รถไฟสายทรานซิลเวเนีย

รถไฟสายทรานซิลเวเนีย

โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ

Loading

“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น

ผมปฏิบัติตามเพื่อนสตรีชาวโรมาเนียที่ว่าอย่าอยู่บูคาเรสต์เกินสองคืน ทั้งที่ไม่ได้รังเกียจเมืองหลวงเสน่ห์แปลกๆ แห่งนี้เลย แถมยังมีใจให้อยู่ไม่น้อย

ตื่นเช้าแล้วออกไปร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ที่พักเหมือนเดิม พอจะกดกาแฟจากตู้อัตโนมัติซึ่งต้องใช้ธนบัตรใบละ 1 เล 2 ใบ แต่ไม่มีติดตัว แคชเชียร์สาวรูปร่างอวบหน้าตาจิ้มลิ้มบอกว่าไม่มีให้แลก ชายวัยกลางคนที่เพิ่งซื้อของเสร็จ เห็นท่าทีเก้ๆ กังๆ ของผม ก็เข้าใจความต้องการ ยื่นธนบัตรใบละ 1 เลให้ผม 10 ใบ ผมยื่นใบละ 10 เลให้เขา แล้วกล่าว “มุลซุเมส” ขอบคุณ

จิบกาแฟได้ไม่กี่จิบ สมองเริ่มทำงาน ก็เข้าไปซื้อน้ำดื่มและของกินเล่นในร้าน แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าถ้าซื้อของกินก่อนเพื่อจะเอาเงินทอนไปกดกาแฟก็คงไม่ต้องรบกวนใครให้วุ่นวาย

เดินกลับห้องพัก นำอาหารที่เหลือจากเมื่อวานในตู้เย็นออกมาอุ่นไมโครเวฟกินกับโยเกิร์ตที่เพิ่งซื้อมาเป็นมื้อเช้า โทรศัพท์ถึงการรถไฟโรมาเนียเพื่อจะขอจองที่นั่งเดินทางไปยังเมืองบราชอฟ (Brasov) เจ้าหน้าที่การรถไฟพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ ผมเข้าใจอยู่แค่คำว่า “คุณมาซื้อที่สถานี” ก็เลยรีบอาบน้ำ แต่งตัว แพ็กกระเป๋า แล้ววางเงิน 30 ยูโร ทับด้วยกุญแจไว้ให้กับเจ้าของอพาร์ตเมนต์บนโต๊ะหน้าทีวี แล้วเดินออกจาก Vatra Accommodation โดยไม่ต้องลาใคร เพราะไม่มีใครให้ลา

ที่จริงผมสามารถเดินไปยังเมโทรสถานี Piata Romana ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร หรือมากกว่านิดหน่อย แต่ต้องโดยสารสายสีน้ำเงินไปต่อสายสีเหลืองเพื่อจะไปให้ถึงเมโทร Gara de Nord สถานีต้นทางของสถานีรถไฟสายเหนือ หรือที่เรียกว่าภูมิภาคทรานซิลเวเนีย (Transylvania) แต่ดูแผนที่กูเกิลจากมือถือแล้วสามารถใช้บริการเพียงต่อเดียวได้ ด้วยการเดินไปอีกทางเพื่อเริ่มต้นที่สถานี Stefan cel Mare เมโทรสายสีเหลืองซึ่งแผนที่บอกว่าอยู่ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร แต่เมื่อเราไว้ใจมันมากเกินไป แผนที่กูเกิลก็มักจะเล่นไม่ซื่อกับเรา กระทั่งเจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมาจึงเข้าไปถาม เขาก็เปิดแผนที่กูเกิลเหมือนกัน แล้วก็งงกับมันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะบอกว่า “ผมมั่นใจว่ามันต้องเป็นทางนั้น คุณเดินไปเถอะ ไม่นานก็จะเจอสถานีเมโทร” แต่ผมไม่ค่อยมั่นใจ เข้าไปถามผู้ชายคนหนึ่งในชุดสูทที่กำลังยืนจิบกาแฟอยู่หน้ามินิมาร์ต แกยืนยันว่า “เดินไปทางนั้นแหละ”

ผมเดินไปได้ครึ่งกิโลเมตรก็ถึงสถานีเมโทร Stefan cel Mare ใช้ตั๋วที่เหลืออยู่จากเมื่อวานสอดเข้าเครื่องแล้วก็ลงไปยังชานชาลา เอากระเป๋าเป้บนหลังลงมาวางกับพื้นรถไฟฟ้าใกล้ๆ ประตูทางเข้า-ออก กระเป๋าใบเล็กที่สะพายอยู่ด้านหน้าถือด้วยมือข้างหนึ่ง โดยสารไปได้สองสถานีก็ถึง Gara de Nord หรือสถานีรถไฟสายเหนือ (จะเห็นได้ว่าใกล้เคียงกับภาษาฝรั่งเศสที่เรียก Gare du Nord ส่วนสำเนียงการพูดจะได้ยินคล้ายๆ อิตาเลียน เพราะล้วนเป็นภาษาที่มีรากมาจากละตินเหมือนกัน)

ชายอ้วนคนหนึ่งเดินมาเสนอความช่วยเหลือ แกโชว์บัตรห้อยคอระบุว่าได้รับอนุญาตให้เป็นมัคคุเทศก์ประจำสถานีรถไฟแบบถูกกฎหมาย อาสาพาไปซื้อตั๋ว เมื่อถึงช่องขายตั๋วผมก็พยายามจะสื่อสารกับป้าเจ้าหน้าที่โดยตรง แต่แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ผมจึงต้องพึ่งพาไกด์อ้วน ซึ่งดูจากที่เขาสื่อสารกันก็มองออกว่าไม่น่าจะหลอกลวงเรา ได้ความว่าตั๋วชั้นสองไปเมืองบราชอฟ สนนราคา 48.60 เล (ประมาณ 400 บาท) ผมยื่นใบละ 100 เล ป้าทอนกลับมา 51.40 เล เป็นธนบัตร 50 เล ใบละ 1 เล และเหรียญ 40 บานี ผมยื่นให้ไกด์อ้วน 1 เล กับ 40 บานี แกไม่รับ บอกว่า “ขอกาแฟแก้วหนึ่ง หรือเบียร์ขวดหนึ่งจะได้ไหม” แล้วชี้ให้ผมไปเข้าห้องน้ำ “ค่อยแลกมาให้ก็ได้” แกว่า

ค่าใช้ห้องน้ำเขียนป้ายติดไว้ 1.50 เล ผมยื่นให้ป้าคนเก็บเงิน 50 เล แกผายมือ แปลได้ว่าไม่มีตังค์ทอน ผมจึงยื่นใหม่ 1.40 เล บอกว่าขอติดไว้ก่อน 10 บานี ป้าตอบด้วยภาษากายว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก”

ผมเดินลงไปยังห้องน้ำที่อยู่ต่ำระดับลงไป (แยกห้องชาย-หญิง) มีชายคนหนึ่งยืนปัสสาวะที่โถด้วยท่าทางแปลกๆ ตอนแรกผมตั้งใจจะทำธุระที่โถปัสสาวะ เลยเปลี่ยนใจเข้าห้องส้วมห้องริมสุดด้านใน ซึ่งค่อนข้างลำบากในการที่ต้องเอากระเป๋าเป้สองใบลงมาวางกับพื้นห้องแคบๆ แล้วก็ได้ยินเสียงชายคนนั้นเปิดประตูเข้าห้องส้วมอีกห้องที่อยู่ติดกัน แต่ผมปัสสาวะเสร็จก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อจัดกระเป๋าขึ้นหลังและถือใบเล็กออกมาก็มีคนเข้ามาใช้บริการอีกคน ผมจึงไม่เป็นเป้าหมายอีกต่อไป ชายคนใหม่เดินเข้าห้องส้วมไปอีกห้องหนึ่ง (มีทั้งหมดสี่ห้อง) แล้วตาผีห้องน้ำนี่ก็เดินเข้าห้องหนึ่งที่อยู่ติดกันอีก ผมไม่รู้ว่ากลยุทธ์ของผีห้องน้ำตนนี้คืออะไร หรือแกบ้าไปเฉยๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องทราบ จึงเดินกลับขึ้นไปยังตัวสถานีรถไฟ

ไกด์อ้วนดักรออยู่แล้ว ผมค้นเจอธนบัตรใบละ 1 เล 2 ใบ ยื่นให้ไกด์อ้วน แกรับไปและสนองตอบด้วยยิ้มแหยๆ คล้ายสื่อให้รู้ว่าไม่คุ้มค่า แต่จะทำอย่างไรได้ ผมไม่มีธนบัตรค่าน้อยกว่า 50 เลอยู่เลย เมื่อเดินสำรวจดูก็เห็นว่าไกด์ประจำสถานีรถไฟ Gara de Nord แห่งนี้มีอยู่หลายคน ทุกคนมีบัตรห้อยคอรับอนุญาต เนื่องจากเจ้าหน้าที่ขายตั๋วของการรถไฟพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย คิดในใจว่าเป็นการสร้างงานอย่างหนึ่ง และยังดีที่มีการควบคุม (เท่าที่เห็น)

ผมเดินไปขึ้นรถไฟที่กำลังเข้ามาเทียบชานชาลาที่ 12 ในตั๋วบอกเวลา 12.15 น. ยื่นตั๋วให้ลุงเจ้าหน้าที่ที่ลงมาจากรถไฟ ถามแกว่าที่นั่งของผมอยู่คันไหน แกพูดเป็นภาษาท้องถิ่น ผมเข้าใจแค่ว่าต้องเดินไปท้ายๆ ขบวน ถามเจ้าหน้าที่อีกคนก็บอกว่าเดินไปอีกเรื่อยๆ เมื่อเห็นตู้ที่ระบุเลขที่ซึ่งหมายเลข 92 ของผมอยู่ในระหว่างตัวเลขพวกนั้น ก็เลยขึ้นไปนั่ง รถไฟเคลื่อนออกทันที เจ้าหน้าที่เดินมาขอตรวจตั๋ว แกบอกเดินไปอีกสามตู้ ผมก็ต้องเดินไปตามคำสั่ง และพบว่าตู้ของผมมีห้องเล็กๆ ห้องละ 8 ที่นั่ง ซอยย่อยนับสิบห้องในหนึ่งตู้

ที่นั่งของผมถูกครอบครองโดยผู้ชายคนหนึ่ง ผมเห็นว่ายังมีที่ว่างจึงนั่งลงอีกที่ แล้วเก็บสัมภาระบนที่วางเหนือศีรษะ หยิบหนังสือออกมาแล้วเดินไปยังบาร์ประจำรถไฟในตู้ติดกัน สั่งกาแฟมาดื่มในราคา 5 เล หรือประมาณ 40 บาท รถไฟของโรมาเนียแม้จะวิ่งไม่เร็วมากแต่วิ่งไปอย่างนุ่มนวล ไม่โยกเยกและมีเสียงรบกวน ทุกห้องเป็นแบบปรับอากาศ และมีกระจกหน้าต่างที่ทำความสะอาดจนใสแจ๋ว

เห็นทิวทัศน์ข้างทางผ่านกระจกใสของตู้รถไฟก็ต้องทิ้งนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อน เพราะวิวช่างตื่นตาและน่าชม อีกทั้งเรื่องราวในนิยายจะไม่หายไปไหน แต่ภาพที่กำลังผ่านตากำลังจะผ่านเลยไป และอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาเห็นอีก

นอกจากทิวทัศน์เทือกเขาคาร์เพเทียนที่ทอดยาวให้เห็นอยู่ไม่ไกลแล้ว ก็ยังมีทุ่งสีเหลืองทองของดอกคาโนลา (Canola) ซึ่งมีให้เห็นอยู่ดาดดื่นสองข้างทาง เกษตรกรของภูมิภาคทรานซิลเวเนียเพาะปลูกลงบนแปลงไร่นาที่ทั้งเป็นพื้นราบและบางช่วงเป็นเนินคล้ายลูกคลื่นขนาดใหญ่อันกลมกลืนไปกับลักษณะภูมิประเทศ สลับกับทุ่งหญ้าสีเขียว บางครั้งฝูงวัวและฝูงแกะก็โผล่เข้ามาในฉากที่เลื่อนไหลไปเรื่อยๆ มองแล้วเพลินอารมณ์จนอยากจะสั่งเบียร์มาดื่ม แต่ได้ห้ามใจเอาไว้

สำหรับต้นคาโนลานี้ให้น้ำมันในการประกอบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีกรดโอเลอิกที่มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่เป็นต้นเหตุของภาวะเส้นเลือดอุดตัน และยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคมะเร็งต่างๆ ได้อีก ปัจจุบันบ้านเรายังต้องนำเข้าในราคาที่ค่อนข้างแพง

ระยะทางจากบูคาเรสต์ถึงบราชอฟประมาณ 170 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงครึ่ง ผมกลัวว่าจะนั่งเลยสถานี เพราะรถไฟโรมาเนียจอดแต่ละสถานีแค่ประมาณ 1-2 นาทีเท่านั้น (สำหรับสถานีที่ไม่ใหญ่มาก) จึงเดินกลับไปประจำที่นั่งของตัวเอง

ผู้หญิงวัยหย่อนๆ สามสิบนิดหน่อย หน้าตาคล้าย ‘โมนิกา เซเลส’ อดีตยอดนักเทนนิสของยูโกสลาเวีย แต่ตาโตกว่า ผมสั้นหยักศก ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์ (ว่าไปนั่น) นั่งตรงข้ามกับผม มีโทรศัพท์เข้ามาหา เธอพูดภาษาอังกฤษกับปลายสาย ได้ใจความว่ามีคนป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล และก็ต้องขึ้นเครื่องบินไปที่ไหนสักแห่ง เธอแนะนำวิธีการต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยขึ้นเครื่องได้ คุยอยู่ราวห้านาทีเธอก็วางสาย พอดีกับที่รถไฟจอดที่สถานี เธอบอกผมว่า “ถึงบราชอฟแล้ว” เธอรู้ว่าผมลงที่เมืองนี้ และเธอก็ว่องไวมาก ลงจากรถไฟไปก่อนอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไร แม้แต่คำว่าขอบคุณ

ที่สถานีรถไฟเมืองบราชอฟ หลังจากแผนที่กูเกิลพาเดินหลงไปราวหนึ่งกิโลเมตร ผมก็กลับมายังหน้าสถานีรถไฟเพื่อตั้งหลักใหม่ และพบว่ารถเมล์สาย 51 ที่จะผ่านโฮสเทลที่ผมจองไว้ เริ่มต้นสายจากตรงนี้

ผมซื้อตั๋วจากเจ้าหน้าที่สตรีประจำตู้ขายหน้าสถานีรถไฟในราคา 5 เล เธอบอกว่าตั๋ว 1 ใบใช้ได้ 2 เที่ยว ผมซื้อมาเผื่อไว้ 2 ใบ ถึงตอนนี้ผมจับจุดได้ว่าตั๋วรถโดยสารในโรมาเนียโดยทั่วไปแล้ว 1 ใบใช้ได้ 2 เที่ยวเดินทาง

รถเมล์สาย 51 วิ่งเข้าตัวเมืองบราชอฟที่เป็นกลุ่มของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ผ่าน Piata Sfatului จัตุรัสใหญ่ประจำเมือง เข้าสู่ถนนเล็กๆ ผมลงที่ป้าย Piata Unirii แปลความหมายได้ว่า ‘จัตุรัสรวมใจ’ ซึ่งชื่อนี้มีอยู่ในหลายเมืองทั่วประเทศโรมาเนีย

ป้าคนหนึ่งเดินผ่านมา ผมเอ่ย “บูนา” แล้วบอกชื่อไปว่า “Rolling Stone Hostel อยู่ในซอย Strada Piatra Mare” ป้าชี้ไปข้างหน้า ทำสัญลักษณ์มือให้เลี้ยวขวา แล้วพยักหน้าพร้อมยกหัวแม่มือขึ้น ผมกล่าว “มุลซุเมส”

เดินตามที่ป้าบอกก็ถึงที่หมาย และเมื่อเปิดประตูโฮสเทลเข้าไป ได้ยินเสียงร้องทักทาย “เมี้ยว”

จากแมวอ้วนตัวหนึ่ง

 

Don`t copy text!