
ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 17 : ท่ามาก
โดย :
“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา
“จะดีหรือคุณจัด” เดินดงก็เลยถามพลางเชิญให้เข้ามานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ยาวที่เพิ่งต่อเสร็จสดๆ ร้อนๆ
แต่ฝ่ายน้องสาวยังคงยืนเกาะเบาะจักรยานยนต์จนเขาต้องเอ่ย
“เข้ามานั่งก่อนดีกว่าครับ”
แต่สาวงามนามใบจันก็ไม่ทำตาม
หล่อนแสดงความดื้อรั้นเอาแต่ใจตนจนออกนอกหน้า
เดินดงก็เลยนึกหมั่นไส้จนต้องหันไปทางพี่ชายผู้บัดนี้นั่งลงบนม้าไม้ไผ่ที่เก่งวางตะเกียงลานไว้บนอีกตัวที่ใกล้กัน
“น้องจันเข้ามานั่งนี่ดีกว่า เดี๋ยวตัวอะไรมันกัดก็จะเสียโฉมนะ” พี่ชายได้แต่เอ่ยให้ฟังสำเนียงว่าเอ็นดู หรือมิฉะนั้นก็ในเชิงที่ว่า ‘ยกให้ซะคน’ มากกว่า
ยังความหัวเสียลึกๆ ให้ชายหนุ่มผู้กำลังกลุ้มใจ
ไอ้คนถูกตามใจ ถูกยกยอปอปั้นจนเสียผู้เสียคนนี่ มันคือเช่นนี้
ผู้ชายคือตัวเราก็ว่าน่าเกลียดพอดูอยู่แล้วตลอดมา ยังจะมาเจอผู้หญิง ‘ท่ามาก’ ยิ่งกว่าเข้าให้อีก
เฮ้อ…เดินดงได้แต่แอบถอนใจลึกกับตนเอง
เอาละ…ถ้าอยากยืนอยู่อย่างนั้นก็ให้ยืนไป เขาก็เลยไม่อ้อนวอน แค่ตอบคำนายจัดผู้ดูเหมือนจะกลุ้มๆ ขึ้นมาแล้วเมื่อน้องสาวทำท่ายืนก๋าเกาะท้ายรถที่แม้จะเข้ามาอยู่ในเขตรั้วแล้วก็ตาม
“คือ…ต้องขอกันเลยดีกว่าคุณจัด เพราะศาลพระภูมินี่ถือเป็นเจ้าที่ของผม…ถ้าคุณจังซื้อให้…จะไม่ดูว่าผิดคนผิดที่ผิดทางหรอกหรือฮะ” ชายหนุ่มจำเป็นต้องพูดยาว
บัดนี้ เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ จะไม่ยอมให้ผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายกับเขตรั้วเขตเรือน อันหมายถึงเขตของชีวิตเขาเกินกว่าที่ควรจะเป็นไป
ไม่ได้โดยเด็ดขาด
“ไม่น่าจะผิดอะไรเลยนะคุณ” นายจัดก็ยังคงยืนยันตามอำเภอใจ
พวกเขาคงเคยชินกับการรวบหัวรวบหางผู้คนไว้เพื่อประกาศความเป็นเจ้าบุญนายคุณแน่นอน…เพราะดูเหมือนนิสัยนี้จะทับซ้อนซ้อนซับจนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำตนของเจ้าพ่อทั้งหลาย จนแลดูคล้ายกันไปทุกท้องถิ่น
‘แกไปคราวนี้น่ะดีรู้ไหม’ พ่อกรอกหูเขาไว้ทุกวัน ‘ขืนอยู่กะพ่อแม่นานไป แกจะโง่ลงๆ…เข้าใจนะคำนี้ ไม่ใช่พ่อว่าแกโง่ แต่ความโง่ของคนเรามันเกิดจากความไม่สะสมความรู้เท่าทัน’
พ่อก็พูดเรื่อยมา สารพัดจะบอกกล่าว เขาก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง…แต่จริงๆ แล้วคงฟัง เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่การฟังจะฟักตัว
ครั้นมาถึงยามนี้ เพียงสามวันกำลังจะย่างวันที่สี่ ก็มีอันให้ ‘ความรู้’ ของเขาราวกับได้น้ำค้างกลางหาวรินลงมาราดรด
แม้จะทีละหยดสองหยดก็ยังรู้สึกได้ว่าแสนบริสุทธิ์ชื่นใจไม่มีใดเปรียบ
น้ำค้างกลางหาวที่แม้จะปนมากับฝุ่นไคล หากก็ยังสัมผัสได้ถึงความชุ่มเย็น
ส่วนฝุ่นไคลอาจคือเศษกระจิริดที่มองไม่เห็น…ก็ปล่อยให้มันเป็นไป
“เอ…ผมเห็นจะทนดูคุณผู้หญิงยืนอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้วละมัง”
“ที่จริง” นายจัดก็เลยพยักหน้ากับน้องสาว “เขาก็ไม่ได้อยากมาหรอกคุณ แต่ผมเห็นเค้าอารมณ์บ่จอย ก็เลยดึงติดอานมาด้วย…เผื่ออากาศจะช่วยให้คลายมะโหไอ้เจ้าอุกกาบาตไปได้มั่ง”
“นอกจากอุกกาบาตแล้วยังมีใครเอาทองมาให้อีกไหมฮะ” อีกฝ่ายถามต่อ…ทั้งๆ ก็นึกระย่อท่าทางของนางสาวผู้ยังคงดื้อดึงราวเด็กเกเร
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่ออยากให้หล่อนกลับก็อยาก อยากให้หล่อนอยู่ทั้งๆ ยืนตัวแข็งราวเป็นใบ้ก็อยาก
แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน
คล้ายๆ ใคร่ท้าทายลองดีกับหล่อนอย่างนั้นแหละ
“ถ้างั้นก็ย้อนกลับมาคุยเรื่องศาลพระภูมิกันหน่อยดีกว่า” เดินดงก็เลยหักมุมสนทนาเป็นธุระที่จะทำในวันต่อไป “ช่วยเรียนคุณจังด้วยว่า ผมขอไม่ให้คุณจังต้องซื้อแทน รวมทั้งค่าทำขวัญคุณลุงเดี่ยวนั่นด้วยนะฮะ…ขอเป็นศาลพระภูมิเจ้าที่ส่วนตัวผม ตระกูลผมล้วนๆ ดีกว่า ไงๆ ก็ขอให้เข้าใจเห็นใจผมละกันครับ ฝากขอบพระคุณคุณจังด้วยที่หวังดี…”
สองพี่น้องก็เลยนิ่งฟัง
หญิงสาวมองดูเขาผ่านความสว่างสลัวของตะเกียงลานอย่างผิดคาดที่เขาดูฉาดฉานมั่นใจ นั่นก็เนื่องด้วยข่าวจากปากนายนวม นายเอี้ยง นายไว กระจายไปทั่วหมู่บ้าน ‘คุณดงแกก็คุณหนูเราดีๆ นี่เองแหละนะ…อย่าไปถือสาแกให้มาก…ก็คิดดู…พ่อแม่ยังเอาไม่อยู่…ส่งมา…ดัด…เอ้อ…ดัดตน…’ ครั้นแล้ว ผู้คนที่ยืนฟังก็พลอยหัวเราะขำกันเกรียวกราว
แต่เพียงสามวัน…ก็ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไป
ไม่เหมือนวันนั้นที่หล่อนมากับบิดาและพี่ชาย
เป็นวันที่เขาดูคล้ายหนุ่มละอ่อน ครึ่งกลัวครึ่งกล้า หน้าตาบ่งบอกว่า ยังไม่เชื่อมั่นในผืนดินกว้างขวางที่ตรงออกไป แล้วแผ่เป็นพื้นพสุธากว้างใหญ่ว่าคนอย่างเขาจะปลุกเสกให้มันเขียวชอุ่มด้วยพรรณไม้ที่ขนมาได้แน่นอนหรือไม่
แต่วันนี้คืนนี้ ดูเหมือนเขาจะไม่เหมือนเดิม
แม้ไม่มากจนเห็นได้ชัด…หากก็มากพอดูสำหรับความรู้สึกวันนี้กับวันก่อน
คืนนี้…เขาคงค่อยๆ เริ่มถอนตัวออกจากความเป็นหนุ่มใจเสาะ มาสู่หนุ่มนักสู้…ใช่…คงเห็นใครต่อใครที่ทยอยกันมารับอาสาช่วยเหลือ ล้วนเป็นผู้คนที่ถูกหมักเกลือหมักน้ำส้มจนได้ที่เกือบทั้งสิ้น
“เอายังงี้ดีกว่าฮะคุณจัด” เดินดงยังมิสู้จะแน่ใจว่า เขาควรปราศรัยกับน้องสาวนายจัดอย่างไรดี เพราะไม่เคยปริปากพูดจากันมาก่อน ก็เลยยังคงบอกกล่าวผู้เป็นพี่ “ก็ช่วยเรียนคุณจังด้วยว่า…มะรืนนี้…ผมจะไปคุยกับคุณลุงเดี่ยวเรื่องตั้งศาล แล้วดูวันเดือนปีที่เป็นฤกษ์ให้ได้ก่อน…ส่วนศาลนี่ก็ง่ายแล้วฮะ…ให้คุณลุงช่วยเลือกให้ก็คงดีกว่าผมเลือกเอง…เรามีค่าตอบแทนให้คุณลุงอยู่แล้วไงฮะ”
นายจัดก็เลยพยักหน้า พร้อมตอบอ่อยๆ
“ถ้างั้นก็ตามใจนะฮะ…พ่อน่ะไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่ว่าคุณเป็นคนที่ท่านพระครูที่กรุงเทพฝากมาให้ข้างเราดูแลแค่นั้น…” อีกฝ่ายพลันตัดถ้อยคำบางประโยคที่ท่านพระครูที่กรุงเทพฯ เขียนถึงพระครูที่นี่ออกไป เพราะดูเหมือนจะเป็นถ้อยคำคล้ายพูดถึงหนุ่มเจ้าสำอางมากกว่า “พ่อกลัวคุณจะทำไร่ไม่ได้ไม่เป็นไงฮะ…เลยอาสาเข้ามาช่วย…”
“ขอบพระคุณคุณจังที่สุดละครับ” ก็ไม่รู้ว่าอำนาจใดก่อกายขึ้นในตัวตนเขา
ท่ามกลางความมืดสลัวจากแสงตะเกียงดวงน้อย แต่ ‘ความเท่าทัน’ ดังพ่อว่า ก็ทำท่าจะไม่มืดมากอีกต่อไป
ก็นายจังกับนายโอกาสนี่มันคือคู่พิพาทสองข้างที่ขนาบเขาอยู่ด้วยทรัพย์ในดินสินในน้ำอย่างไรเล่า
ต่างคนจึงต่างก็ค่อยๆ รุกเข้ามา เริ่มต้นด้วยการเจรจาพาทีเพื่อดึงเอาเขาไปเป็นลูกผู้น้องโดยตนเองเป็นลูกผู้พี่ เรียกสั้นๆ ว่าลูกน้องและลูกพี่
ผู้หญิงที่ยืนดำทะมึนในเงามืดอยู่นี่ก็รู้วิธีการของพ่อและพี่ชายมาแต่ไหนแต่ไร
จึงเพียรติดตามมาดูลาดเลาความโง่เขลาของอีกฝ่ายว่าจะเผลอตัวไปถึงไหน
กับนายอุกกาน่ะหรือ…ชาตินี้ทั้งชาติก็คอยไปเถอะ
นางมิใช่ไม่ถูกหมักเกลือ
อือ…ยิ่งนึกก็ยิ่งกว้างยิ่งไกล ในที่สุดเขาก็เลยตัดบทเป็นเชิงขอจบการสนทนา
“รอไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่ดีกว่าคุณจัด คุณจัน”
เขาทิ้งท้ายอย่างจงใจให้หล่อนรู้ว่า บัดนี้ เขาเริ่มรู้จักหล่อนดีขึ้นแล้ว
“ถ้างั้นผมกลับละนะ…ที่มาบ่อยก็ไม่ใช่อะไร เป็นห่วงไง..” นายจัดทิ้งท้ายไว้อย่างมีความหมาย
ร่างในชุดที่กลืนกับราตรีจึงพลอยขยับกาย หากก็ไม่ปริปากว่ากระไรตามเคย
ต่อจากนี้ จักรยานยนต์ก็พาคนทั้งสองออกจากรั้วไม้ไผ่ที่มีอยู่ครึ่งเดียว หายไปท่ามกลางแสงอ่อนของจันทร์เจ้าที่สาดไปทั่วผืนดินกว้างใหญ่
เก่งก็เลยลดเสียงเบาลงราวเกรงวิญญาณจะได้ยิน ท่ามกลางเสียงแมลงที่กำลังแสดงโอเปราระงมไปทั่วราวไพร
“เคยเห็นไหม ผู้หญิงเป็นใบ้ตั้งแต่ไปจนกลับ…มิน่า ถึงได้เขวี้ยงทองเส้นใหญ่ได้…ก็เพี้ยนขนาดหนักไง…เพิ่งรู้จะจะก็เดี๋ยวนี้”
“เขาอาจฉลาดกว่าที่แกคิดก็ได้น้า”
“ว่าแต่ว่าอีมาทำไม” หนุ่มคู่ใจไม่สบอารมณ์จากทีท่าของลูกสาวนายจัง
“ก็จะมาแสดงอภินิหารบอกเราไงว่า…ที่นี่ยังมีข้าพเจ้าอีกคนนะยะ” เดินดงว่าพลางหัวเราะเบาๆ
คิดว่าเข้าใจคนขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 17 : ท่ามาก
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 16 : ทุกหนแห่งล้วนมีราคา
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 15 : ติดพัน ‘แม่เสือ’
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 14 : ไอ้หน้าโง่อหังการ
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 13 : คนดวงแข็ง
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 12 : ไหว้เจ้าที่
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 11 : ผู้มาเยือน
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 10 : ยามวิกาล
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 9 : วิถีเพิ่งเริ่มต้น
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 8 : ต้นไม้ใหญ่มีอารักษ์
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 7 : พืชพรรณไม้มงคล
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 6 : ตำราล้ำค่า
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 5 : ช้างบุก
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 4 : นายจัดลูกนายจัง
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 3 : สองชายฉกรรจ์
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 2 : ผู้พบใหม่
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 1 : ชีวิตที่เริ่มต้น