บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 68 : ความรักของคนนอกขอบ

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 68 : ความรักของคนนอกขอบ

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ควายสองสามตัวเดินเล็มหญ้าอยู่ใกล้ลำประโดงแคบๆที่พอเป็นทางส่งน้ำจากแม่น้ำเข้ามาหล่อเลี้ยงทุ่งนา

ฮุนนั่งคร่อมกลางสันหลังคา ผูกตับใบจากมุงหลังคาเข้ากับแปอย่างประณีต แน่นหนา มีหนุ่มชาวนาทวายอีกคนช่วยจับ

ฮุนโพกหัว สวมเสื้อทวาย นุ่งโสร่งหยักรั้งไม่ต่างจากชายชาวบ้านทวายหลายคน ที่มาร่วมลงแรงซ่อมกระท่อมหลังเก่าริมทุ่งให้กลับใหม่

เจ้าของคอกควายใหญ่ กำลังปูฟากไม้ไผ่ทุบมาใหม่ๆยังเขียวสดทำพื้นกระท่อม

พ่อทวาย กับลุงชาวนาอีกคน ช่วยกันประกอบหน้าต่างเพิงหมาแหงน

เด็กเลี้ยงควาย ตอกไม้ไผ่ลำใหญ่ทำบันไดเรือนโป๊กๆดังสนั่น

ลำจวนนุ่งโจง สวมเสื้อคนงานตัวเก่าของฮุน  ปีนกะไดลิงอยู่ด้านข้างเรือน เอาแผงตับใบจากแผงใหม่ มาผูกทำฝากระท่อม ที่ของเดิมโหว่พังจนต้องรื้อทิ้งหมด

“ เป็นผู้หญิง ทำไมทำงานผู้ชาย ผู้หญิงทำไมไม่ไปช่วยแม่หุงข้าวต้มเแกงเนื้อควายที่เรือนโน้น ”

พ่อทวายบ่นซ้ำแล้วซ้ำอีก

“ แกงเนื้อควายฉันทำไม่เป็น จะไปเกะกะเขาทำไม ช่วยทำบ้านให้เสร็จเร็วๆดีกว่า ”

“ พ่อเมฆไม่สอนเมียเสียบ้าง ผู้หญิงมาทำงานผู้ชาย มันไม่ดีหนา ”

คุณอาเศรษฐีเจ้าของควายว่า

“ ไม่ดีอย่างไร? ”

ลำจวนซัก

“ จะเกิดเรื่องร้ายน่ะสิ ”

“ ร้ายอย่างไร?

ลำจวนสวนชนิดคำไม่ตกฟากจริงๆ

พ่อทวายส่ายหัว

“ เมียพ่อเมฆ..ไม่มีลดราวาศอกเสียเลย ”

ฮุนเห็นขัน

“ ไม่มีผู้ใดกล้าสอนแม่จำปีดอก ”

“ กลัวเมียนี่หว่า ”

พ่อทวายล้อ ทำให้ทุกคนหัวเราะ

แม่ทวายกับหญิงสาวสองคน ช่วยกันเทินหม้อข้าว หม้อแกงมาบนหัว เดินกันมาเป็นแถว เดินทรงตัวอย่างง่ายดายบนสะพานไม้ไผ่ข้ามลำประโดงมา ส่งเสียงลั่นทุ่งมาแต่ไกล

“ พักกินข้าวกันก่อนเถิด บ่ายแก่เต็มทนแล้ว ”

“ แหม่..มาพอดี กำลังท้องร้อง ”

ลุงชาวนาดีอกดีใจ

แม่ทวายและสองสาวสวยวางหม้อข้าวหม้อแกงบนแคร่ตรงกอไผ่ข้างกระท่อม

แม่เปิดหม้อแกง เห็นแกงเนื้อควายในน้ำแกงเผ็ดแดง มีน้ำมันลอยตัวอยู่ข้างบน หน้าตาอย่างแกงแขกน้ำพริกแกงสีสดใสจัดจ้าน

ลำจวนวิ่งมาชะโงกดูคนแรก

“ นี่รือจ๊ะ แกงควาย สีท่าจะเผ็ดจัดทีเดียว ”

“ เรียกว่าซีเปี่ยน มาลองกินดู แม่เคี่ยวเนื้อจนเปื่อยนุ่มเลยหนา ไม่เผ็ดมากดอก ”

แม่อธิบาย

ลำจวนรีบไปยืนท้าวสะเอว แหงนหน้าเรียกฮุน

“ พ่อเมฆ..พักกินข้าวกับแกงซีเปี่ยนก่อนเถิด ”

ฮุนมองลงมาจากหลังคา ยิ้มยิงฟันขาว

“ แกงซีเปี่ยนรือ ฟังแล้วน่ากิน แต่บัดเดี๋ยวก่อน ใกล้เสร็จแล้ว ยังไม่อยากหยุด อยากให้เสร็จทันให้แม่จำปีได้มีหลังคาคุ้มหัวนอนคืนนี้อย่างไร ”

ลำจวนยิ้มแป้นตอบ

แม่ทวายเดินมายืนข้างลำจวน

“ อยู่กระท่อมไม้ไผ่ริมนากันไปก่อนหนา อีกไม่นานหมดหน้านา มีข้าวปลาพอกิน ก็หาควายมาเลี้ยงสักคู่ แล้วค่อยคิดอ่านปลูกเรือนฝากระดาน พอมีลูกแล้วจักขยับขยายอย่างไรค่อยว่ากัน ยังมีป่ามีดงให้หักร้างถางทำอีกมากนัก ”

พ่อทวายเข้ามาสมทบ

“ กระท่อมนี้ แม่กับพ่อเคยอยู่ตอนยังไม่มีลูกเต้า อยู่กันสองคนผัวหนุ่มเมียสาว ก็อยู่สบายดี อยู่แล้วจะรักกันดี มีลูกหัวปีท้ายปี จนต้องไปสร้างเรือนใหญ่อยู่ไงเล่า ”

ชาวทวายทุกคนหัวเราะโห่ฮากัน

ลำจวนมองหน้ากับฮุน แล้วต่างกระดากกระเดื่อง จนต้องเมินหน้าไปคนละทาง

 

เสียงเพลงสนุกครึกครื้นด้วยเสียงปี่ที่พ่อทวายเป็นผู้เป่าทำนองลื่นไหลร่าเริง คุณอาเศรษฐีคอกควายเคาะฆ้องรางไล่ทำนองล้อเลียนกับปี่  มีเจ้าเด็กเลี้ยงควายเป็นมือฉิ่ง ลุงชาวนาตีกลองสองหน้าให้เสียงสูงต่ำประสาน นอกจากจังหวะสนุกสนาน

แม่ทวายรำนำ ลูกหลานสาวสวยหลายคนในหมู่บ้าน และลำจวน รำตาม

ลีลาระบำย่ำเต้นตามเพลงจังหวะเร็ว ทั้งคนดนตรีและคนรำจึงลืมความหนาวเย็นของอากาศเวลาค่ำคืน กลายเป็นหายใจถี่เร็ว เหงื่อซึม

ฮุนกับเพื่อนเกลอทวายหนุ่ม นั่งดู โยกหัว ส่ายตัวตามจังหวะ พลางส่งกระบอกน้ำตาลเมากันไปมา

“ ทานเหย่ข่า เอามาเมื่อเช้า ตอนเช้ายังเป็นน้ำตาลสดอยู่เลย ”

ฮุนรับไปดื่ม แล้วสะดุ้งสุดตัว

“ โอ๊ะ แรงทีเดียว ”

หนุ่มจีนที่แปลงกายกลมกลืนไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ ส่งกระบอกคืน

หนุ่มทวายไม่ยอมรับ ผลักกลับไป

“  รีบกินเถิด ขืนกินไม่ทัน จะกลายเป็นโองเหย่หมด ”

“ โองเหย่? ”

ฮุนไม่เข้าใจ

“ เอาไว้เติมกับข้าว ให้มีรสเปรี้ยว ”

“ อ๋อ น้ำส้มนั่นเอง ”

“ ใช่ๆ น้ำส้ม ”

หนุ่มๆสนับสนุน

“ เหมือนความรัก วันแรกคบหากันก็เป็นน้ำตาล พอได้เสียกันใหม่ๆ กำลังหลงใหลมัวเมา ก็เป็นทานเหย่ข่า พอเป็นผัวเมียไปหลายปี ก็กลายเป็นโอ่งเหย่ ”

หนุ่มทวายช่างเปรียบเปรยสาธยาย ทำให้บรรดาสหายรวมทั้งฮุนฮากันเกรียว

วงน้ำตาลเมานั้นย่อมไม่หนาวเช่นกัน

ลำจวนที่รำตามอย่างแม่อยู่ ได้ยินเสียงหัวเราะ หันไปมอง

ขณะที่แม่ยิ้มหวาน รำอ่อนช้อยชมดชม้อย ส่ายไหล่ เอวบิดเอียง สะโพกโยกย้าย แต่ลำจวนติดรำลักษณะตัวพระ อกผายหลังไหล่สง่าผ่าเผย

แม่ทวายมองสังเกต

“ แม่จำปีรำท่าเหมือนผู้ชาย ”

“ ฉันรำคู่กับแม่ แทนพ่ออย่างไรจ๊ะ ”

ลำจวนวางท่า กล่อมตัว ท่าทางกรุ้มกริ่มกับแม่

ทำให้แม่คิกคัก ชอบใจ ใส่จริต

พ่อยิ่งเป่าปี่เร้าใจ บรรดาคณะดนตรีชาวนา ก็พากันเร่งเร้าจังหวะ

ฮุนยิ้ม มองลำจวน  ดวงตาพราวพรายรุ่มร้อนกว่าแสงจากกองไฟ

 

ดวงจันทร์แรมสามค่ำ ไม่เต็มวง แต่ยังเป็นดวงโต สว่างจ้าบนฟ้า ข้างทิวต้นตาล

ดึกแล้ว กองไฟที่หน้ากระท่อมน้อยโทรมลงใกล้มอด อากาศพลันยะเยือก ผู้คนกลับไปหมด ความสงัดครอบคลุม ไร้เสียงหรีดหริ่งเรไรในหน้าหนาว

ในกระท่อมหลังใหม่ดังห้องหอ สว่างเรืองน้อยๆเป็นสีส้มนวลด้วยตะเกียงน้ำมัน

ลำจวนที่หนาวสั่น ห่มผ้าคลุมไหล่หนา กำลังปูที่นอน ฮุนสวมเสื้อหลายชั้น นิ้วอันเย็นจนแข็งผูกสายมุ้งทีละขากับเสาเรือน มุ้งทั้งหลังเต็มห้องนอนพอดี

ฝาตับใบจากเอาเข้าจริงก็กันความหนาวได้น้อยนัก

ลำจวนจัดมุ้งให้ครอบคลุมที่นอน กันชายด้านล่างลงใต้ขอบที่นอนแบนๆที่ยัดนุ่นนุ่มๆจนแน่น ในที่นอนมีผ้าห่มผืนใหญ่ หมอนใหม่ๆ น่านอนสบาย

ฮุนผูกมุ้งเสร็จ มองเห็นลำจวนอยู่ในมุ้งโปร่งแสงรำไร  กำลังกันมุ้งอยู่ไม่ให้ยุงหลงฤดูลอดเข้าไปได้

ชายหนุ่มเข้าไปช่วยกันมุ้งอีกด้าน

ลำจวนหันมา

สองคนเผชิญหน้ากัน มีมุ้งกั้น ต่างขำ ระคนเอียงอาย หัวเราะให้กันอย่างขัดเขิน

ฮุนหลบตา กระแอมไอแก้เก้อ  ถอยออกมา

“ กระผมจักไปนอนที่ข้างกองไฟหนา ”

ชายหนุ่มลุกยืน หยิบผ้าผืนหนามาคลุมหลัง หันจะเดินออกประตู

ลำจวนถอนใจยาว กล่าวลอยๆ

“ มุงหลังคาหลังขดหลังแข็ง แต่กลับอยากไปนอนตากน้ำค้างหนาวๆ  พิลึก..”

“ เช่นนั้น..ผมจักนอน..ตรงหน้าประตูนี้ ”

ฮุนหันมา  ก้าวออกประตูห้อง แต่ยังอยู่บนยกพื้นใต้ชายคาก่อนจะถึงส่วนนอกชาน

ลำจวนส่ายหัว ขบขันกับบทบาท ที่ไม่แน่ชัดว่าเจียมตัว หรือเล่นตัว

“ เป็นผู้กางมุ้ง แต่กลับจักไปนอนให้ยุงกัด แปลกคน..”

ฮุนชะงัก เดินกลับมายืนตัวสูงเกะกะที่หน้ามุ้ง

“ กระผมเข้าไปนอนในมุ้งได้รือ? ”

ลำจวนแหงนเงยมองมา ทำตาเบิกโพลงใส่ ไม่ตอบคำ

ฮุนมองตอบ เคร่งขรึม จริงจัง หันไปหยิบตะเกียงมาเป่าดับมืดลง

ลำจวนยังนั่งมอง ดูว่าชายหนุ่มจะทำกระไรต่อ

ในแสงจันทร์สว่างที่ส่องเข้ามาทางประตูที่ไม่มีบานประตู  ฮุนคุกเข่าลง เปิดมุ้ง มุดลอดเข้ามานั่ง หันไปกันมุ้งกับขอบที่นอน

ลำจวนนั่งรอ จนฮุนหันมา

ทั้งสองอยู่ใกล้กัน จนรู้สึกถึงไอร้อนผ่าวจากเลือดเนื้อในกายที่แผ่ออกมาสู่กัน และลมหายใจอุ่น

ฮุนดึงผ้าโพกหัวออก ผมยาวสยายดำคลี่ลงมาคลุมบ่า

ลำจวนได้กลิ่นมะกรูดชื่นสะอาดจางๆ ผสมกับกลิ่นนุ่มหวานของน้ำมันมะพร้าว และกลิ่นกายระอุเหมือนกลิ่นจันทน์เทศ

ฮุนมองตาหญิงสาว แววตาเต็มไปด้วยความพิศวง เมื่อมือเล็กนุ่มนวลของเธอยื่นมาลูบผมเขาเบาๆ

“ ฉันอยากเอาไว้ผมยาวแบบนี้บ้าง แล้วก็เกล้ามวย ”

ดวงตาลำจวนฝันๆ

“ แม่จำปาของฉันเกล้าผมสวยมาก แต่ผมแม่ไม่ยาวเท่านี้ ”

ปลายนิ้วเรียว เกลี่ยผมฮุนที่ตกจากขมับมาระแก้มไปทัดหูให้อย่างอ่อนโยน

ฮุนจับมือบอบบางนั้นมากุม เอามาแนบแก้มตน เคลียเคล้าหน้าผาก จมูก และปากกับหลังมือหญิงสาว แล้วประทับจูบลงไปแนบนาน

ลำจวนตกตะลึง ตัวแข็ง เพิ่งรู้ว่าผิวเนื้อที่หลังมือตนนั้นอ่อนไหวยิ่งนัก เพียงสัมผัสจากส่วนต่างๆบนใบหน้าของชายหนุ่ม ส่งความรู้สึกวาบหวามซาบซ่านลึกซึ้งไปถึงหัวใจ

ฮุนลูบผมสั้นๆอ่อนนุ่มของลำจวนบ้าง

มือใหญ่ ลูบประคองศีรษะกลมๆ ราวจะเรียนรู้ทุกกระเบียดของกระหม่อม ท้ายทอย ค่อยๆคลำมาสู่ใบหน้า ปลายนิ้วลูบมาที่ใบหูเล็ก จอนหูริมแก้ม ลากเรื่อยมาที่แก้ม สันคางลำจวน เหมือนลากเส้นวาดรูป

จากนั้น ฮุนแนบหน้าเข้ามาชิดติดหน้าลำจวน หน้าผากคลึงหน้าผาก จมูกเคลียจมูก ริมฝีปากเสาะหาริมฝีปาก เมื่อกระพริบตา ขนตาก็กระทบกันบางเบาดุจผีเสื้อสองตัว ที่บินซ้อนไปด้วยกัน ขยับปีกไปด้วยกัน

 

วันสุดท้ายของการเก็บเกี่ยวข้าวแปลงสุดท้าย ลำจวนและฮุนทำงานร่วมกับทุกคน อยู่คนละมุมห่างๆ ทว่าทุกคราที่หันมาสบตา คลื่นแห่งรักและสุขซึ้ง ส่งผ่านอากาศมาถึงกันเงียบๆ

ฮุน หาบฟ่อนข้าวไปลานนวด เดินผ่านลำจวน ที่กำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ ทั้งสองยื่นมือมาแตะกันชั่ววินาที

ลำจวน ตัดก้านฟาง เรียงข้าวในลานนวดข้าวให้สม่ำเสมอ

ฮุนช่วยคนเลี้ยงควาย จูงควายเหยียบนวดข้าว

ชาวนาใช้ไม้ขอฉายสงฟางให้กระจายขึ้น ที่เป็นเพียงฟางเบาๆก็ปลิวไป ที่เป็นเมล็ดหนักก็ตกลงมากองบนพื้นดิน

ลำจวน ฮุน ยืนอยู่คนละด้าน ส่งสายตาหากัน ระอุอุ่น มีฟางปลิวในอากาศรอบกาย

พวกผู้ชาย ช่วยกันโกยฟาง ทำกองฟางให้สูงขึ้นๆ

เย็นย่ำ ผู้คนเลิกงานเดินกลับหมู่บ้าน ฮุนยังอยู่ ใช้คราด จัดแต่งกองฟางให้เรียบร้อย ลำจวนเดินถือกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำกิน มายื่นให้

ฮุนรับมาดื่ม

ทันที่ที่สบตากัน พลันฮุนดึงร่างหญิงสาวมากอดรัด ลูบไล้ เคล้าคลึง

ทั้งสองสูดดมเชยชมร่างกายกันและกันอยู่ที่กองฟางนั้นตลอดทั้งสนธยา

จันทร์ครึ่งดวง เหนือดงตาล

ที่ท่าน้ำข้างดงไผ่ หน้ากระท่อม

เท้าลำจวน อยู่ในมือฮุน

ลำจวนนั่งบนขั้นบันไดท่าไม้ไผ่ ฮุนแช่ตัวครึ่งล่างอยู่ในน้ำ ใช้ก้อนกรวดขัดคราบไคลดินโคลนออกจากเท้าให้คนรัก แล้วบรรจงกดจุดนวดฝ่าเท้าให้

เท้านั้นเล็ก และแดงช้ำ จนฮุนอดใจไม่ไหว ยกขึ้นมาจูบราวกับจูบดอกไม้มาลัยหอม

“ ผู้ดีตีนแดง..ตีนด้านเสียหมดแล้วหนา ”

ลำจวนหัวเราะ ก้มลง จูบลงที่กลางกระหม่อมที่ถูกโกนเกลี้ยงของฮุน

หญิงสาวเอาผลมะกรูดผ่าขยี้หัวให้ฮุน ตามด้วยผลประคำดีควายที่ให้ฟองลื่น สระผมยาวงามนั้นอย่างถนอมรัก

ฮุนนั่งพิงเข่าลำจวน ให้เธอเล่นกับศีรษะเขาจนพอใจ แล้วจึงโผกระโดดพุ่งไปกลางคลอง ดำตัวลงใต้น้ำ เพื่อล้างผม เมื่อโผล่ขึ้นมา ลูบหน้า ลูบผมให้พ้นไปจากหน้า ก็เห็นลำจวนจับตาคอยดูอยู่ แล้วหัวเราะ

ฮุนหัวเราะด้วย โผกลับเข้ามากอดหญิงสาว ลูบไล้หลังไหล่เรียวแขนด้วยปลายนิ้วอย่างแสนเสน่หา

“ คุณลำจวน ถ้า..กระผมอยากจะแต่งงานกับคุณ..ผมต้องสู่ขอกับใคร

ลำจวนอึ้ง ตอบไม่ได้ พลันแน่นในอกขึ้นมาถึงลำคอ แล้วกลายเป็นน้ำตาไหลพราก

ในม่านน้ำตา ดวงหน้าที่ภักดีของฮุน เป็นหน้าเดียวกันกับเด็กหนุ่มผมเปียที่ถูกเหยียดหยามเหยียบย่ำที่วัดสุวรรณารามหลายปีมาแล้ว

ลำจวนสงสารฮุน และสงสารตัวเองเหลือเกิน

ด้วยความรู้สึกที่เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่ง ดวงตาฮุนก็มีน้ำตาคลอชุ่ม

 

ยังเช้าตรู่อยู่มาก แดดยังไม่ทันแรงร้อน เมื่อลำจวน ที่นุ่งกระโจมอก มีผ้าคลุมบ่า ถือกระด้งที่มีผักบุ้ง สันตะวา ผักกระถิน ยอดผักกุ่ม ที่เพิ่งเก็บมาจากริมคลอง เดินร่าเริงขึ้นเรือนมา

นอกชานด้านข้างกระท่อม ที่ทำเป็นครัว มีเตาไฟ โอ่งดิน หม้อไหแขวนเรียง บนเตาไฟรุมตั้งหม้อข้าวดินเล็กๆ กำลังเดือด ควันลอยบางๆ

ตรงยกพื้นหน้าขอบประตูห้องนอน  ฮุนนั่งขวางอยู่ เอามีดพกประจำตัว หั่นผมตัวเองอย่างมุ่งมั่น

ลำจวนตกใจ เข่าอ่อน ทรุดลง วางกระจาดแปะหมดแรงกับพื้น

“ ฮุน..ทำอันใด? ”

ชายหนุ่มยิ้ม จริงจัง มุ่งมั่น

“ ตัดผม ”

“ แต่..ผมของเจ้า..งามปานนี้ ”

หญิงสาวเข้ามาจับมือที่ถือมีด

“ คุณชอบ..ใช่ไหม  แต่..ผมจำเป็น..”

ฮุนตัดผมตัวเองต่อ ทีละช่อๆ จนสั้น ไม่เป็นรูปทรง เพราะด้านหน้า ก็ยังถูกโกนไว้สูง ผมดำยาวกองเต็มพื้น

ลำจวนพูดไม่ออก หม่นหมองใจไปหมด

ฮุนหันไป หยิบมีดโกนแบบพับคมกริบออกมาจากย่าม เอามากางออก ส่งให้ลำจวน

“ ช่วยโกนด้านหลังให้สั้นทั่วๆเท่าผมด้านหน้า อย่างทิดสึกใหม่ ”

ลำจวนอยากจะร้องไห้

“เพราะเหตุไร?  จำเป็นอย่างไรรือ? ”

“ เพราะผมจักแต่งงานกับคุณอย่างไรเล่า ดังนั้น กระผมจะต้องออกไป..รีบทำหลายสิ่งหลายอย่างให้ลุล่วงเสียก่อน ผมไม่อาจเป็นอ้ายเจ๊กฮุนเปียยาวเดินไปไหนมาไหนได้อีกต่อไป มิเช่นนั้นนครบาลคงตะครุบตัวผมทันทีแน่ๆ  คราวนี้คงไม่ตัดแค่ผมเปีย หากจะกลายเป็นตัดหัวทั้งหัวจากบ่า

ลำจวนพูดไม่ออก รับมีดโกนจากฮุนมา

ฮุนสบตา แววตามั่นใจเต็มเปี่ยม ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

ลำจวนค่อยๆจรดมีดคม โกนผมฮุนต่อให้ น้ำตาหยดไปพลาง

ฮุนขบฟัน เมื่อเห็นน้ำตาหญิงสาว กรามขึ้นเป็นสันอย่างบึกบึน

 

เมเนเจอร์อู่ต่อเรือบางคอแหลมพาช่างฝรั่งสองนาย เดินดูด้านหน้าหัวเรือกำปั่น ที่โครงสร้างภายนอกเสร็จแล้ว แต่ยังจอดอยู่บนคาน  มีพิมพ์เขียวกลไกของใบเรือ กางอยู่ในมือ  ถกกันไปมา

คนงานที่อยู่ข้างบนเรือ กำลังติดตั้งเสาเรือสำหรับใช้ผูกใบ

แช ไห่ ซาน ช่วยกันทำสีช่วงล่าง ที่อยู่ข้างใต้ท้องเรือ

ทันใด แชสะดุ้ง เพราะมีไม้ตะพดแข็งๆมาเคาะๆเบื้องหลัง

หนุ่มคนงานจีนหันไป แล้วเบิกตากว้าง เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ ที่ใส่เสื้อแขนยาวฝ้าย นุ่งกางเกงฝรั่ง มีหมวกฟางแบบหมวกปานามาสวมหลุบหน้า  สะพายย่าม ถือตะพด ยืนยิ้มอยู่

“ ไอ้..??!! ”

ฮุนนั่นเอง เขารีบหันหลัง เดินหลบไปในซอกมุมลับตาคน

แชรีบตาม  ไห่และซานต่างค่อยพากันผละมือจากงาน ทะยอยตามไปทีละคนให้แนบเนียน

ฮุนถอดหมวกออก เห็นว่าเป็นผมเกรียนที่ปล่อยยาว กำลังเริ่มเป็นดอกกระทุ่ม

“ แม่เจ้าเว้ย ราวกับคนในสัปปะเยกฝาหรั่งแต่ดันไปบวชวัดญวนแล้วสึก ”

แชว่า

“ บวชไม่โกนคิ้ว ”

“ กงอั๊วะ เป็นอย่างไรบ้าง? ”

สหายสนิทสามคนสบตากัน

“ อีป่วย  อีเสียใจ แล้วไอ้พวกนั้นยังมา..”

ซานเล่า แต่ครั้นนึกได้ ก็เงียบ

“ พวกไหน? ”

ฮุนร้อนใจ

แชรีบตัดบท

“ อีไม่เป็นอะไรมากดอก พวกอั๊วะไปคอยดูเอง ลื้ออย่าได้โผล่ไปทีเดียว  อันตรายมาก แม้แต่ที่นี่ คนของนครบาลก็ยังคอยเฝ้าดูอยู่ ”

“ กงไม่โกรธลื้อดอก เป็นแต่ห่วงมากเท่านั้น ”

“ บอกกง ว่าอั๊วะจะหาทาง..ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง แลอีกไม่นาน อั๊วะจะมารับไปอยู่ด้วย ”

เพื่อนๆสบตากัน เป็นอันเข้าใจว่ากงคงไม่มีวันไปจากศาลเจ้าตระกูลอึ้งเด็ดขาด

“ อั๊วะมีเรื่องจะให้ลื้อช่วยด้วย สำคัญมาก ”

ทุกคนไม่พูดอันใด รอฟังฮุนกล่าวต่อไปอย่างตั้งใจ

 

เจ้าคุณอินทราผู้มีตราประจำตำแหน่งเป็นพระยมทรงสิงห์ ผายมือให้เจ้าคุณสุรเสนาผู้มีตราคชสีห์ประจำตำแหน่งนำหน้า เดินสู่พระอุโบสถที่กำลังอยู่ระหว่างเขียนผนัง

คนนครบาล และคนของกลาโหมจำนวนหนึ่ง ต่างคุมเชิงกันอยู่อย่างไม่ละลด

“ ผมบอกแล้ว ว่ามันต้องกลับมาทำงานให้สำเร็จ ไม่ทิ้งงานดอก ”

เจ้าคุณผู้บูรณะวัดเก่าแห่งย่านตลาดพลูยิ้มสุขุม

“ กระผมจึงต้องเชิญท่านเจ้าคุณมา..เป็นพยาน ตอนที่กระผมจับมัน ว่ากระผมมิได้กระทำการโหดร้ายด้วยเป็นเรื่องส่วนตัว แต่มันฉุดคร่าลูกสาวชาวบ้านชาวเมืองเขาไปย่ำยี  มิได้เกรงกลัวต่อฟ้าดิน ราวกับบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป กระผมจะเฝ้ารอ ให้มันทำงานเสร็จ แล้วจะจับมันไปลงโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย ”

เจ้าคุณอินทรากล่าว ปัดเรื่องราวให้ไกลจากเรื่องส่วนตัว

“ ได้ หากคนของเจ้าคุณ..ต้องไม่รบกวนขณะที่มันเขียนผนังโบสถ์นี้ มิฉะนั้น กระผมจะกล่าวหาว่าท่านเจ้าคุณขัดขวางงานบูรณะวัดนี้ ซึ่งเป็นงานหลวงที่พระเจ้าอยู่หัวทรงยกว่าสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ เพื่อตราไว้ ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในแผ่นดินที่สาม ”

“ ก็ได้..”

บนระเบียงด้านหน้าโบสถ์  ภิกษุรูปนึง ยืนรออยู่

“ ยังอยู่ใช่ไหมขอรับ? ”

หมื่นโชค ผู้สืบเสาะนัดแนะถามพระ ย้ำความมั่นใจ

“ อยู่ โยม กำลังช่วยกันวาดอยู่ ”

“ ไอ้เจ๊กผมเปียนะครับ ”

เดชตื่นเต้น

“ ไม่ใช่นะ ”

พระดูจะลังเล

“ อ้าว กระผมบอกแล้วใช่ไหม ว่าถ้ามันกลับมาเขียนโบสถ์วันไหน ให้คนไปบอกพวกผม ”

พระงงๆเล็กน้อย

“ ใช่ โยม  ก็..พอคนมาเขียนโบสถ์ต่อ ก็ให้รีบไปบอกอย่างไรเล่า ”

เจ้าคุณอินทราขัดใจ

“ หลวงพี่พูดไม่รู้เรื่อง ไป เข้าไปดูให้เห็นกับตา ”

 

ยังไม่ทันจะเข้าไป บานประตูโบสถ์ที่แง้มอยู่ครึ่งๆ ก็เปิดกว้างออกมาเสียก่อน

คนที่ก้าวออกมา คือคงแป๊ะ

ทุกคนชะงักด้วยผิดคาด  ยกมือไหว้แทบไม่ทัน

“ เจ้าคุณสุรเสนาก็มา..เจ้าคุณอินทราก็มา ”

ช่างเขียนใหญ่มองทุกคน

“ ไพร่พลบริวารแน่นหนาจริง กลาโหมแลนครบาลจะมาล้อมจับมหาโจรหรือไร ”

“คุณหลวงเสนีย์บริรักษ์  คุณหลวงไม่ทราบจริงๆรือ ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ”

เจ้าคุณอินทราแทบระงับโทสะไว้ไม่สำเร็จ

“ ทราบ..ว่า..ศิษย์รักของกระผม ที่กระผมเป็นผู้นำมาฝากให้ทำงานกับเจ้าคุณสุระเสนา มันทิ้งงานของท่านไปกระทันหัน กระผมแลศิษย์กระผมรีบมาสะสางความเสียหายให้ลุล่วงก่อนอื่น ”

“ มันกระทำการณ์หยาบหยามกระผมอย่างสาหัสนัก ข้อนี้ คุณหลวงคงไม่ปกป้องมัน ”

“ กระผมไม่เข้าข้างมันแน่ ผิดก็ว่าไปตามผิด ”

คงแป๊ะเศร้าใจแท้จริง

“ งั้น..ขอไปดูหน้ามันหน่อย ”

เจ้าคุณอินทราเดินเข้าไป ทุกคนก็พลันก้าวตาม

ครูพุด กำลังนั่งผสมสีอยู่หน้ารูปแจกันดอกโบตั๋นที่ยังวาดค้างไว้ หันมาเห็นผู้ยิ่งใหญ่สองคณะ ตกใจจนนั่งลงก้นจ้ำเบ้า รีบพนมมือไหว้แต้

พระภิกษุ ‘สายสืบ’ รีบชี้

“ นี่ไง คนนี้ไง ช่างเขียนที่มาแต่เช้า เป็นเจ๊กผมเปียก็หาไม่ จริงไหมเล่า ”

กระดาษแบบร่างลายเครื่องสูงของจีน กับดอกไม้นานาพรรณลงสีงามสดใสแล้วที่ฮุนออกแบบไว้ ถูกครูพุดแผ่กางออกแสดงต่อหน้าทุกคนบนพื้น พลางรายงาน

“ กระผมไปเอาต้นแบบของฮุนมา แล้วมาวาดตามลงในผนังที่เหลือ ”

“ กระผมโกรธเคืองแลเศร้าเสียใจนัก เหตุด้วย..กระผมเอง..เป็นผู้รับรองไอ้ฮุนให้กับท่านเจ้าคุณฯ เมื่อมันหายตัวไป กระผมจึงต้องมารับผิดชอบให้งานเสร็จตามกำหนด มิให้เสียหาย แลการที่ให้เจ้าพุดมันมาเขียน เพราะเจ้าพุดผู้นี้ก็เป็นครูผู้สอนไอ้ฮุนมันมาอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้น จึงแน่ใจได้ว่าต้องเขียนได้ไม่ด้อยกว่าตัวไอ้ฮุนแน่ กลับจะดีกว่าด้วยซ้ำ ”

คงแป๊ะแจง

“ เพราะฮุนมันทำของมันไว้ละเอียดทุกภาพขอรับ เสียดาย ตรงขอบๆนี้เหมือนมีรอยธูปอันใดมาจี้ไหม้ไฟไปจนเว้าแหว่ง เสร็จงานแล้ว กระผมว่าจะยึดแบบนี้ไว้ ไว้สอนงานแบบจีนแก่ศิษย์อื่นๆต่อไป ”

เจ้าคุณสุรเสนาสีหน้าหม่นลง ทว่ากล่าวกับคงแป๊ะอย่างใจนักเลง

“ คุณหลวง..กระผมซาบซึ้งน้ำใจนัก ”

คงแป๊ะก้มหัวลง

“ อันใดที่กระผมพลาดผิดไป กระผมต้องแก้ไขอยู่แล้ว ผมมองคนผิดไปจริงๆ ”

เจ้าคุณอินทราร้าวระบมไปทั้งอก

“ แล้วหากไอ้ฮุนติดต่อมาทางคุณหลวง หวังว่า..คุณหลวงจะรีบแจ้งกระผมให้ทราบโดยด่วน มิใช่ปกปิดซุกซ่อนมันไว้เล่า

“ กระผมไม่ปกปิดแน่ ”

คงแป๊ะตอบหนักแน่น

“ ผู้ให้ที่พัก ช่วยเหลือเกื้อหนุนคนร้าย จักมีความผิดไปด้วยเช่นกัน หวังว่าคุณหลวงคงไม่ลืมเสีย ”

คงแป๊ะสบตาเจ้าคุณอินทรา ไม่หลบ

“ กระผมไม่ลืมแน่นอน ”

“ ดี ผู้ใดโกหก นับว่ามันมิใช่สัปปบุรุษ กระผมหวังว่าท่านเจ้าคุณ ”

เจ้าคุณผู้พ่ายรักหันมาไหว้เจ้าคุณนักรบดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้

“ ก็คงให้เจ้าพนักงานทางฝ่ายเจ้าคุณ..ตามหาตัวมันมาชำระโทษ ฐานที่เป็นช่างหลวงในปกครองหนีราชการด้วยกระมัง ”

เจ้าคุณสุรเสนามองตอบ ดวงตาสงบ อ่านได้ยาก จนคงแป๊ะกับครูพุดอดหนาวๆร้อนๆมิได้

ที่แท้จริงแล้ว เจ้าคุณได้สืบค้นจนได้ความละเอียดยิบ เริ่มจากครั้งลูกสาวนายโรงสุ่นกระโดดน้ำตายหนีวิวาห์เจ้าคุณอินทราจนเป็นข่าวอื้อฉาว จำเนียรการผ่านไปปีกว่าจะสองปีแล้ว พี่ชายที่เป็นพลตระเวนไปเจอเข้า บังคับเอาตัวกลับมาจากท่าพระ จะเอามาใส่พานทูนให้เจ้าคุณอินทราอีกครั้ง แลกความดีความชอบจากนายทั้งๆที่ฝ่ายหญิงไม่ปรารถนา เผอิญเจ้าจีนที่ท่านตัดปี้ให้ ที่มันพากเพียรใฝ่ดีจนได้เป็นช่างเขียนหลวงก็เพื่อจะได้คู่ควรกับนางผู้ผูกสมัครรักใคร่กันมานานคนนี้นี่เอง แต่ความทะเยอทะยานของมันไม่อาจต้านทานอำนาจอิทธิพลของเจ้าคุณนครบาลผู้กว้างขวางและยิ่งใหญ่ท่านนี้ได้

จึงเป็นเรื่องน่าอนาถสมเพชยิ่ง ที่เจ้าฮุนผู้อาภัพอัปภาคย์ ได้เลือกทางที่แสนโง่เขลาดังนี้



Don`t copy text!