ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 39 : สิ่งล้ำค่า (จบบริบูรณ์)

ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 39 : สิ่งล้ำค่า (จบบริบูรณ์)

โดย : เอมอักษร

Loading

ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศกับนิยายดราม่าคอเมดี้จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ปี 5 โดย เอมอักษร เรื่องราววุ่นๆ ของหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายทุกด้านจนขอฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ไหงแค่นอนหลับไปวิญญาณก็ออกจากร่าง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาหาวิธีกลับเข้าร่าง หาฆาตกรให้ทันเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที

เรืองรุจีหน้าซีดเผือด เธอสู้อุตส่าห์ห้ามทุกคนไม่ให้มาเยี่ยม เพราะเกรงว่าผู้ที่มาจะระงับสายตาและท่าทีสมเพชเวทนาไว้ไม่ได้ยามเห็นสภาพเจิดจันทร์ เมื่อสักครู่นี้เธอและสามีก็ออกไปปรึกษาหารือกับจิตแพทย์ เพราะเคสของเจิดจันทร์นั้นสุ่มเสี่ยงที่จะคิดฆ่าตัวตาย เนื่องจากลูกสาวคนกลางของเธอที่จิตใจเปราะบางอ่อนไหวอยู่แล้วกับปมด้อยดั้งเดิม เมื่อผนวกกับความไม่สมประกอบของร่างกายเข้าไปอีก จึงมีโอกาสสูงที่จะทำใจไม่ได้แล้วหาทางจบชีวิตตัวเองอีกครั้ง

“อยู่ที่ความรักความเข้าใจจากคนในครอบครัวเป็นสำคัญด้วยค่ะ” เธอจำได้ว่าคุณหมอให้กำลังใจไว้เช่นนี้ “คนที่เคยคิดฆ่าตัวตาย ไม่ได้แปลว่าจะต้องทำซ้ำ หากปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง ด้วยความรักและความร่วมมือร่วมใจของคนรอบข้างช่วยกัน บวกกับการสังเกตอาการและพูดคุยอย่างสม่ำเสมอของจิตแพทย์ ย่อมช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างแน่นอน คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งกังวลใจไปก่อนนะคะ”

แต่เรืองรุจีเกรงว่าลูกสาวยังไม่พร้อม เจิดจันทร์เป็นคนคิดมากและน้อยใจแรงแค่ไหน เธอรู้อยู่เต็มอก จึงอดนึกโทษตัวเองไม่ได้ ที่ไม่ได้กำชับพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์เรื่องห้ามเยี่ยมอีกครั้ง สาวใหญ่วัยงามสาวเท้าปราดไปที่เพื่อนสนิทลูกสาว แทบไม่สนใจจะรับไหว้

“สวัสดีค่ะคุณแม่ วันนี้โชคดีจังได้เจอเจิด หนูเอาของมาเยี่ยมเพียบเลยค่ะ มีผลไม้ให้คุณแม่ด้วยนะคะ”

เรืองรุจีบีบมือหญิงสาวแน่น ค่อยๆ ฉุดมาที่มุมครัวเล็กๆ หน้าห้อง ทำทีว่าช่วยจัดล้างผลไม้

“หมูยอ ตอนนี้ยัยเจิดไม่เหมือนเดิมนะลูก” เรืองรุจีกระซิบ มองใบหน้าเหลาหลาของเพื่อนลูกสาว “ยัยเจิดสมองขาดออกซิเจน ระบบประสาทกับสมองกระทบกระเทือน กล้ามเนื้ออะไรก็ผิดปกติไปหมด ตอนนี้ยัยเจิดพูดไม่เป็นคำ แขนขาก็ไม่มีแรง นี่ต้องฝึกกายภาพหัดเดินหัดพูดใหม่อยู่ ยังไม่รู้เลยว่าจะหายเมื่อไหร่”

ส้มเขียวหวานในมือหล่นกระแทกซิงค์ล้างจาน หมูยออ้าปากค้าง เหลียวไปมองเพื่อนสาวที่นอนยิ้มเกร็งๆ ให้เจมีอย่างลืมตัว

“อะไรนะคะแม่ เป็นไปได้ยังไง ก็หนูเห็นหน้าตาเจิดยังเหมือนเดิมทุกอย่าง”

“ก็มันเป็นที่ระบบประสาท” เรืองรุจีย้ำ “แล้วตั้งแต่เข้ามานี่ เจิดเขาพูดกับหนูสักคำหรือยังล่ะ”

หมูยอส่ายหน้า ใบหน้าสลดจนเกือบร้องไห้ “ไม่ค่ะ…หนูก็นึกว่าเขาเหนื่อย โธ่ ยัยเจิด กรรมอะไรของแก”

เรืองรุจีถอนใจยาว ไม่อยากจะออกปากตำหนิเพื่อนลูกสาว เพราะถึงอย่างไรหมูยอก็คือคนที่ไปช่วยเจนนินทร์ไว้อย่างฉิวเฉียด ถ้าไม่ได้หนุ่มสาวสองคนที่อยู่ในห้องนี้ เจนนินทร์คงมีอันเป็นไปอีกคนอย่างไม่ต้องสงสัย

“หมูยอ แม่ขอนะลูก อย่าเพิ่งเล่าอะไรเยอะ หนูก็รู้ว่ายัยเจิดเป็นคนคิดมาก ถ้าเขาสะเทือนใจขึ้นมาอีกว่าตัวเองไม่สมประกอบ ไปทำงานไปใช้ชีวิตอย่างหนูไม่ได้แล้ว แม่กลัวว่าเจิดจะคิดสั้นอีก”

หมูยอพยักหน้าแรงๆ ก่อนเดินอย่างหดหู่ใจกลับไปหาเพื่อนสาวที่เตียง

หญิงสาวเอื้อมไปกุมมือเจิดจันทร์ไว้ “เจิด ฉันขอโทษนะ ถ้าฉันพูดอะไรเพ้อเจ้อ แกก็ปล่อยผ่านไปเถอะ แกก็รู้ว่าฉันคิดถึงแกมาก แล้วก็รักแกมากด้วย”

เจิดจันทร์ส่ายหน้าแข็งๆ สองที พยายามบีบมือหมูยอ พร้อมกับยิ้มเกร็งจนน้ำลายย้อย

“ชาน-เกาะ-รัก-แก”

หมูยอหยิบทิชชูซับน้ำลายให้เพื่อน น้ำตาปริ่มขึ้นมาอีก แต่สีหน้าเจิดจันทร์ยังคงผ่องใส เธอกระตุกมือหมูยอนิดๆ

“ห้อง – นำ”

“อยากเข้าห้องน้ำหรือลูก ถ่ายใส่แพมเพิสก่อนได้ไหม หรือรอแม่เรียกพยาบาลก่อน” เรืองรุจีเข้ามาจับตัวลูกสาววุ่นวายทันที เจิดจันทร์พยายามเกร็งตัวขึ้น ยังคงพยักพเยิดหน้าไปที่ห้องน้ำ

พยาบาลโผล่เข้ามาเร็วทันใจ ช่วยประคองเจิดจันทร์ไว้คนละข้างกับเรืองรุจี คนไข้สาวขยับก้าวไม่ถนัดนัก แต่ไม่มีทีท่าว่าท้อถอยหรืออับอาย

“เอ น้องเจิดเดินคล่องขึ้นเยอะเลยนะคะคุณแม่ นี่แอบฝึกเดินเองที่ห้องหรือเปล่าคะเนี่ย”

เรืองรุจีหน้าชื่นขึ้นทันที “จริงหรือคะ โอ๊ย เจิดเก่งมากลูก ค่อยๆ นะ เดี๋ยวแม่ช่วย”

ทั้งคู่ประคองหญิงสาวถึงหน้าห้องน้ำ เรืองรุจีเดินตามลูกสาวเข้าไปด้วย เจิดจันทร์เหลือบมองกระจกเห็นภาพสะท้อนคนในห้องทั้งกลุ่มที่ตามหลังเธอมาราวงูกินหาง ด้วยสีหน้าทั้งกังวลทั้งลุ้นพอๆ กัน แล้วหญิงสาวก็อดหัวเราะเกร็งๆ ออกมาไม่ได้

เธอรู้ดีว่าคนเหล่านี้ยังเป็นห่วงเธอไม่คลาย และยังไม่วางใจว่าเธอจะไม่คิดสั้น เพราะหากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเจิดจันทร์คนเก่า แน่นอนว่า หญิงสาวคงนอนคร่ำครวญน้ำหูน้ำตาน้ำลายไหล ผ่านปากเบี้ยวๆ ไม่รู้จบ และถ้าเผลอก็อาจหาทางทำร้ายตัวเองเพราะน้อยอกน้อยใจชีวิตขึ้นมาอีก

แต่นั่นคือคนเดิม…

เจิดจันทร์สูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นห้องน้ำไม่ได้หอมเท่าไรหรอก แต่อากาศที่ผ่านเข้าปอดไปต่างหาก สำคัญยิ่งนัก เพราะนั่นหมายถึงเธอยังมีชีวิต

ชีวิตที่ยังมีคนที่รักรายล้อม ยังมีโอกาสให้ทำสิ่งดีๆ เพื่อตนเอง…และอย่างที่ปู่ไกรพูด…ชีวิตที่ยังมีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นได้อีกมากมายนัก

เจิดจันทร์ส่งยิ้มให้มารดา ที่ยังจับตัวเธอแน่นเหมือนตุ๊กแก ค่อยๆ เอี้ยวตัวออกจากการเกาะกุมนั้น ก่อนเอื้อมมือไปจับราวห้องน้ำ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีละนิด ทีละนิด ด้วยตนเอง

เจิดจันทร์เงยหน้ามองกระจก ภาพสะท้อนที่เห็นยังคงเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน อาจไม่ชวนมองตามมาตรฐานหญิงสาวทั่วไป ทั้งตาตี่ จมูกแบน ผิวดำคล้ำ พ่วงด้วยผมเผ้าเป็นกระเซิง หน้าสดมีสิวขึ้นประปราย แถมยังปากเบี้ยวน้ำลายไหล พูดไม่ค่อยได้ เดินก็ไม่ถนัด

แต่ถ้าใครเคยผ่านโลกหลังความตายมาแล้ว จะรู้ว่าเรื่องแค่นี้ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย ยังมีคนโชคร้ายยิ่งกว่านี้มากมายนัก

มารดายังยืนคุมเชิงอยู่หน้าห้องน้ำ ขมวดคิ้วมองอย่างกังวล ด้วยเกรงว่าลูกสาวจะคิดมาก แต่เธอไม่รู้ หรอกว่า ตอนนี้เจิดจันทร์กำลังมองเห็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต และหวงแหนมันสุดหัวใจ

 

– จบ  –

 



Don`t copy text!