาพระราชธิดาของพระองค์ท่านกับเจ้าจอมมารดาดวงคำ หลานสาวเจ้าอนุวงศ์ ที่ประสูติณ.วังเจ้าลาวที่บางยี่ขันทรงแนะให้เขียน แต่คุณพุ่มได้เขียนบทเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นเจ้านายโดยตรงของเธอในยุคสมัยในเรื่องนี้แทรกผสมลงไป และได้บรรยายเรื่องราวส่วนตัวของเธอไว้ในเชิงตำหนิตนเองด้วย ต่อมาเธอได้ถวายหนังสือนี้แด่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้า และได้รับพระราชทานรางวัลจากพระองค์ท่าน นอกนั้นก็มีเจ้านายหลายท่านพระราชทานเงินทองเป็นค่าเขียนให้อีก ด้วยซาบซึ้งพระทัย จากนั้น จึงมี หนังสือนิราศวังบางยี่ขันตามมาในปีต่อไป และได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่มหนังสือแบบสมัยใหม่ในอีกห้าสิบปีให้หลัง โดยพระองค์เจ้านารีรัตนานั่นเอง

ดึกคืนนั้นลำจวนนอนไม่หลับ ออกมายืนรับลมหนาวที่ระเบียงแพ จนแก้มเย็นเฉียบ ครุ่นคิดวนเวียนขุ่นข้องใจ

เสียงประตูแง้มแอด..หญิงสาวตกใจ

คุณพุ่มเดินออกมามองฉงน

“ออกมาทำอะไรมืดๆหนาวๆ”

“ พวกผู้ชายที่ที่ทำงานบอกว่าสตรีเขียนกลอนก็ไม่สู้บุรุษ  กระผมเขียนให้มันดู มันก็เห็นว่าเป็นกลอนของบุรุษอยู่ดี  พอกระผมอ้างคุณอา มันก็บอกว่า มีแต่คุณอานั่นแหลเป็นสตรีที่ผิดแผลง ”

คุณพุ่มมองลำจวน ใคร่ครวญทวนทบถึงสิ่งที่เต็มพูด

“ เจ้าอยากจะเป็นสตรีที่ผิดแผลงบ้างไหมเล่า? ”

“ อย่างไรขอรับ อยากบอกกับพวกมันเหลือเกิน ว่าคนที่ตั้งใจคัดงานบาญชี ไม่เคยหลบเลี่ยงงาน แลทำได้ดีกว่าพวกมันเสียอีกคนนี้..เป็นหญิง ก็ไม่อาจพูดออกไปได้ ”

“ คืนสิบห้าค่ำนี้ มันจักได้เห็นสตรีว่าสักวาสู้กับเหล่ามหาบุรุษแห่งยุคสมัย บอกให้มันคอยดูให้

จงดี ”

“ ก็คือบุษบาท่าเรือจ้างคนนี้ ที่ไม่เหมือนหญิงคนไหน ”

ลำจวนผายมือมา

คุณพุ่มสบตาลำจวน ลองเอ่ยนำทาง

“ บุษบาท่าเรือจ้าง อาจจักไม่ได้มีอยู่คนเดียวก็ได้ ในคืนนั้น ”

 

เช้านั้น เมื่อลำจวนแต่งตัวไปทำงานที่ห้องอาบน้ำด้านหลังเสร็จ ก็พบว่าคุณพุ่มมายืนดักรอ

“ วันนี้ เจ้ามิต้องเข้าวัง  ข้าให้คนของเจ้าคุณพ่อ ไปขอลาหยุดแล้ว ”

“ ขอรับ? ”

“ จักขึ้นว่าสักวา ต้องรู้ก่อน ว่างานนี้มีขึ้นเพื่ออันใด จะได้แต่งกลอนกันให้ถูกทิศถูกทาง ”

 

ระหว่างต้นพิกุลที่วัดมหาธาตุ สตรีทั้งสองเดินเคียงกันมา คนหนึ่งอยู่ในรูปบุรุษหนุ่ม

“ หลังจากที่ได้ถวายพระเพลิงกรมพระศรีสุลาลัยพระราชมารดาไปเมื่อเดือน6ที่ผ่านมา เรา..บรรดาคณะสักวาเก่า ที่เคยแสดงกันมาคราวฉลองวัดพระราชโอรสเมื่อครั้งก่อน เห็นพ้องกันว่า ควรจักรื้อประเพณีนี้ขึ้นมาใหม่ เพื่อถวายในหลวงให้ทรงแช่มชื่นฟื้นพระทัยขึ้นบ้างหลังไว้ทุกข์ ”

คุณพุ่มพาไปนั่งที่ม้านั่งโคนไม้ใหญ่

“ จักว่าสักวาสู้กับท่านเหล่านั้น เจ้าต้องรู้จักคู่ต่อสู้ก่อน ว่ามีผู้ใด แต่ละคน มีจุดแข็งจุดอ่อน

อย่างไรให้เราได้กัดแทะ ”

ลำจวนนั่งฟัง ตั้งใจแน่วแน่

“ ท่านแรก..อิเหนากุเรปัน  สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ จะเสด็จลงเรือร่วมกับท่านอาลักษณ์ภู่ ทั้งสองท่านนี้ เจ้ารู้ดีแล้ว ข้าจักไม่พรรณนาให้มากความ ”

“ อ้าว ”

ลำจวนขัน

“ ผู้จะรับบทนางยุบล ..คือพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าทินกร..ทรงเป็นผู้รอบรู้ในราชกิจทุกอย่าง เรื่องการปกครอง การศึก รวมถึงเรื่องหนังสือหนังหา วรรณคดี แต่ เจ้าควรรู้เพียงเรื่องพระปรีชาทางแต่งกลอนให้เจ้ารู้ไว้ ว่าบทละครนอกที่เป็นเอกของท่าน คือ แก้วหน้าม้านั้น ต่างออกไปจากเนื้อเรื่องละครทั้งหลายอย่างน่าสังเกต ”

ลำจวนรำลึกถึงพระองค์ได้ ว่าเคยมาเสด็จมาที่แพ ทรงมีพระพักตร์คมเข้ม เป็นบุรุษรูปงาม สุรเสียงทุ้มไพเราะน่าฟังทีเดียว

“ ว่า..”

“  เป็นบทละครที่ทรงแต่งแฉโพยเจ้าชายพินทองที่แสนจะน่าหมั่นไส้ ทรงรักสำราญ เจ้าชู้ ชอบทรงว่าว แลหลงเพียงความงามภายนอก ทว่ารังเกียจ หยามเหยียด ด่าทอหญิงที่ขี้ริ้วอย่างสาดเสียเทเสีย แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่สตรีที่ทุรลักษณ์อัปลักษณ์อัปภาคย์ ผู้มีสติปัญญาหลักแหลมแลรู้เท่าทันสันดานมนุษย์อย่างที่สุด อย่างเจ้าแก้วหน้าม้า  แม้เป็นนิทานพื้นบ้านปรำปรา แต่ก็น่าแปลกใจที่เลือกทรงเรื่องนี้ ที่มิใช่นิทานประจบยกยอผู้ชาย ”

“ จริงด้วย เรื่องนี้ สตรีเก่งกล้ากว่าบุรุษอย่างยิ่ง ”

“ พระองค์ต่อมา รับบทสังคามาระตา คือพระองค์เจ้าชายนวม..พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวงศาธิราชสนิท..ซึ่งทรงร่ำเรียนมากับท่านเจ้าพระ.. ผู้ที่เราเคยไปยืมพระนิพนธ์ลิลิตตะเลงพ่ายของท่านมาอ่านกันนั่นอย่างไร ท่านนี้ ทรงคุมกรมแพทย์ เป็นหมอยาที่มีความรู้มาก แลได้ทรงแลกเปลี่ยนความรู้กับหมอมิชชันนารีฝรั่งด้วย แต่ท่านยังเก่งกาจเรื่องกวี ทำตำราสอนหนังสือแก่กุลบุตร เขียนเพลงยาว เขียนนิราศ ต้องนับว่าทรงเป็นปราชญ์แท้ๆ ”

ลำจวนเอามือทาบ-อก

“ ทรงเป็นทั้งหมอยาแลเป็นนักหนังสือด้วย น่าสรรเสริญจริงขอรับ ”

“ ท่านต่อไป ..เป็นสียะตรา  ก็คือท่านหลวงสิทธิ์นายเวร บุตรเจ้าพระยาพระคลังดิศ ท่านผู้นี้ เป็นนายของเจ้าฮุน สหายของเจ้า เขาใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทกว่าใคร เก่งกาจวิเศษทุกด้านปานใด เจ้าคงรู้ดี แต่เจ้าคงไม่รู้ ว่าท่านก็ถนัดงานกลอนงานกวีไม่น้อย แลเป็นแขกมาแพข้า ให้คนนินทาไม่น้อยอีกท่านนึง ว่าข้าจะไปหลอกให้เด็กหนุ่มใจแตก ”

ลำจวนและคุณพุ่มหัวเราะออกมาด้วยกัน

“ ส่วนอีกท่าน ..ท่านภู่เพิ่งตามมาได้ก็เป็นบุคคลที่เจ้าต้องคารวะเช่นกัน..นั่นคือ ผู้รับบทประสันตา  เขาคือ..คนเขียนตำราหนังสือพระสุบินก.กา ที่พระเณรได้เรียน ”

“ กระผมเคยแอบเรียนที่วัดทองขอรับ ”

ลำจวนขี้อวดตามเคย

“ แลท่านเขียนกลอนนิราศที่คนแยกไม่ออกจากฝีปากอาลักษณ์ภู่ หากที่จริง ท่านออกจะเป็นหนุ่มน้อยปากเปราะเราะราย หากเทียบกับอาลักษณ์ภู่ ที่สุขุมสำรวมระวังวาจากว่า ”

ลำจวนนึกถึงกลอน บทที่เจ้าลำจวนน้อยเคยสอนฮุนในครั้งกระโน้นว่า

มีเพื่อนเล่น ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย

มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม

คุณพุ่มเล่าต่อ

“ นายมียังเขียนผนังพระระเบียงวัดพระแก้วกับเขาด้วย จนได้ชื่อว่านายมีลงกาใหม่ แลหลังๆมานี้ ก็ไปทำงานเป็นเสมียนเก็บภาษีให้หลวงอีกด้วย  สมีมีเมื่อครั้งเป็นพระ ศิษย์หลวงพ่อภู่  มาเป็นนายมีบ้านบุ ..มาเป็นนายมีลงกาใหม่ และกลายเป็นเสมียนมีไปแล้ว ”

 

และหลังจากลำจวนไปจากสยามแล้วหลายปี นายมีผู้นี้ ก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหมื่นพรหมสมพัตสรอีกนามหนึ่งด้วย

เมื่อฟังคุณพุ่มเล่าจบ ลำจวนก็ยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น

“ มีแต่บุรุษผู้เป็นที่สุดทั้งนั้นเลยขอรับ ”

วันต่อมาตลอดทั้งวัน หลังจากร่างบทสักวากันเคร่งเครียด คุณพุ่ม พาลำจวนและนายหมายเดินชมตามบ้านคน ตามวัดวา ตามหน่วยงานราชการ แม้แต่ที่เรือนใหญ่ของเจ้าคุณพ่อของเธอ ผู้คนทั้งชายหญิง ต่างพากันทำกระทงจากวัสดุต่างๆ รวมทั้งจากใบตอง ดอกไม้สด เหมือนดังในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่ลำจวนอ่าน

แลข้าน้อยก็กระทำโคมลอยคิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมพระสนมกำนัลทั้งปวง จึงเลือกผะกาเกสรศรีต่าง ๆ ประดับเปนรูปดอกกระมุทบานกลีบรับแสงพระจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนศรีสลับให้เปนลวดลาย แล้วก็เอาผลพฤกษาลดาชาติมาแกะจำหลักเปนรูปมยุระคะณานกวิหคหงษ์ ให้จับจิกเกสรบุบผชาติอยู่ตามกลีบดอกกระมุทเปนระเบียบเรียบเรียง วิจิตรไปด้วยศรีย้อมสดส่างควรจะทอดทัศนายิ่งนัก ทั้งเสียบแซมเทียนธูปแลประทีปนำมั้นเปรียงเจือด้วยไขข้อพระโค ครั้นสมเด็จพระร่วงเจ้าได้ทรงสดับ ก็ดำรัสว่าข้าน้อยนี้มีปัญญาฉลาดสมที่เกิดในตระกูลนักปราชญ์ กระทำถูกต้องควรจะถือเอาเปนเยี่ยงอย่างได้ จึ่งมีพระราชบริหารบำหญัดสาปสันว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับกษัตรในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือนสิบสอง พระราชพิธีจองเปรียงแล้ว ก็ให้กระทำโคมลอยเปนรูปดอกกระมุท อุทิศสักการะบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที กราบเท่ากัลปาวสาน

 

เมื่อหัวค่ำ ดวงจันทร์กลมเต็มในคืนวันเพ็ญอยู่ริมฟ้า

ที่ท่าเรือบางคอแหลม กระทงรูปดอกบัวบานบ้าง ตูมบ้าง ทั้งใหญ่น้อยเป็นร้อยดอก ผูกโยงกันเป็นสาย ลอยไปด้วยกันเป็นพวง ดุจแพกอดอกบัวที่ลอยไปด้วยกันในแม่น้ำทั้งกอ สีขาว ชมพู และอมเขียวอย่างดอกบัวจริงๆ สว่างเรืองระยิบระยับด้วยแสงเทียนดวงน้อยบนเกสรบัว งามอ่อนหวานจับตาจับใจยิ่งนัก

ที่แท้มีเรืองามลำนึง  มีคนฝีพายแต่งกายสีเข้มขาบหลายคนสลับกันพาย  ลากแพกอดอกบัวนั้นจากบางคอแหลม ไปถึงท่าช้างวังหลวง อันเป็นสถานที่จัดงาน

ฮุนและเพื่อนคนงานยืนดูเรือลำนั้นพายลากแพกระทงกอดอกบัวห่างออกไป

หลวงสิทธิ์นายเวร ทนายพด และเมเนเจอร์โรงงาน ยืนดูอยู่ริมท่าน้ำ ข้างหน้าฮุน

เมื่อพอขบวนเรือลับตาไปแล้ว หลวงสิทธิ์เดินจะไปลงเรือของท่าน ที่เข้ามาเทียบรอ

“ กระทงงามดีมาก นายฮุน ..ขอบใจเหลือเกินที่มาช่วยกัน”

ท่านกรุณาแวะทัก

ฮุนพนมมือจรดใต้คาง

“ ข้าต้องไปเล่นสักวาที่ท่าช้างวังหลวง  อยากจะดูกับเขาบ้างไหมเล่า ”

“ ใต้เท้ากรุณา..เล่นสักวาด้วยรือขอรับ? ”

“ ใช่ซี เคยดูไหมเล่า? ”

ฮุนดีใจ แทบร้องตะโกน เมื่อเห็นสายตาปรานี

“ ไม่..ไม่เคยขอรับ ”

เจ้าหนุ่มผมเปียละล่ำละลัก

เมื่อท่านพยักหน้าชวน ฮุนก็โลดลงเรือตามไปในคณะ ด้วยหัวใจราวกับจะโบยบิน

 

ในห้องด้านในเรือนแพคุณพุ่ม ลำจวนเป็นบุษบาที่ถูกลอกคราบอุณากรรณออกอย่างสิ้นเชิงแล้ว ใบหน้าถูกฉาบแป้งขาวจากตีนผม จรดเนินอก นุ่งห่มพัสตราภรณ์ของนางละครเต็มชุด เป็นสีแดงก่ำ กับทองระยับ  เครื่องประดับครบครัน ทั้งรัดเกล้าบนศรีษะ ทับทรวงบนร่าง ไม่ผิดไปจากหนังสือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์นั้นเลย

ฝ่ายพระสนมกำนัลครั้นได้ทราบว่าจะได้โดยเสด็จก็ยินดีปรีดา ไม่ว่าเปนเวรอยู่งานของผู้ใด แต่เพลาเย็นต่างก็จัดแจงแต่งกรัชกาย นุ่งห่มผ้าลิขิตพัตรผ้าสุวรรณพัตรปกปิดด้วยเครื่องอลงกาภรณ์ เสียบแซม​ผกามาศผกาเกสรในช้องผม ผัดผิวหน้านวลงามดังนางเขียนแต่งคิ้วให้ค้อมดุจเส้นวาด..  ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรลูกหลวงหลานหลวงนางสนมกำนัล แต่งกายงามกว่าแต่งตามธรรมดา ก็พึงภอพระราชหฤไทย จึ่งพระราชทานเครื่องอลงกาภรณ์พรรณ์ผ้านุ่งผ้าห่มล้วนแต่อย่างดีมีค่า เพิ่มเติมให้ทุกหน้าคณานาง ข้าน้อยก็ได้รับพระราชทานสองเท่าพระสนมกำนัลทั้งปวง ต้องเปนคนใหม่ ตั้งแต่นั้นมาถึงพระราชพิธีจองเปรียงแล้ว สมเด็จพระร่วงเจ้าก็เสด็จทรงประพาศการนักขัตฤกษ์ พร้อมด้วยนางในทุกครั้ง จนได้เปนตำราว่า เกิดขึ้นด้วยปัญญาข้าน้อยนพมาศ

ผู้เข้ามาแต่ตัวให้ทั้งคุณพุ่มและลำจวน เป็นคนเก่าคนแก่เคยแต่งตัวละครหลวงในครั้งกระโน้น ที่ติดตามเจ้าจอมที่กราบบังคมทูลลาออกมาอยู่วังนอกแห่งหนึ่งเมื่อสิ้นแผ่นดินกลาง

นางทองใบ เดินเงอะงะเจ้ามา ยังหาจำลำจวนได้ไม่ ได้แต่มองๆ ชื่นชม และเหลียวรอบข้าง มองหาอยู่ด้วยทีท่าร้อนใจ

“ คุณเฉกล่ะเจ้าคะ? ”

ทองใบอาจหาญถึงกับกราบถามเอากับคุณพุ่ม

ลำจวนสะดุ้ง

นางเต็มทำหน้าตาย

“ คุณเฉก..คงออกไปเที่ยวดูกระทงกับไอ้หมายแล้วกระมัง เอ็งจะทำไม? ”

“ โธ่..ว่าจักชวนไปจับจองที่ชมคุณท่านเล่นสักวาซีคะ พวกผู้ดีแลคุณๆข้างในมากันเสียแน่นแล้ว เดี๋ยวพอเสด็จออกอีก พวกไพร่ก็ไม่มีที่ดูกัน ”

นางทาสสาวมองลำจวน แล้วลดเสียงเกรงใจ

“ คุณไปหานางละครจากไหนมาคะ งามจริงเจียว ”

คุณพุ่มขำ

“ นางละครจากในวัง..เจ้านายพระองค์หนึ่งน่ะ จะให้ออกไปนั่งประดับเรือข้า มีสาวๆมาเป็นแม่ย่านาง จะได้พิชิตใจพวกนักสักวาชายทั้งหลาย ”

“ โอ๊ย..แค่คุณพุ่มคนเดียว ทุกคนก็แพ้ราบแล้วเจ้าค่ะ ”

ทองใบพูดจาโพล่งพล่างตามนิสัย มองลำจวน ค้อนๆให้นิดนึง แล้วรีบออกไป

พอทองใบไป ทุกคนก็หัวเราะครืน

“ ว้ายๆ ลำจวน เดี๋ยวแป้งแตกร่อนออกมาหมด อย่าหัวเราะมากนัก ”

“ ทองใบหาจำฉันได้.. ”

นางเต็มปรบมือ

“ แต่พวก..ฟากข้างโน้น..จักจำได้หรือไม่? ”

ลำจวนหลุดความวิตกออกมา

คุณพุ่มถอยออกไปเล็งแล

“ ข้าว่าหน้าเจ้าตาแปลกไป เมื่อทาแป้งเขียนคิ้วแล้วก็กลายเป็นผู้ใดก็ไม่ทราบ  มองจากไกลๆ ไม่น่าจักมีผู้ใดคิดประหวัดไปถึงนางลำจวนที่ตายไปหลายเดือนแล้วดอก

คุณพุ่มดึงมือลำจวน ให้ยืนขึ้น เพื่อก้าวเข้าไปส่องกระจกบานยาวสูง เห็นทั้งสองเต็มตัวด้วยกัน

“นี่แล..นางบุษบา.. ที่จักทำให้คนแจ้งใจว่า ผู้หญิงก็เป็นนักกลอนได้หากได้เล่าเรียนเขียนอ่าน มิใช่เพียงข้าผู้เดียวที่เล่นสักวาได้  แต่ข้ายังเก่งกาจสามารถพอ..ที่จักสร้างลูกศิษย์หญิง..มาเป็นทายาทได้ ”

เธอโอบผลงานของเธอ เชิดหน้าด้วยความภาคภูมิ

“ เช่นนี้..หากองค์อิเหนา..รือ..ท่านผู้ใด เกิดมีจิตปฏิพัทธ์?  ”

นางเต็มเกริ่น

ลำจวนมอง ตกใจ ด้วยมิได้คิดถึงประเด็นนี้เลย

“ ก็ขอเชิญให้เพ้อคลั่งไป เพราะพอแสดงจบ นางงามผู้นี้..ก็จักหายวับไปกับตา เหลือแต่เจ้าเฉกคนเดิม ”

คุณพุ่มเผยแผนการณ์

สามหญิงหัวเราะกันสนุกคะนองทั้งเด็กผู้ใหญ่ ความอยากโอ่อวดสำแดงฝีมือให้โลกประจักษ์ มีมากกว่าความระมัดระวังเสียแล้ว



Don`t copy text!